พิธีอาชูรออยุธยาสู่เมาลิดกลาง สู่ความสัมพันธ์ของภาครัฐ

"การเข้าหาศูนย์กลางอำนาจของชาวมุสลิมในสยาม: จากพิธีอาชูรอสมัยอยุธยาสู่เมาลิดกลางในรัฐไทยร่วมสมัย"

#บทนำ 

      ในสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีศูนย์กลางอำนาจชัดเจน เช่น ประเทศไทย กลุ่มชาติพันธุ์และศาสนาที่เป็นชนกลุ่มน้อยมักต้องพัฒนา "กลยุทธ์ทางวัฒนธรรม" เพื่อแสดงออกถึงความเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ และในขณะเดียวกันก็รักษาอัตลักษณ์เฉพาะของตนไว้ได้อย่างสมดุล หนึ่งในกลยุทธ์เหล่านั้นคือการจัด พิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งไม่ได้มีหน้าที่เพียงทางจิตวิญญาณ แต่ยังทำหน้าที่เป็นเวทีเชิงการเมืองและการสื่อสารกับอำนาจรัฐ

     กรณีของชาวมุสลิมในประเทศไทยเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจอย่างยิ่ง กลุ่มมุสลิมซึ่งประกอบไปด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์และนิกาย ได้พยายามใช้พิธีกรรมทางศาสนา เช่น พิธีอาชูรอของชีอะห์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และ งานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน เพื่อเข้าถึงและเชื่อมโยงกับศูนย์กลางอำนาจของรัฐ ไม่ว่าจะในรูปของราชสำนักหรือระบบราชการสมัยใหม่

      การมีส่วนร่วมของพระมหากษัตริย์หรือผู้แทนพระองค์ในพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม จึงไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันถึงการยอมรับจากรัฐไทย หากแต่ยังสะท้อน กระบวนการต่อรอง สร้างความชอบธรรม และการแสดงออกถึงความจงรักภักดี จากกลุ่มชายขอบทางศาสนาและวัฒนธรรม


#การเปรียบเทียบระหว่างพิธีกรรมของมุสลิมในสองช่วงเวลา 
— พิธีอาชูรอในราชสำนักอยุธยา และเมาลิดกลางในรัฐไทยสมัยใหม่ — เพื่อวิเคราะห์ว่า ชาวมุสลิมในไทยใช้พิธีกรรมทางศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างไร ในการเข้าหาและมีปฏิสัมพันธ์กับศูนย์กลางอำนาจ


3. **กรณีศึกษาที่ 1: พิธีอาชูรอสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ พ.ศ. 2199–2231) กรุงศรีอยุธยากลายเป็นศูนย์กลางการค้าและการทูตที่เปิดกว้างต่อโลกมุสลิม กลุ่มมุสลิมชีอะห์เชื้อสายเปอร์เซียมีบทบาทสูงในราชสำนัก โดยเฉพาะตระกูลของ เชค อะหมัด กูมี (Sheikh Ahmad Qomi) ซึ่งสืบทอดตำแหน่งสำคัญทางราชการและศาสนา เช่น เจ้ากรมท่า และจุฬาราชมนตรี


      กลุ่มชีอะห์เหล่านี้ได้นำพิธีกรรมสำคัญอย่าง พิธีอาชูรอ (Ashura) เข้ามาจัดในกรุงศรีอยุธยา เพื่อรำลึกถึงการพลีชีพของ อิหม่ามฮุเซน หลานของศาสดามูฮัมหมัด ณ ทุ่งคัรบะลา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของชีอะห์ พิธีดังกล่าวมักมีลักษณะของการไว้อาลัย การอ่านโศกนาฏกรรม และการแสดงออกทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง

      แหล่งบันทึกจากนักเดินทางชาวยุโรป เช่น Simon de La Loubère และ Chevalier de Chaumont ซึ่งเดินทางเข้ามาในราชสำนักอยุธยา ได้บรรยายว่า ราชสำนักอยุธยา โดยเฉพาะสมเด็จพระนารายณ์ ได้ทรง อนุญาตและให้เกียรติพิธีอาชูรอ อย่างเป็นทางการ และในบางกรณีทรงส่งผู้แทนเข้าร่วม หรือแม้กระทั่งเสด็จด้วยพระองค์เองในบางโอกาส

**การวิเคราะห์เชิงอำนาจ**

1. การขอการรับรองจากศูนย์กลาง การที่พิธีกรรมของชนกลุ่มน้อยอย่างชีอะห์ได้รับการอนุญาตและมีพระมหากษัตริย์เข้าร่วม ถือเป็นการ ยืนยันความชอบธรรมของกลุ่ม และเป็นการผนวกรวมพวกเขาเข้าสู่โครงสร้างของรัฐ

2. กลยุทธ์สร้างความใกล้ชิดกับราชสำนัก การจัดพิธีอาชูรอในรูปแบบที่เปิดเผยและเชิญบุคคลสำคัญจากราชสำนักเข้าร่วม เป็นการสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างกลุ่มชีอะห์กับราชวงศ์อย่างมีนัยสำคัญ ช่วยให้กลุ่มมุสลิมชีอะห์สามารถ คงสถานะในราชสำนักได้แม้จะมีความแตกต่างทางศาสนา
3. การเมืองเชิงสัญลักษณ์ การเข้าร่วมพิธีของกษัตริย์ในฐานะผู้ปกครองพุทธศาสนา สะท้อนถึงแนวคิดของ “กษัตริย์เหนือศาสนา” (supra-religious kingship) ที่เปิดพื้นที่ให้ศาสนาต่าง ๆ แสดงออกในกรอบของความสงบเรียบร้อย ความยอมรับนี้เสริมสร้างภาพลักษณ์ของพระนารายณ์ในฐานะกษัตริย์สากลผู้เปิดกว้าง

4. **กรณีศึกษาที่ 2: งานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน

    ในบริบทของรัฐไทยสมัยใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างชาวมุสลิมกับศูนย์กลางอำนาจมีพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปภายใต้ระบบราชการรวมศูนย์ โดยเฉพาะหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 และการจัดระเบียบศาสนาอย่างเป็นทางการผ่านหน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานจุฬาราชมนตรี และ คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย
     หนึ่งในพิธีกรรมสำคัญที่สะท้อนความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐไทยกับชาวมุสลิมคือ “งานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทย” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเฉลิมฉลองวันประสูติของท่านศาสดามูฮัมหมัด โดยมีการจัดอย่างยิ่งใหญ่ ณ สถานที่กลางในกรุงเทพฯ และมักมีการเชิญพระมหากษัตริย์ หรือผู้แทนพระองค์ มาทรงเป็นประธานในพิธี
      การที่ราชสำนักมีส่วนร่วมในงานเมาลิดกลางในฐานะ “ประธานในพิธี” ไม่เพียงแต่เป็นการให้เกียรติชุมชนมุสลิม แต่ยังเป็นการแสดงออกถึง การรับรองจากรัฐไทยต่อศาสนาอิสลาม ในขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง ชุมชนมุสลิมก็นำการจัดงานนี้เป็น กลยุทธ์สร้างภาพลักษณ์ของความจงรักภักดีและความเป็นไทย ของตนเอง

**การวิเคราะห์เชิงอำนาจ**

1. การเข้าหาศูนย์กลางอำนาจในรัฐราชการ ต่างจากในสมัยอยุธยาที่ใช้ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลกับราชสำนัก กลุ่มมุสลิมในปัจจุบันต้องอาศัย สถาบันและพิธีกรรมในพื้นที่สาธารณะ เพื่อแสดงออกถึงความสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์กับรัฐ

2. การเมืองแห่งความยอมรับ งานเมาลิดกลางกลายเป็นเวทีสำคัญในการแสดงความจงรักภักดี และเป็นการยืนยันว่าชาวมุสลิมสามารถดำรงศาสนาอิสลามควบคู่กับความเป็นพลเมืองไทยได้อย่างสมานฉันท์ การเชิญกษัตริย์มาร่วมพิธีเป็นการแสดงออกถึงการเป็น "ส่วนหนึ่งของชาติ" อย่างชัดเจน

3. การต่อรองอัตลักษณ์ภายใต้กรอบรัฐ แม้จะได้รับการยอมรับ แต่การจัดงานเมาลิดกลางภายใต้การกำกับของสำนักงานจุฬาราชมนตรี และการอ้างอิงถึงพระราชอำนาจ ก็สะท้อนถึง ข้อจำกัดของความเป็นอิสระทางศาสนา ซึ่งต้องดำเนินไปภายใต้กรอบของรัฐไทย

ส่วนที่ 5: **การเปรียบเทียบและวิเคราะห์ ซึ่งจะช่วยสรุปแก่นคิดจากทั้งสองกรณีศึกษา และชี้ให้เห็นภาพใหญ่ของ “การเมืองของพิธีกรรม” ในความสัมพันธ์ระหว่างชาวมุสลิมกับรัฐไทย
5. การเปรียบเทียบและวิเคราะห์

     แม้พิธีอาชูรอในสมัยอยุธยาและงานเมาลิดกลางในรัฐไทยร่วมสมัยจะต่างกันในด้านนิกาย เวลา และรูปแบบ แต่ทั้งสองกรณีก็มีแก่นร่วมสำคัญประการหนึ่งคือ การใช้พิธีกรรมทางศาสนาเป็นเครื่องมือในการเข้าหาและมีปฏิสัมพันธ์กับศูนย์กลางอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ในฐานะองค์อธิปัตย์ หรือรัฐราชการในยุคสมัยใหม่

ข้อสังเกตเชิงลึก

1. ความต่อเนื่องของกลยุทธ์ ทั้งสองกรณีสะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มมุสลิมในฐานะชนกลุ่มน้อย ได้เลือกใช้ “พิธีกรรมศาสนา” เป็นช่องทางในการเข้าสู่พื้นที่แห่งอำนาจ โดยใช้พิธีกรรมเหล่านี้เป็นเวทีสื่อสารถึงความเป็น “พวกเดียวกัน” กับรัฐ


2. จากบุคคลสู่ระบบ ในขณะที่พิธีอาชูรอสมัยอยุธยาอาศัยสายสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในราชสำนัก กลยุทธ์ในยุคร่วมสมัยกลับเปลี่ยนมาเป็นการสร้างความสัมพันธ์ผ่าน “ระบบราชการ” และ “พิธีกรรมเชิงสถาบัน” ซึ่งต้องอาศัยการจัดการอย่างเป็นทางการ และสื่อสารผ่านสัญลักษณ์ที่รัฐยอมรับได้


3. อัตลักษณ์ที่ถูกปรับแต่ง พิธีกรรมที่กลุ่มมุสลิมเลือกนำเสนอในพื้นที่สาธารณะ ล้วนผ่านการ “จัดรูป” ให้เหมาะสมกับบริบทของรัฐไทย กล่าวคือ มีการลดทอนหรือขัดเกลาบางลักษณะให้เข้ากับภาพลักษณ์ของความเป็นไทย ความจงรักภักดี และระเบียบวินัยแบบราชการ


6. บทสรุป

      บทความนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทของพิธีกรรมทางศาสนาอิสลามในฐานะ “กลยุทธ์ทางการเมือง” ที่ชาวมุสลิมในประเทศไทยใช้เพื่อเข้าหาและสร้างความสัมพันธ์กับศูนย์กลางอำนาจของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบราชสำนักสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในอดีต หรือรัฐราชการรวมศูนย์ในยุคร่วมสมัย

     กรณีของ พิธีอาชูรอสมัยสมเด็จพระนารายณ์ และ งานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทย แสดงให้เห็นความต่อเนื่องของความพยายามในการสร้างพื้นที่ให้กับอัตลักษณ์ของกลุ่มมุสลิม โดยอาศัยสัญลักษณ์และพิธีกรรมที่สามารถเชื่อมโยงกับอำนาจรัฐได้ ทั้งยังเป็นการ ต่อรองอัตลักษณ์ผ่านความจงรักภักดี และการยืนยันตนในฐานะ “พลเมืองที่ภักดีและถูกยอมรับ”


     ในขณะเดียวกัน การเข้าหาศูนย์กลางอำนาจผ่านพิธีกรรมเหล่านี้ไม่ได้หมายถึงการสยบยอมเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นการ ร่วมสร้างพื้นที่ไฮบริด ที่รัฐและกลุ่มชายขอบสามารถอยู่ร่วมกันได้บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนทางสัญลักษณ์และการเมืองวัฒนธรรม

     ท้ายที่สุดแล้ว กรณีศึกษาทั้งสองนี้ตอกย้ำว่า ศาสนาและพิธีกรรมมิได้อยู่แยกจากการเมือง หากแต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสาร เชื่อมโยง และต่อรองกับโครงสร้างอำนาจที่ครอบคลุมชีวิตของพลเมืองในรัฐสมัยใหม่ — โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออัตลักษณ์ทางศาสนาไม่ได้อยู่ในกระแสหลักของรัฐนั้น

ชุมพล  ศรีสมบัติ  นำเสนอข้อมูลด้วยการสืบค้นจาก Ai chat GBT

ความคิดเห็น