ระหว่างรัฐและความทรงจำ: ความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ชิงกับชาวหุย (มุสลิมจีน)

ระหว่างรัฐและความทรงจำ: ความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ชิงกับชาวหุย (มุสลิมจีน)
บทนำ
       ราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644–1912) คือยุคสมัยที่ความสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐ” กับ “กลุ่มศาสนาและชาติพันธุ์” ของจีนถูกกำหนดขึ้นอย่างชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะกับกลุ่ม หุย (回族) หรือมุสลิมจีนที่พูดภาษาจีนกลางและมีเครือข่ายกระจายอยู่ทั่วอาณาจักร (Lipman, 1997)
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐชิงกับชาวหุยมีลักษณะซับซ้อน ทั้งการยอมรับ การบูรณาการ และความระแวง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะทางการเมืองและเศรษฐกิจของยุคสมัย

1. ราชวงศ์ชิง: จักรวรรดิรวมศูนย์ในโลกพหุวัฒนธรรม
       ราชวงศ์ชิงปกครองโดยชนชาติแมนจู ซึ่งมิใช่ชาวฮั่นดั้งเดิม รัฐจึงต้องรักษาความสมดุลระหว่าง เอกภาพของจักรวรรดิ กับ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ภายใต้แนวคิด “因其俗而治” — “ปกครองตามขนบธรรมเนียมของท้องถิ่น” (Da Qing Hui Dian, 卷32)
นโยบายนี้เปิดช่องให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น มองโกล ทิเบต และหุย มีพื้นที่ในการดำรงวัฒนธรรมของตนเอง ภายใต้เงื่อนไขของความภักดีต่อรัฐกลาง

อย่างไรก็ดี หลักฐานใน 清实录 (จดหมายเหตุราชวงศ์ชิง) ช่วงรัชกาลคังซีและเฉียนหลง แสดงให้เห็นถึงความกังวลของรัฐต่อศาสนาอิสลามในฐานะ “เครือข่ายข้ามชาติ” ที่อาจเชื่อมโยงกับโลกมุสลิมนอกอาณาจักร ซึ่งในเวลานั้นเริ่มมีอิทธิพลจากพ่อค้าจากเอเชียกลาง (Millward, 2007)

2. ชาวหุยในสังคมชิง: ระหว่างการยอมรับและการเฝ้าระวัง
       ในช่วงศตวรรษที่ 17–18 รัฐชิงยอมรับชาวหุยจำนวนมากเข้าสู่ระบบราชการ โดยเฉพาะในยูนนาน กานซู และซีอาน เช่น หม่า จ้าวจง (马朝宗) ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนนางระดับสูง (Yunnan Tongzhi, 卷58)
มัสยิดขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น ซี่หนิงชิงเจี้ยนซื่อ (西宁清真寺) และ คุนหมิงหนานมี้อีซื่อ (昆明南门礼寺) ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างในช่วงนี้

      แต่รัฐก็ออกข้อจำกัดบางประการ เช่น กฤษฎีกาในสมัยเฉียนหลงที่ห้ามชายมุสลิมแต่งงานกับหญิงฮั่น โดยให้เหตุผลว่า “เพื่อป้องกันความสับสนทางเชื้อสาย” (Qianlong Shilu, 卷102) สะท้อนถึงความพยายามรักษาเส้นแบ่งวัฒนธรรมในสังคมจักรวรรดิ

3. ความปะทุของศตวรรษที่ 19: การก่อกบฏยูนนานและดุนกัน
      ศตวรรษที่ 19 คือช่วงวิกฤติของราชวงศ์ชิง ทั้งสงครามฝิ่น การเสื่อมของระบบราชการ และภัยพิบัติทางเศรษฐกิจ นำไปสู่ความไม่พอใจในหลายภูมิภาค รวมถึงหมู่ชาวหุย

3.1 การกบฏยูนนาน (1856–1873)
      นำโดย ตู เหวินซิ่ว (Du Wenxiu) ซึ่งประกาศตั้ง “รัฐปันตีหยวน” (Pangti Yuan) ที่คุนหมิง
ตู เหวินซิ่วในเอกสารราชการถูกเรียกว่า “โจรที่ตั้งตนเป็นกษัตริย์” (自立为王之匪, Tongzhi Shilu, 卷243)
แต่ในบันทึกของนักเดินทางอังกฤษ เช่น Gill (1877) และนักวิชาการมุสลิมรุ่นหลัง เช่น Ben-Dor Benite (2005) มองว่าเป็นการตอบสนองต่อความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและศาสนา
      ท้ายที่สุด รัฐชิงส่งกองทัพภายใต้การนำของ หม่า หรูหลง (Ma Rulong) เข้าปราบปรามอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตนับแสน และชุมชนมุสลิมในยูนนานถูกทำลายเกือบหมด

3.2 การกบฏดุนกัน (1862–1877)
       เกิดขึ้นในมณฑลกานซูและฉ่านซี โดยมีผู้นำท้องถิ่นหุยหลายกลุ่มเข้าร่วม
บันทึกใน 陕甘总督奏折档案 ระบุว่ามีการสังหารประชาชนทั้งสองฝ่ายรวมกว่าสองล้านคน
       หลังการปราบปราม ชาวหุยจำนวนหนึ่งอพยพข้ามพรมแดนไปยังเอเชียกลาง ซึ่งต่อมาเรียกว่า “ชาวดุนกัน” (Dungan, หรือ回民出走事件)
Lipman (1997) วิเคราะห์ว่าการกบฏนี้สะท้อน “ความล้มเหลวของรัฐชิงในการสร้างพลเมืองแบบจักรวรรดิ” เพราะไม่สามารถรวมกลุ่มมุสลิมเข้ากับอุดมการณ์ขงจื๊อได้อย่างแท้จริง

4. ความแตกต่างในระดับภูมิภาคและอิทธิพลระหว่างประเทศ
       ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐชิงกับชาวหุยแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่:
ยูนนาน: ชาวหุยมีเครือข่ายการค้ากับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงมีลักษณะ “หุยโลกาภิวัตน์” (Globalized Hui)

กานซู–ซีอาน: เป็นศูนย์กลางการศึกษาอิสลามแบบจีนผสมเปอร์เซีย (Sino-Islamic learning)

ซินเจียง: อยู่ภายใต้อิทธิพลของโลกอิสลามจากเอเชียกลาง และเป็นแนวหน้าของความขัดแย้งระหว่างอำนาจจีน–รัสเซีย (Millward, 2007)

      นอกจากนี้ อิทธิพลจากตะวันตกหลังสงครามฝิ่นทำให้รัฐชิงระแวดระวัง “กลุ่มศาสนาต่างชาติ” มากขึ้น เพราะเกรงว่าจะเป็นช่องทางการแทรกซึมของอำนาจจักรวรรดินิยม (Zongli Yamen Archives, 1860s)

5. มุมมองของรัฐจีนและข้อโต้แย้งร่วมสมัย
       นักประวัติศาสตร์ฝ่ายรัฐจีนในปัจจุบัน (เช่น 李学勤, 2008; 王健文, 2015) เห็นว่า เหตุการณ์เหล่านี้เป็น “ความวุ่นวายท้องถิ่น” มากกว่าจะเป็น “การลุกฮือทางศาสนา”
โดยมองว่ารัฐชิงใช้มาตรการรักษาเอกภาพชาติอย่างชอบธรรม และให้สิทธิชาวหุยตามกฎหมายศักดินา
       อย่างไรก็ตาม นักวิชาการตะวันตกและมุสลิมจีนในพลัดถิ่น เช่น Ben-Dor Benite (2005) และ Lipman (1997) ชี้ว่า การก่อกบฏเหล่านี้มีรากเหง้าทางสังคม–เศรษฐกิจ และสะท้อนความล้มเหลวของรัฐรวมศูนย์ในการจัดการกับความหลากหลายภายใน

6. มรดกและความหมายร่วมสมัย
      บาดแผลในยุคชิงกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “ความทรงจำร่วมของชาวหุย” ซึ่งยังคงสะท้อนในวรรณกรรม ศิลปะ และคำสอนทางศาสนาในยุคปัจจุบัน
       ในอีกด้านหนึ่ง รัฐจีนยุคใหม่ก็ใช้ประวัติศาสตร์ชิงเป็น “ต้นแบบของการบริหารชนกลุ่มน้อย” ที่ผสมผสานระหว่างการคุ้มครองและการควบคุม

      ดังที่ Millward (2007) กล่าวไว้ว่า “ชิงมิได้ล่มเพราะการลุกฮือของกลุ่มชาติพันธุ์ หากแต่เพราะไม่สามารถแปลงความหลากหลายให้กลายเป็นเอกภาพทางการเมืองได้สำเร็จ”

บทสรุป
       ความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ชิงกับชาวหุยเป็นภาพสะท้อนของความซับซ้อนทางอำนาจในรัฐพหุวัฒนธรรม ชิงพยายามผสมผสานการปกครองตามขนบกับการควบคุมทางศาสนา แต่เมื่อเผชิญแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอก ความไม่ไว้วางใจจึงปะทุเป็นความรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     การมองประวัติศาสตร์ช่วงนี้อย่างรอบด้าน — ผ่านทั้ง 清实录, 地方志, และงานวิจัยร่วมสมัย — ช่วยให้เข้าใจว่า ความสงบในสังคมพหุวัฒนธรรมมิได้เกิดจากการลืมอดีต แต่จากการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันบนฐานของความจริงและความเข้าใจในประสบการณ์ของกันและกัน

เอกสารอ้างอิง (Selected References)

清实录 (Qing Shilu), 康熙朝, 乾隆朝, 同治朝卷

《大清会典》 (Da Qing Hui Dian)

《云南通志》 (Yunnan Tongzhi), 卷58

陕甘总督奏折档案 (Archives of the Governor-General of Shaan-Gan), 1870s

Gill, S. (1877). The River of Golden Sand. London: John Murray.

Lipman, J. (1997). Familiar Strangers: A History of Muslims in Northwest China. Seattle: University of Washington Press.

Ben-Dor Benite, Z. (2005). The Dao of Muhammad: A Cultural History of Muslims in Late Imperial China. Harvard University Asia Center.

Millward, J. (2007). Eurasian Crossroads: A History of Xinjiang. Columbia University Press.

李学勤 (2008). 《清代民族政策研究》. 北京: 中国社会科学出版社.

王健文 (2015). 《回族史论》. 兰州大学出版社.

ความคิดเห็น