การแตกแยกในกลุ่ม ญะมาอะฮ์ ดาวะฮ์ ตับลีฆ (Jama'at Dawa Tabligh) ระหว่างกลุ่มในอินเดียและปากีสถาน ซึ่งนำไปสู่การแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักคือ กลุ่มซะอ์ดีย์ (Saadi) และ กลุ่มอาลามีย์ (Alami) นั้น เกิดขึ้นจากความขัดแย้งเกี่ยวกับการสืบทอดอำนาจสูงสุดและการจัดการของขบวนการ หลังจากการเสียชีวิตของผู้นำรุ่นที่สามคือ เมาลานา อินอามุล ฮะซัน (In'mul Hasan) ในปี 1995
การแตกแยกนี้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงประมาณปี 2018 โดยมีศูนย์กลางความขัดแย้งอยู่ที่สำนักงานใหญ่ (มัรกัส) ณ นิศอมุดดีน (Nizamuddin) ประเทศอินเดีย
1. จุดกำเนิดของการแตกแยก
สาเหตุหลักที่ทำให้กลุ่มตับลีฆแตกแยกเป็นสองฝ่าย ไม่ใช่ความแตกต่างพื้นฐานทางเทววิทยา (อะกีดะฮ์) หรือหลักปฏิบัติหลัก (อิบาดะฮ์) แต่เป็นประเด็นด้านการบริหารและอำนาจ:
-
การแต่งตั้งผู้นำ (อะมีร/ค่อลีฟะฮ์):
- กลุ่มซะอ์ดีย์: สนับสนุน เมาลานา ซะอด์ คานดัลวี (Maulana Sa'ad Kandhalvi) ซึ่งเป็นหลานชายของ เมาลานา มูฮัมมัด ยูสุฟ (ผู้นำรุ่นที่สอง) ให้เป็นผู้นำคนเดียว (อะมีร)
- กลุ่มอาลามีย์: ปฏิเสธการแต่งตั้งเมาลานา ซะอด์ เพียงคนเดียว โดยเรียกร้องให้กลับไปใช้ระบบ ชูรอ (Shura) หรือคณะกรรมการที่ปรึกษา ในการบริหารองค์กรตามที่เคยปฏิบัติมา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกอาวุโสหลายคน
- ประเด็นความเห็นทางศาสนา (ข้อขัดแย้งย่อย): เมาลานา ซะอด์ มีคำเทศนา (บะยาน) บางส่วนที่ถูกนักวิชาการอาวุโสบางท่านมองว่ามีความคลุมเครือหรือเบี่ยงเบนจากแนวทางของผู้นำรุ่นก่อน ๆ เล็กน้อย ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากสมาชิกอาวุโส
2. ความแตกต่างและแนวทางของสองกลุ่ม
ความแตกต่างหลัก ๆ ของทั้งสองกลุ่มนั้นเน้นไปที่โครงสร้างการบริหารและสไตล์ความเป็นผู้นำมากกว่าหลักการดะอ์วะฮ์พื้นฐาน
คุณสมบัติ กลุ่มซะอ์ดีย์ (Saadi) กลุ่มอาลามีย์ (Alami Shura)
ผู้นำหลัก เมาลานา ซะอด์ คานดัลวี คณะกรรมการชูรอ (ประกอบด้วยนักวิชาการอาวุโส)
ศูนย์กลาง มัรกัส นิศอมุดดีน (Nizamuddin Markaz) กรุงนิวเดลี, อินเดีย (ฝ่ายที่ยังคงควบคุมศูนย์กลางเดิม) รอยวินด์ มัรกัส (Raiwind Markaz) ประเทศปากีสถาน และ บังกลาเทศ (ฝ่ายที่แยกตัวออกไปตั้งศูนย์ใหม่)
โครงสร้าง เน้นความเป็นเอกภาพของผู้นำ (อะมีร) และการตัดสินใจจากผู้นำสูงสุดเพียงคนเดียว เน้นระบบชูรอ (คณะที่ปรึกษา) และการตัดสินใจร่วมกันของคณะกรรมการอาวุโส
แนวทาง ยืนยันว่าแนวทางของเมาลานา ซะอด์ เป็นการสืบทอดที่ถูกต้องตามธรรมเนียมของขบวนการดะอ์วะฮ์ เชื่อว่าการแต่งตั้งผู้นำคนเดียวขัดต่อประเพณีของขบวนการ และเรียกร้องให้กลับไปสู่หลักการดั้งเดิมของการบริหารแบบชูรอ
การรับรู้ในวงกว้าง กลุ่มนีศอมุดดีน (Nizamuddin Group) กลุ่มชูรอ อาลามีย์ (Shura-e-Alami) หรือ กลุ่มรอยวินด์ (Raiwind Group)
3. ผลกระทบต่อขบวนการ
การแตกแยกนี้ทำให้เกิดการ แบ่งแยกเครือข่าย ทั่วโลก รวมถึงในปากีสถานและบังกลาเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่มีผู้ติดตามตับลีฆจำนวนมาก
ในหลายประเทศ สมาชิกตับลีฆต้องเลือกว่าจะเข้าร่วมกับกลุ่มใด ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในการจัดการทรัพย์สินและการควบคุมมัสยิดหรือศูนย์ดะอ์วะฮ์ในท้องถิ่น (เช่น มีการปะทะกันเรื่องการควบคุมศูนย์ในประเทศอังกฤษ)
อย่างไรก็ตาม หลักการปฏิบัติพื้นฐาน (หกคุณสมบัติ) ของตับลีฆ ญะมาอะฮ์ ยังคงเป็นที่ยอมรับและปฏิบัติร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ซึ่งมุ่งเน้นที่การเผยแผ่ศาสนา, การปรับปรุงตนเอง, การละหมาด, ความรู้, การเคารพต่อมุสลิม และการปรับปรุงเจตนาในการเผยแผ่ศาสนา
มีแนวทางแก้ไขอย่างไรสำหรับผู้รู้ทั้งสองฝ่าย?
แนวทางแก้ไขความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม ซะอ์ดีย์ (Maulana Sa'ad Kandhalvi) และ อาลามีย์ ชูรอ (Alami Shura) ในขบวนการตับลีฆ ญะมาอะฮ์ นั้น ส่วนใหญ่ต้องเน้นที่การกลับสู่หลักการพื้นฐานของขบวนการและหลักการอิสลามในการจัดการความขัดแย้ง:
1. การกลับไปสู่หลักการ "ชูรอ" (การปรึกษาหารือ)
การยอมรับร่วมกัน: ผู้นำทั้งสองฝ่ายต้องยอมรับและตกลงร่วมกันที่จะกลับไปใช้ ระบบชูรอ ที่ประกอบด้วยนักวิชาการอาวุโสและผู้มีประสบการณ์จากหลากหลายพื้นที่ในการตัดสินใจประเด็นสำคัญ แทนที่จะยึดอำนาจไว้ที่ผู้นำคนเดียว (อะมีร)
การฟื้นฟูสภานิศอมุดดีน: จัดตั้งคณะกรรมการชูรอชุดใหม่ขึ้นมาควบคุมสำนักงานใหญ่ (มัรกัส) นิศอมุดดีน โดยมีการถ่วงดุลอำนาจที่ยุติธรรม เพื่อให้กลุ่มอาลามีย์สามารถกลับมาร่วมในกระบวนการบริหารได้
2. การแยกประเด็น "หลักการ" ออกจาก "การบริหาร"
เน้นภารกิจหลัก: ย้ำเตือนและเน้นย้ำสมาชิกทั้งหมดให้มุ่งเน้นที่ หกคุณสมบัติ (Sifāt) และการเผยแผ่ศาสนา (ดะอ์วะฮ์) ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน
หลีกเลี่ยงข้อโต้แย้งทางเทววิทยา (อะกีดะฮ์): ผู้นำควรยุติการเทศนา (บะยาน) ที่เป็นประเด็นถกเถียงหรือนำไปสู่ความแตกแยกทางความเชื่อเล็กน้อย และให้ความสำคัญเฉพาะประเด็นที่จำเป็นต่อการปฏิบัติและการฟื้นฟูอิสลามในชีวิตประจำวันเท่านั้น
3. การมีคนกลางที่เป็นที่ยอมรับ (Tahkīm)
การไกล่เกลี่ย: เชิญ นักวิชาการศาสนาอิสลามที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ในระดับสากล เช่น จากซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ หรือองค์กรอิสลามกลางอื่น ๆ ที่เป็นกลาง เพื่อทำหน้าที่เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยและหาข้อตกลงร่วมกัน
การยอมรับคำตัดสิน: ทั้งสองฝ่ายต้องตกลงล่วงหน้าที่จะยอมรับคำตัดสินของคณะไกล่เกลี่ยนี้ โดยยึดหลักกฎหมายอิสลาม (ฟิกฮ์) และหลักการดะอ์วะฮ์ที่ก่อตั้งมา
4. การจัดการทรัพย์สินและศูนย์กลาง (มัรกัส) ในท้องถิ่น
ความโปร่งใสทางการเงิน: สร้างกลไกที่โปร่งใสในการจัดการและตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและเงินบริจาคของศูนย์กลางต่าง ๆ เพื่อลดข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตหรือการใช้อำนาจมิชอบ
การแบ่งปันอำนาจในต่างประเทศ: ในประเทศที่มีการแตกแยกอย่างรุนแรง ควรมีการตกลงกันอย่างสันติเพื่อให้แต่ละกลุ่มสามารถใช้ศูนย์กลาง (มัรกัส) หรือมัสยิดในท้องถิ่นร่วมกัน หรือแบ่งพื้นที่การจัดการกันอย่างชัดเจนและยุติธรรม
แนวทางแก้ไขเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัย ความอ่อนน้อมถ่อมตน (Tawāḍuʿ) และ ความปรารถนาดี (Ikhlāṣ) จากผู้นำทั้งสองฝ่าย เพื่อรักษาเอกภาพของขบวนการดะอ์วะฮ์นี้ไว้
📌 สรุป: การแก้ไขที่ยั่งยืนที่สุดคือการ ลดบทบาทของผู้นำคนเดียว และ ฟื้นฟูระบบชูรอ พร้อมกับการให้ความสำคัญกับ ภารกิจหลักของการเผยแผ่ มากกว่าความขัดแย้งภายใน
ในมุมมองของประชาชนหรือลูกญามะอะห์ของทั้งสองกลุ่ม มีผลกระทบอย่างไรต่อการทำงานของพวกเขา
ในมุมมองของสมาชิกทั่วไป (ลูกญะมาอะฮ์) ของกลุ่มตับลีฆ ญะมาอะฮ์ ทั้งกลุ่ม ซะอ์ดีย์ (Saadi) และ อาลามีย์ (Alami Shura) การแตกแยกนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการทำงานเผยแผ่ศาสนา (ดะอ์วะฮ์) และความสามัคคีในชุมชน ดังนี้ครับ:
ผลกระทบหลักต่อการทำงานดะอ์วะฮ์ (เผยแผ่)
1. ความสับสนและวิกฤตความไว้วางใจ
ความไม่แน่ใจในความเป็นผู้นำ: สมาชิกเกิดความสับสนว่าควรเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของผู้นำกลุ่มใด ทำให้เกิดความลังเลในการทำกิจวัตร เช่น การออกเดินทางไปดะอ์วะฮ์ (คุรูจ) หรือการเข้าร่วมการรวมตัวประจำปี (อิยติมาอ์)
การตั้งคำถามต่อศูนย์กลาง: เกิดความไม่ไว้วางใจต่อสำนักงานใหญ่ (มัรกัส) ทั้งที่นิศอมุดดีนและรอยวินด์ ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเอกภาพและความบริสุทธิ์ของขบวนการ
2. การแบ่งแยกในท้องถิ่น (Local Fragmentation)
การแบ่งมัสยิด: ในหลายพื้นที่ มัสยิดและศูนย์ดะอ์วะฮ์ที่เคยเป็นกลาง ได้ถูกบังคับให้เลือกข้าง ทำให้สมาชิกในชุมชนเดียวกันที่เคยทำงานร่วมกันต้องแบ่งแยกเป็นสองกลุ่ม แยกห้องทำกิจกรรม หรือเลิกพูดคุยกัน
ความขัดแย้งส่วนตัว: สมาชิกที่ทำงานดะอ์วะฮ์ร่วมกันมานานต้องเผชิญกับความขัดแย้งทางอารมณ์และส่วนตัวกับเพื่อนร่วมกลุ่มที่เลือกข้างตรงข้าม ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องในอิสลาม (อุคูวะห์)
3. ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
ความซ้ำซ้อนของงาน: แทนที่จะทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายเดียว ทั้งสองกลุ่มต่างจัดกิจกรรมดะอ์วะฮ์ การประชุม (มัชวะเราะห์) และการรวมตัว (อิยติมาอ์) แยกจากกัน ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากร (เวลา เงิน และบุคลากร) ซ้ำซ้อนและไม่มีประสิทธิภาพ
การขัดขวางการเดินทาง (คุรูจ): การจัดกลุ่มเดินทางดะอ์วะฮ์ (ญะมาอะฮ์) ในบางครั้งทำได้ยากขึ้น เนื่องจากต้องแน่ใจว่าสมาชิกทุกคนมาจากกลุ่มเดียวกันเพื่อหลีกเลี่ยงข้อถกเถียงระหว่างเดินทาง
ผลกระทบต่อมุมมองสาธารณะ
4. ภาพลักษณ์ภายนอกที่เสียหาย
การสูญเสียความน่าเชื่อถือ: สำหรับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม (รวมถึงมุสลิมทั่วไปที่ไม่ใช่สมาชิก) การแตกแยกนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของตับลีฆ ญะมาอะฮ์ ซึ่งเน้นความสามัคคี (วะห์ดะห์) เสียหาย และถูกมองว่ากำลังเผชิญกับความขัดแย้งทางการเมืองและอำนาจเหมือนกลุ่มอื่น ๆ
การบิดเบือนเจตนา: ข้อพิพาทเรื่องการบริหารและทรัพย์สิน ถูกนำไปใช้โดยสื่อหรือผู้ไม่หวังดีเพื่อกล่าวหาว่าขบวนการดะอ์วะฮ์นี้มีเป้าหมายแอบแฝงที่ไม่ใช่เพื่อศาสนาอย่างแท้จริง
มุมมองของสมาชิก
กลุ่มที่ยึดมั่นต่อผู้นำ (ซะอ์ดีย์): สมาชิกกลุ่มนี้มักจะรู้สึกว่าตนเองกำลังปกป้อง ผู้นำที่ถูกต้องตามการสืบทอด และมองว่าอีกฝ่ายกำลังสร้างความวุ่นวายโดยการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบบที่เคยเป็นอยู่
กลุ่มที่ยึดมั่นต่อหลักการ (อาลามีย์): สมาชิกกลุ่มนี้มักจะรู้สึกว่าตนเองกำลังต่อสู้เพื่อ หลักการดั้งเดิมของชูรอ และป้องกันไม่ให้ขบวนการดะอ์วะฮ์กลายเป็นการปกครองแบบเผด็จการหรือการสืบทอดอำนาจในตระกูล
กล่าวโดยสรุป การแตกแยกนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหลักปฏิบัติทางศาสนาหลักของสมาชิก แต่ได้ทำลาย โครงสร้างองค์กร และ ความเป็นพี่น้อง ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญของการทำงานดะอ์วะฮ์ของพวกเขาไปอย่างมาก
ในประเทศไทยกลุ่มญามะอัต มีการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบมุมมองเช่นไร?
การแตกแยกในศูนย์กลางของญะมาอะฮ์ ดาวะฮ์ ตับลีฆ (Tablighi Jamaat) ระหว่างกลุ่ม ซะอ์ดีย์ (Maulana Sa'ad) และ อาลามีย์ ชูรอ (Alami Shura) ในอินเดียและปากีสถาน ได้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มญะมาอะฮ์ในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยมีผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงในมุมมองดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่อการทำงานในประเทศไทย
การแตกแยกได้ส่งผลให้เกิดการแบ่งฝ่ายและลดประสิทธิภาพในการทำงานดะอ์วะฮ์ (เผยแผ่ศาสนา) ภายในประเทศ
A. การแบ่งฝ่ายและศูนย์กลางในท้องถิ่น
การเลือกข้าง: สมาชิกอาวุโสและผู้นำท้องถิ่นในประเทศไทยต้องตัดสินใจเลือกข้าง ทำให้เกิดการแบ่งฝ่ายในมัสยิดและศูนย์ดะอ์วะฮ์ที่เคยเป็นกลาง
การแบ่งแยกในมัรกัสใหญ่: แม้ว่า มัรกัสใหญ่ (ศูนย์กลาง) ในจังหวัดยะลา จะมีความพยายามรักษาความเป็นกลาง แต่ในทางปฏิบัติ มักจะมีการเอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือเกิดความขัดแย้งในการบริหารจัดการและกำหนดทิศทางการทำงานร่วมกับศูนย์กลางในต่างประเทศ
การลดลงของ "คุรูจ" (การเดินทาง): การจัดกลุ่มเดินทางดะอ์วะฮ์ (ญะมาอะฮ์) ทำได้ยากขึ้น เนื่องจากความไม่ไว้วางใจระหว่างกลุ่ม และความสับสนว่าการเดินทางนั้นได้รับคำสั่งหรือการอนุมัติจากศูนย์กลางที่ถูกต้องตามฝ่ายใด
B. ความขัดแย้งด้านอำนาจและการบริหาร
การประชุม (มัชวะเราะห์) ที่วุ่นวาย: การประชุมเพื่อวางแผนการทำงานร่วมกันในระดับประเทศและระดับท้องถิ่นเกิดความตึงเครียดมากขึ้น เนื่องจากผู้นำแต่ละฝ่ายไม่ยอมรับอำนาจหรือแนวทางของอีกฝ่าย
การสูญเสียบุคลากร: สมาชิกบางส่วนที่เบื่อหน่ายกับความขัดแย้งทางการบริหารและอำนาจ อาจตัดสินใจออกจากการทำงานดะอ์วะฮ์ไป หรือหันไปเข้าร่วมกับกลุ่มศาสนาอื่น ๆ ที่ไม่มีความขัดแย้งภายใน
2. ผลกระทบต่อมุมมองและความสัมพันธ์กับสังคมภายนอก
A. มุมมองต่อชุมชนมุสลิมอื่น
การมองจากกลุ่มอื่น: กลุ่มมุสลิมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ตับลีฆ (เช่น กลุ่มอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ วัล-ญะมาอะฮ์ ทั่วไป หรือกลุ่มแนวทางปฏิรูป) มักมองความขัดแย้งนี้ว่าเป็นหลักฐานว่า ตับลีฆไม่สามารถรักษาวะห์ดะห์ (ความเป็นเอกภาพ) ได้จริง แม้จะเน้นเรื่องนี้อย่างมากในการดะอ์วะฮ์ของพวกเขา
ความขัดแย้งที่เบาลง: อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติของตับลีฆ ญะมาอะฮ์ ที่ หลีกเลี่ยงการยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและประเด็นทางเทววิทยาที่ซับซ้อน ทำให้ความขัดแย้งไม่รุนแรงเท่ากับกลุ่มที่มีความขัดแย้งด้านความเชื่อ (อะกีดะฮ์) โดยตรง
B. มุมมองจากภาครัฐและสังคมทั่วไป
การรักษาความสงบ: ในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ รัฐบาลมักมองว่า ตับลีฆ ญะมาอะฮ์ มีส่วนช่วยในการ ลดแนวคิดชาตินิยม/เชื้อชาตินิยม และส่งเสริมให้มุสลิมให้ความสำคัญกับ การปฏิบัติศาสนกิจส่วนบุคคล มากกว่าการเคลื่อนไหวทางการเมือง
ความกังวลด้านความมั่นคง: การแบ่งฝ่ายและการขัดแย้งภายในในระดับสากล อาจทำให้ฝ่ายความมั่นคงของไทยเฝ้าระวังมากขึ้นต่อกิจกรรมและการรวมตัวของกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการโอนอำนาจบริหารไปยังศูนย์กลางในปากีสถานหรือบังกลาเทศ
โดยสรุปแล้ว การแตกแยกนี้ในประเทศไทยได้เปลี่ยนจาก ขบวนการที่เป็นเอกภาพและไร้ความขัดแย้ง ไปสู่ ขบวนการที่ถูกแบ่งแยกทางโครงสร้างอำนาจ ทำให้เกิดความท้าทายในการบริหารจัดการและการรักษาความสามัคคีในกลุ่มผู้เผยแผ่ศาสนา 💔
"ในประทศไทยกลุ่มนี้หาแนวทางแก้ไขอย่างไร เลือกข้าง เลือกที่จะรวมเป็นเอกภาพเหมือนยุคแรก"
จากผลกระทบที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แนวทางแก้ไขที่กลุ่มญะมาอะฮ์ ตับลีฆ ใช้คือความพยายามที่จะ รวมเป็นเอกภาพ และยึดมั่นในแนวทางดั้งเดิมเพื่อหลีกเลี่ยงการเลือกข้างที่ชัดเจน ดังนี้ครับ
แนวทางการแก้ไขและการเลือกของญะมาอะฮ์ ตับลีฆ ในประเทศไทย
ญะมาอะฮ์ ตับลีฆในประเทศไทย โดยเฉพาะผู้นำอาวุโส มักจะใช้แนวทาง ประนีประนอมและยึดมั่นในเอกภาพ เพื่อรักษาความสงบภายในกลุ่ม เนื่องจากภารกิจหลักของตับลีฆคือการดะอ์วะฮ์ (เผยแผ่ศาสนา) ไม่ใช่การเมืองหรือการบริหาร
1. การยึดมัรกัส (ศูนย์กลาง) เป็นกลาง
มัรกัสใหญ่ยะลา: ศูนย์กลางใหญ่ในประเทศไทย (มัรกัสใหญ่ ณ จังหวัดยะลา) พยายามที่จะรักษาความเป็นกลางในระดับนโยบายอย่างเป็นทางการ โดยเน้นย้ำถึง ความสำคัญของเอกภาพ (วะห์ดะห์) และหลีกเลี่ยงการประกาศจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะสนับสนุนกลุ่ม ซะอ์ดีย์ หรือ อาลามีย์
คำสั่งจากศูนย์กลางในประเทศ: คำสั่งและการตัดสินใจส่วนใหญ่จะถูกออกโดย คณะกรรมการอาวุโส (ชูรอ) ของไทย เอง เพื่อลดการพึ่งพาคำสั่งโดยตรงจากศูนย์กลางในอินเดีย (นิศอมุดดีน) หรือปากีสถาน (รอยวินด์) ในประเด็นที่อ่อนไหว
2. เน้นหลักการดะอ์วะฮ์ดั้งเดิม
ย้อนกลับไปสู่เป้าหมายเดิม: ผู้นำจะกำชับสมาชิกให้กลับไปเน้นย้ำที่ หกคุณสมบัติ (Sifāt) และการออกเดินทางเผยแผ่ (คุรูจ) โดยเน้นว่าความขัดแย้งในอินเดียเป็นเรื่องของ "การบริหาร" ไม่ใช่ "หลักการศาสนา"
ละเว้นการถกเถียง: มีการแนะนำสมาชิกอย่างเคร่งครัดให้ หลีกเลี่ยงการพูดคุยหรือถกเถียง เกี่ยวกับประเด็นความขัดแย้งระหว่างเมาลานา ซะอด์ กับอาลามีย์ ชูรอ ในระหว่างการเดินทางหรือในการรวมตัว เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งแพร่กระจายไปยังสมาชิกใหม่หรือชุมชนท้องถิ่น
3. การแสดงออกถึงเอกภาพ
การจัดรวมตัวร่วมกัน: แม้จะมีความตึงเครียด แต่การรวมตัวประจำปี (อิยติมาอ์) ในไทยยังคงจัดขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ ความเป็นหนึ่งเดียว โดยพยายามเชิญวิทยากรจากทั้งสองฝ่าย (อย่างระมัดระวัง) หรือเชิญวิทยากรที่มีความเป็นกลาง
การทำงานร่วมกันในท้องถิ่น: ในระดับมัสยิดหรือชุมชนท้องถิ่นหลายแห่ง สมาชิกพยายามที่จะ ทำงานดะอ์วะฮ์ร่วมกัน เหมือนเดิม โดยไม่สนใจว่าใครเลือกข้างไหนในการบริหารงานต่างประเทศ เพราะเชื่อว่าการรักษาความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง (อุคูวะห์) สำคัญกว่าความขัดแย้งเรื่องอำนาจ
สรุป: การเลือกของญะมาอะฮ์ไทย
ญะมาอะฮ์ ตับลีฆในประเทศไทยเลือกที่จะ "รวมเป็นเอกภาพเหมือนยุคแรก" ในทางปฏิบัติและอุดมการณ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อ:
รักษาภารกิจดะอ์วะฮ์: ให้ความสำคัญกับการเผยแผ่มากกว่าการเมืองภายในองค์กร
ป้องกันการแตกหักในประเทศ: หลีกเลี่ยงความเสียหายต่อโครงสร้างและทรัพย์สินของกลุ่มในไทย
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความพยายามอย่างสูงในการรวมเป็นเอกภาพ แต่ในทางลับและในการตัดสินใจของผู้นำอาวุโสแต่ละคน ก็ยังคงมี ความเอนเอียงส่วนตัว ไปยังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่บ้าง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเรื่องการส่งตัวแทนไปศูนย์กลางต่างประเทศ หรือการต้อนรับญะมาอะฮ์ที่เดินทางมาจากอินเดีย/ปากีสถานในอนาคต
สรุปมุมมองโดยรวม ของปรากฎการนี้ สะท้อนให้เห็นอะไร และจะจบอย่างไรหรือไม่!!!
ปรากฏการณ์การแตกแยกของญะมาอะฮ์ ดาวะฮ์ ตับลีฆ (Jama'at Dawa Tabligh) สะท้อนให้เห็นถึง ความท้าทายสากลของขบวนการทางศาสนาที่ไร้โครงสร้างทางการ และจบลงได้ยาก ตราบใดที่ความขัดแย้งยังคงเป็นเรื่องของอำนาจและการบริหาร มากกว่าหลักความเชื่อ
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง?
การแตกแยกนี้สะท้อนให้เห็นประเด็นสำคัญหลายประการในองค์กรทางศาสนาข้ามชาติ:
1. ความขัดแย้งเรื่องอำนาจและการสืบทอด (The Crisis of Leadership)
แม้ว่าตับลีฆจะมุ่งเน้นที่ความศรัทธาส่วนบุคคลและการเผยแผ่ศาสนาอย่างเคร่งครัดและหลีกเลี่ยงการเมืองโลก แต่กลับไม่สามารถหลีกเลี่ยง การแย่งชิงอำนาจสูงสุด ได้ การแตกแยกแสดงให้เห็นว่า:
ความผูกพันกับตระกูล:
ขบวนการที่ใหญ่ระดับโลกถูกควบคุมโดยผู้นำที่สืบทอดอำนาจใน ตระกูลคานดัลวี (Kandhalwi) เป็นหลัก เมื่อมีการแต่งตั้งผู้นำคนเดียว (เมาลานา ซะอด์) โดยข้ามระบบการปรึกษาหารือ (ชูรอ) ที่ใช้มานาน จึงเกิดการต่อต้านจากสมาชิกอาวุโสที่มองว่าเป็นการเบี่ยงเบนจากแนวทางดั้งเดิม
การไร้โครงสร้างที่เป็นทางการ: การที่ตับลีฆไม่มีธรรมนูญหรือข้อบังคับที่เป็นทางการ (Written Constitution) ทำให้เมื่อผู้นำรุ่นก่อนจากไป ไม่มีกลไกที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับร่วมกันในการตัดสินใจแต่งตั้งผู้นำคนใหม่
2. ความขัดแย้งระหว่าง "อำนาจผู้นำ" กับ "ระบบชูรอ"
นี่คือหัวใจของความขัดแย้งที่สะท้อนให้เห็นว่า องค์กรศาสนาต้องเลือกระหว่าง:
อำนาจรวมศูนย์ (Centralized Authority): เน้นความเด็ดขาดของผู้นำคนเดียว (อะมีร) เพื่อให้เกิดการตัดสินใจที่รวดเร็วและมีทิศทางเดียว (แบบที่กลุ่มซะอ์ดีย์ต้องการ)
การบริหารแบบมีส่วนร่วม (Collective Shura): เน้นการตัดสินใจร่วมกันของคณะที่ปรึกษา (แบบที่กลุ่มอาลามีย์ต้องการ) เพื่อป้องกันการใช้อำนาจตามอำเภอใจ
3. ผลกระทบต่อเอกภาพและประสิทธิภาพ (The Loss of Unity)
ปรากฏการณ์นี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อความขัดแย้งข้ามชาติมาถึงท้องถิ่น (เช่นในประเทศไทย) สิ่งที่สูญเสียไปคือ พลังงานและทรัพยากร ที่ควรใช้ในการเผยแผ่ศาสนา กลับถูกใช้ไปกับการต่อสู้ภายในและการแบ่งกลุ่ม ซึ่งบั่นทอนความศรัทธาและความเป็นพี่น้องของมุสลิม
ปรากฏการณ์นี้จะจบลงอย่างไร? (แนวโน้ม)
มีความเป็นไปได้น้อยที่ความขัดแย้งนี้จะจบลงอย่างสมบูรณ์ในระยะเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากไม่มีอำนาจกลางทางศาสนาใดที่สามารถตัดสินและบังคับให้ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้อย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมีดังนี้:
1. การคงอยู่ของสองกลุ่ม (De Facto Split)
มีความเป็นไปได้สูงที่ตับลีฆ ญะมาอะฮ์ จะยังคงดำเนินงานต่อไปในรูปแบบของ สองกลุ่มหลักที่แยกจากกันอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีศูนย์กลางการควบคุมที่แตกต่างกัน
กลุ่มซะอ์ดีย์: จะควบคุมมัรกัสเดิมที่นิศอมุดดีน และยังคงมีอิทธิพลในประเทศอินเดียและบางส่วนของโลก
กลุ่มอาลามีย์: จะรวมตัวกันรอบมัรกัสในปากีสถาน/บังกลาเทศ และกลายเป็น ขบวนการชูรอสากล (Alami Shura) ที่ทำงานเผยแผ่ไปทั่วโลกในนามของการกลับคืนสู่หลักการดั้งเดิม
2. การแก้ไขในระดับท้องถิ่น (Local Solutions)
ในประเทศที่เน้นเอกภาพสูง เช่น ประเทศไทย แนวทางแก้ไขอาจเป็นการ รักษาความเป็นกลาง และสร้าง คณะชูรอท้องถิ่นที่เข้มแข็ง เพื่อตัดสินใจด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากศูนย์กลางในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ความขัดแย้งภายนอกมีผลกระทบต่อกิจกรรมในประเทศน้อยลง
3. การยุติความขัดแย้งอาจเกิดขึ้นเมื่อ...
ความขัดแย้งจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อ:
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดอำนาจลงอย่างชัดเจน หรือ
มีผู้นำรุ่นใหม่ที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย ก้าวขึ้นมาพร้อมกับ กลไกชูรอที่เป็นลายลักษณ์อักษรและเป็นธรรม ในการบริหารงานร่วมกัน
ตราบใดที่ประเด็นเรื่อง ใครคือผู้มีอำนาจ (อะมีร) ยังไม่ได้รับการคลี่คลายอย่างเป็นทางการโดยผู้มีอำนาจทางศาสนาที่ทั้งสองฝ่ายให้ความเคารพอย่างแท้จริง ปรากฏการณ์นี้ก็จะยังคงเป็นรอยร้าวที่คุกคามเอกภาพของขบวนการต่อไป 💔
ชุมพล ศรีสมบัติ รวบรวมเรียบเรียง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
โปรดใช้วิจารณญานในการแสดงความคิดเห็น