พรบ.อิสลาม 2540 ความสำคัญ มีผลต่อสังคมมุสลิมในประเทศไทยอย่างไร?

พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 เป็นกฎหมายหลักที่ใช้ในการบริหารกิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทย 🇹🇭 ซึ่งกฎหมายนี้มีบทบาทสำคัญในการจัดระเบียบและวางโครงสร้างองค์กรศาสนาอิสลามให้มีความเป็นระบบ

 สาระสำคัญของ พ.ร.บ. การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540

      ​การจัดตั้งองค์กรศาสนาอิสลาม: กฎหมายฉบับนี้ได้จัดตั้งองค์กรหลัก 3 ระดับ เพื่อเป็นกลไกในการบริหารกิจการอิสลาม ได้แก่

จุฬาราชมนตรี: เป็นผู้นำสูงสุดในกิจการศาสนาอิสลามของประเทศไทย ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลและออกประกาศเกี่ยวกับบัญญัติศาสนาอิสลาม

คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (กอท.): ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของจุฬาราชมนตรี และบริหารกิจการศาสนาอิสลามในระดับประเทศ

​คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด (กอจ.): ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในกิจการศาสนาอิสลามระดับท้องถิ่น

คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด (กอม.): ทำหน้าที่บริหารกิจการภายในมัสยิด

อำนาจหน้าที่ขององค์กร: กฎหมายได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของแต่ละองค์กรไว้อย่างชัดเจน เช่น การออกคำวินิจฉัยทางศาสนา การดูแลกิจการมัสยิด และการให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานภาครัฐ

การจดทะเบียนมัสยิด: กำหนดให้มัสยิดที่ได้รับการจดทะเบียนมีสถานะเป็นนิติบุคคล ทำให้สามารถดำเนินการทางกฎหมายและบริหารจัดการทรัพย์สินของมัสยิดได้อย่างถูกต้อง

      ​การแต่งตั้งและการพ้นจากตำแหน่ง: กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา แต่งตั้ง และถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสลามทุกระดับอย่างเป็นระบบ

    ​โดยรวมแล้ว พ.ร.บ. ฉบับนี้มีส่วนช่วยให้กิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทยมีโครงสร้างที่ชัดเจนและได้รับการยอมรับจากภาครัฐ ทำให้ชาวมุสลิมสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเป็นอิสระภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรที่กฎหมายรับรอง 🤝

การมี พรบ.อิสลาม 2540 มีผลกระทบต่อศาสนิกชนอย่างไร?

       พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มีผลโดยตรงต่อชาวมุสลิมในประเทศไทยในหลายด้าน ทั้งในแง่การบริหารจัดการ การปฏิบัติศาสนกิจ และการใช้ชีวิตประจำวัน

ผลกระทบเชิงบวกต่อศาสนิกชน
​มีองค์กรทางศาสนาที่เป็นระบบ:     

        กฎหมายนี้ได้จัดตั้งและให้การรับรอง จุฬาราชมนตรี, คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (กอท.), คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด (กอจ.) และ คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด (กอม.) ทำให้มีโครงสร้างที่ชัดเจนในการบริหารกิจการศาสนาอิสลาม ทำให้การออกคำวินิจฉัยทางศาสนา การจัดการเรื่องมัสยิด และการกำหนดวันสำคัญทางศาสนา เช่น วันอีฎิ้ลฟิตริ หรือวันฮารีรายอ เป็นไปอย่างเป็นทางการและเป็นเอกภาพ .

การอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติศาสนกิจ: องค์กรเหล่านี้มีหน้าที่ดูแลและส่งเสริมการปฏิบัติศาสนกิจของชาวมุสลิม เช่น การจัดระเบียบการศึกษาศาสนาในโรงเรียนปอเนาะ การเผยแผ่ศาสนา และการดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันตามหลักศาสนา เช่น การรับรองผลิตภัณฑ์ ฮาลาล ซึ่งช่วยให้ชาวมุสลิมมั่นใจในการบริโภคอาหารและผลิตภัณฑ์ต่างๆ 🍲

การคุ้มครองสิทธิทางศาสนา:                  กฎหมายช่วยรับรองให้ชาวมุสลิมสามารถใช้ชีวิตและประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้อย่างอิสระภายใต้กรอบของกฎหมายไทย นอกจากนี้ ยังช่วยประสานงานกับภาครัฐในกรณีที่เกี่ยวข้องกับกิจการศาสนา

​การบริหารจัดการมรดกและครอบครัว: พ.ร.บ. นี้ช่วยสนับสนุนให้การใช้ กฎหมายอิสลาม (ชะรีอะฮ์) ในเรื่องครอบครัวและมรดก ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามหลักศาสนา และเป็นไปอย่างมีระบบมากขึ้น

ความท้าทายและข้อจำกัด

     ความห่างเหินระหว่างประชาชนกับองค์กร: ในบางกรณี มีการตั้งข้อสังเกตว่าการทำงานขององค์กรศาสนาอิสลามยังขาดการเข้าถึงและมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับชุมชนและศาสนิกชนในระดับรากหญ้า ทำให้บางส่วนรู้สึกว่าองค์กรเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนปัญหาหรือความต้องการที่แท้จริงของพวกเขาอย่างเต็มที่

-​ปัญหาการทุจริตและการบริหาร: แม้กฎหมายจะวางโครงสร้างไว้ชัดเจน แต่บางครั้งการบริหารจัดการของคณะกรรมการในระดับต่างๆ อาจมีปัญหาเรื่องความโปร่งใสหรือไม่สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือขององค์กรในสายตาของศาสนิกชนเอง

-ความไม่เข้าใจในหลักการศาสนา: การที่องค์กรทางศาสนาบางครั้งไม่ได้ทำหน้าที่สั่งสอนและอบรมหลักธรรมอย่างเข้มแข็ง อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในหมู่ศาสนิกชน และนำไปสู่การปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาในบางกรณี

แนวทางการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้าง

        แนวทางการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างขององค์กรศาสนาอิสลามในประเทศไทยตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงและปฏิรูปกลไกการทำงานให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสามารถตอบสนองความต้องการของศาสนิกชนได้อย่างแท้จริง โดยมีแนวทางหลักดังนี้

​1. การปรับปรุงกลไกการคัดเลือกและแต่งตั้ง
       ​การปรับปรุงระบบการคัดเลือกและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรศาสนาอิสลาม ตั้งแต่ระดับจุฬาราชมนตรีลงไปจนถึงคณะกรรมการมัสยิด เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ควรมีการเปิดโอกาสให้มีการลงคะแนนเสียงจากศาสนิกชนอย่างกว้างขวางและเป็นธรรมมากขึ้น เพื่อให้ได้ผู้นำที่ได้รับความเชื่อมั่นและเป็นที่ยอมรับจากชุมชนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ควรมีการกำหนดคุณสมบัติและจรรยาบรรณของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งให้ชัดเจน เพื่อป้องกันผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนเข้ามาในตำแหน่ง

​2. การสร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้
       ​ปัญหาเรื่องความโปร่งใสเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข การกำหนดให้มีการตรวจสอบการดำเนินงานและงบประมาณขององค์กรอิสลามในทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ เป็นแนวทางที่จำเป็น ควรมีการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินและโครงการต่าง ๆ ต่อสาธารณะชน เพื่อให้ศาสนิกชนสามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ การจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อรับเรื่องร้องเรียนและสอบสวนกรณีทุจริต จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและฟื้นฟูความศรัทธาในองค์กร

​3. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของศาสนิกชน
       ​การเปิดโอกาสให้ศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการองค์กร เป็นแนวทางการสร้างความเป็นเจ้าของร่วมกัน ควรมีการจัดเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ในชุมชนไปจนถึงระดับประเทศ การนำแนวคิดหรือข้อเสนอแนะที่ได้มาปรับปรุงการทำงาน จะทำให้องค์กรสามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงและตรงกับความต้องการของศาสนิกชนในแต่ละพื้นที่ได้ นอกจากนี้ การส่งเสริมบทบาทของเยาวชนและสตรีในกิจการศาสนา ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้องค์กรมีความทันสมัยและครอบคลุมทุกกลุ่มในสังคมมุสลิม

​4. การพัฒนากฎหมายให้ทันสมัย
       ​พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 เป็นกฎหมายที่ใช้มานานแล้ว ควรมีการพิจารณาทบทวนและแก้ไขเพิ่มเติมในบางมาตรา เพื่อให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการ การสื่อสาร และการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน การพัฒนากฎหมายให้ทันสมัย จะช่วยให้องค์กรสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถเป็นผู้นำทางศาสนาที่แท้จริงในยุคปัจจุบัน

ในส่วนขององค์กร เช่น มูลนิธิ สมาคม ของมุสลิม มีส่วนได้ส่วนเสีย กับองค์กรเหล่านี้หรือไม่?

        พรบ.อิสลามสามารถเข้าไป มีบทบาทหรือใช้ พรบ.นี้ เข้าไปใช้กับองค์กรเหล่านี่ได้หรือไม่

      มูลนิธิหรือสมาคมของชาวมุสลิมในประเทศไทยเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ใช่ตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ⚖️ ดังนั้น พ.ร.บ. ดังกล่าวจึงไม่สามารถเข้าไปมีบทบาทโดยตรงหรือใช้บังคับกับองค์กรเหล่านี้ได้

​       อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีผลทางกฎหมายโดยตรง แต่ก็มี ความสัมพันธ์ในเชิงประสานงานและแนวทางปฏิบัติ ระหว่างองค์กรศาสนาตาม พ.ร.บ. กับมูลนิธิ/สมาคมมุสลิม ดังนี้:

ความสัมพันธ์และการประสานงาน
       ​ให้คำปรึกษาและคำวินิจฉัย: องค์กรตาม พ.ร.บ. เช่น คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (กอท.) มีอำนาจหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและออกประกาศเกี่ยวกับกิจการศาสนาอิสลาม ซึ่งมูลนิธิหรือสมาคมต่าง ๆ จะนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการศาสนาที่ถูกต้อง

การรับรองฮาลาล: มูลนิธิหรือสมาคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารหรือผลิตภัณฑ์ฮาลาล จะต้องยื่นขอการรับรองจากคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (กอท.) ซึ่งเป็นองค์กรเดียวที่มีอำนาจตามกฎหมายในการออกเครื่องหมายรับรองฮาลาล  Halal mark.
​การส่งเสริมกิจกรรมทางศาสนา: องค์กรตาม พ.ร.บ. และมูลนิธิ/สมาคมมุสลิม มักจะทำงานร่วมกันในการจัดกิจกรรมทางศาสนา การกุศล หรือการศึกษา เพื่อเผยแผ่หลักคำสอนและช่วยเหลือสังคม

      สรุปแล้ว องค์กรดังกล่าวข้างต้น ก็ยังคงต้องให้ความร่วมมือกับ องค์กรอิสลามภายใต้ พรบ.อิสลาม ปี 40 ทั้งทางตรงและทางอ้อมใช่หรือไม่

      องค์กรต่างๆ เช่น มูลนิธิและสมาคมของชาวมุสลิม ยังคงต้องให้ความร่วมมือกับองค์กรอิสลามภายใต้ พ.ร.บ. การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ทั้งทางตรงและทางอ้อม 

ความร่วมมือทางตรง

      ​การขอการรับรองฮาลาล: องค์กรที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ต้องการเครื่องหมายรับรอง "ฮาลาล" จะต้องยื่นเรื่องขอการรับรองจากคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (กอท.) ซึ่งเป็นองค์กรที่ได้รับอำนาจตามกฎหมายนี้เท่านั้น

​การประสานงานกับมัสยิด: ในการจัดกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ มักจะมีการประสานงานกับคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด (กอม.) หรือคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด (กอจ.) เพื่อขอคำปรึกษาและขออนุญาตใช้สถานที่หรือจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับหลักศาสนา

ความร่วมมือทางอ้อม
      ​การยึดถือคำวินิจฉัย: มูลนิธิหรือสมาคมต่างๆ ที่ทำกิจกรรมเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม มักจะยึดถือและปฏิบัติตามคำวินิจฉัยหรือประกาศของจุฬาราชมนตรีและ กอท. โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับหลักปฏิบัติทางศาสนา เช่น การกำหนดวันสำคัญทางศาสนา

การทำงานร่วมกัน: มูลนิธิและสมาคมมักจะทำงานร่วมกันกับองค์กรศาสนาตาม พ.ร.บ. ในฐานะเครือข่าย เพื่อทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและศาสนิกชน เช่น การจัดกิจกรรมการกุศล การให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษา หรือการบรรเทาสาธารณภัย

      ​กล่าวโดยสรุปคือ แม้ว่ามูลนิธิและสมาคมจะไม่ใช่หน่วยงานที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ. โดยตรง แต่ด้วยบทบาทขององค์กรอิสลามตาม พ.ร.บ. ที่เป็นศูนย์กลางในการบริหารกิจการศาสนาในประเทศ ทำให้องค์กรภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต้องประสานงานและให้ความร่วมมือเพื่อความถูกต้องและเป็นเอกภาพทางศาสนา 

ในส่วนศาสนิกชน จำเป็นต้องเป็นสัปปุรุษ์ด้วยหรือไม่ ด้วยการทำพิธีกรรม หรือการรับรองการสมรสหรือการศึกษา ยังคงต้องมีองค์กร กอม. กอจ. กอท.แลสำนักจุฬารับรองก่อน

      ไม่จำเป็นครับ ศาสนิกชนมุสลิมทุกคนในประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเป็น "สัปปุรุษ" เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาหรือรับบริการต่างๆ จากองค์กรอิสลาม แต่การที่องค์กรศาสนาอิสลาม เช่น กอม. กอจ. กอท. หรือสำนักจุฬาราชมนตรี เข้ามามีบทบาทนั้น เพื่อให้การดำเนินกิจการต่างๆ เป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักการศาสนาและกฎหมายของรัฐ

ความสำคัญของบทบาทองค์กรอิสลาม

       ​แม้จะไม่มีข้อกำหนดว่าศาสนิกชนต้องเป็น "สัปปุรุษ" (ซึ่งหมายถึงผู้ที่เป็นกรรมการบริหารมัสยิด หรือผู้ที่มีส่วนร่วมในการบริหารมัสยิด) แต่บทบาทขององค์กรศาสนาอิสลามตาม พ.ร.บ. การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 นั้นสำคัญอย่างยิ่งในกรณีต่อไปนี้:

 การรับรองการสมรส (นิกะห์): การสมรสตามหลักศาสนาอิสลามจะต้องมีโต๊ะอิหม่าม (ผู้นำศาสนาประจำมัสยิด) เป็นผู้ประกอบพิธีและเป็นพยาน การจดทะเบียนนิกะห์ที่ถูกต้องจะต้องมีลายเซ็นของโต๊ะอิหม่ามและประทับตราของสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด (กอจ.) เพื่อให้มีผลทางกฎหมายในบางประเด็น เช่น การแบ่งมรดก หรือการกำหนดสถานะของบุตร เป็นต้น

การศึกษา: โรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม (เช่น ปอเนาะ) หรือโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จำเป็นต้องได้รับอนุญาตและขึ้นทะเบียนกับสำนักการศึกษาของรัฐ และมีการกำกับดูแลโดยคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด (กอจ.) เพื่อให้หลักสูตรการสอนเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดและสามารถนำไปใช้ในการศึกษาต่อได้

การทำพิธีกรรม: พิธีกรรมที่สำคัญและต้องการการรับรองจากองค์กรอิสลาม คือ การทำพิธีฮัจญ์ ซึ่งผู้ประสงค์จะเดินทางไปประกอบพิธีจะต้องลงทะเบียนและดำเนินการผ่านองค์กรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการรับรองจากกระทรวงมหาดไทย 
       ซึ่งองค์กรอิสลามตาม พ.ร.บ. มีบทบาทสำคัญในการประสานงานและดูแลการเดินทาง

สรุป: การที่องค์กร กอม. กอจ. กอท. และสำนักจุฬาราชมนตรีเข้ามามีบทบาทนั้น ไม่ใช่การบังคับให้ศาสนิกชนต้องเป็นสมาชิกขององค์กร แต่เป็นการทำหน้าที่ในการกำกับดูแลและรับรองกิจกรรมทางศาสนาเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ถูกต้องตามหลักการ และสอดคล้องกับกฎหมายของรัฐ เพื่อสร้างความสงบเรียบร้อยและความเข้าใจอันดีในสังคมโดยรวม .

สำหรับมุสลิมที่ไม่ประสงค์จะเป็นสัปปุรุษมัสยิดใด มีผลอย่างไรบ้าง?

       สำหรับมุสลิมที่ไม่ประสงค์จะเป็นสัปปุรุษมัสยิดใด ไม่มีผลกระทบในทางลบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเลยครับ

ผลทางศาสนาและสังคม

        ​ไม่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติศาสนกิจ: มุสลิมทุกคนมีสิทธิในการเข้ามัสยิดเพื่อละหมาด (นมาซ), ฟังคุตบะฮ์ (เทศนาธรรม), และร่วมกิจกรรมทางศาสนาได้ตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นสัปปุรุษหรือไม่

       ​ไม่ต้องรับผิดชอบในกิจการมัสยิด: การไม่เป็นสัปปุรุษทำให้คุณไม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบในการบริหารจัดการมัสยิด ทั้งในด้านการเงิน, การซ่อมบำรุง, หรือการตัดสินใจต่างๆ ซึ่งเป็นภาระหน้าที่หลักของคณะกรรมการมัสยิด

      ​ยังมีสิทธิทางศาสนาตามปกติ: สิทธิในการรับรองการสมรส (นิกะห์), การออกใบรับรองการตาย, หรือการขอคำปรึกษาจากโต๊ะอิหม่าม ยังคงมีอยู่สำหรับมุสลิมทุกคน ไม่จำกัดเฉพาะสัปปุรุษ

ข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น
      ​แม้จะไม่มีผลทางลบโดยตรง แต่การไม่เป็นสัปปุรุษ (หรือการไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในชุมชนมัสยิด) อาจทำให้คุณ ขาดโอกาสในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ หรือให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับทิศทางการบริหารของมัสยิดในชุมชนของคุณ นอกจากนี้ยังอาจทำให้คุณ ไม่ได้รับข่าวสารสำคัญ หรือกิจกรรมต่างๆ ของมัสยิดอย่างเต็มที่เหมือนกับกลุ่มสัปปุรุษ

​กล่าวโดยสรุป การเป็นสัปปุรุษเป็นการแสดงเจตจำนงในการมีส่วนร่วมเพื่อดูแลกิจการศาสนาของชุมชน ไม่ใช่ข้อบังคับทางศาสนาหรือข้อกำหนดทางกฎหมาย และการไม่เป็นสัปปุรุษก็ไม่ได้ทำให้สิทธิและหน้าที่ทางศาสนาของคุณลดลงแต่อย่างใด .

ชุมพล ศรีสมบัติ รวบรวม เรียบเรียง

ความคิดเห็น