ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งในกลุ่มมุสลิมในยุคอิหม่ามอาลี และการปกครองของราชวงศ์อุมามิยะห์

สงครามอูฐ (The Battle of the Camel) เป็นสงครามความขัดแย้งที่สำคัญในประวัติศาสตร์อิสลามยุคแรก ซึ่งเกิดขึ้นในปี ฮ.ศ. 36 (ค.ศ. 656) ระหว่างกองทัพของท่านอิหม่ามอะลี บิน อะบี ฏอลิบ (ขอพระองค์ทรงพอพระทัย) กับกองกำลังที่นำโดยกลุ่มซอฮาบะฮ์บางท่าน โดยเฉพาะท่านฏ็อลฮะฮ์ บิน อุบัยดิลลาฮ์, ท่านซุบัยร์ บิน อัล-เอาวาม (ขอพระองค์ทรงพอพระทัย) และท่านหญิงอาอิชะฮ์ บินต์ อะบี บักรฺ (ขอพระนางทรงพอพระทัย)

สงครามอูฐ (The Battle of the Camel) เป็นสงครามความขัดแย้งที่สำคัญในประวัติศาสตร์อิสลามยุคแรก ซึ่งเกิดขึ้นในปี ฮ.ศ. 36 (ค.ศ. 656) ระหว่างกองทัพของท่านอิหม่ามอะลี บิน อะบี ฏอลิบ (ขอพระองค์ทรงพอพระทัย) กับกองกำลังที่นำโดยกลุ่มซอฮาบะฮ์บางท่าน โดยเฉพาะท่านฏ็อลฮะฮ์ บิน อุบัยดิลลาฮ์, ท่านซุบัยร์ บิน อัล-เอาวาม (ขอพระองค์ทรงพอพระทัย) และท่านหญิงอาอิชะฮ์ บินต์ อะบี บักรฺ (ขอพระนางทรงพอพระทัย)
สาเหตุที่ซอฮาบะฮ์บางท่านเข้าร่วมสงคราม
 * การเรียกร้องให้ชำระแค้นผู้สังหารท่านอุษมาน: หลังจากที่ท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน (ขอพระองค์ทรงพอพระทัย) เคาะลีฟะฮ์องค์ที่สามถูกสังหาร กลุ่มซอฮาบะฮ์เหล่านี้เชื่อว่าท่านอะลีในฐานะผู้นำคนใหม่ควรจะรีบสืบสวนและลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสังหารอย่างเร่งด่วน แต่ท่านอะลีเห็นว่าในสถานการณ์ที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย การทำเช่นนั้นทันทีอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงกว่าเดิม จึงตัดสินใจที่จะจัดการกับปัญหานี้หลังจากที่บ้านเมืองสงบลงแล้ว ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เกิดความไม่พอใจ
 * ความเข้าใจผิดและข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน: มีรายงานว่ามีกลุ่มบุคคลที่ต้องการสร้างความขัดแย้งได้ทำการยุยงและแพร่ข่าวเท็จ ทำให้ซอฮาบะฮ์บางท่านเข้าใจว่าท่านอะลีปกป้องหรือให้ที่พักพิงแก่กลุ่มผู้สังหารท่านอุษมาน ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดที่นำไปสู่การเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านท่านอะลี
สาเหตุที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์เข้าร่วมในสงคราม
 * บทบาทในฐานะ "มารดาแห่งผู้ศรัทธา": ในฐานะภรรยาของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ท่านหญิงอาอิชะฮ์เป็นที่เคารพรักอย่างสูงในหมู่ประชาชาติมุสลิม และถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการรักษาและเผยแผ่คำสอนของท่านนบี
 * ความรู้สึกเสียใจต่อการเสียชีวิตของท่านอุษมาน: ท่านหญิงอาอิชะฮ์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านอุษมานและรู้สึกเสียใจอย่างมากต่อการเสียชีวิตของท่าน เธอต้องการให้มีการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเป็นธรรม และเชื่อว่าความล่าช้าในการดำเนินการของท่านอะลีเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
 * การถูกชักชวนให้เป็นผู้นำ: กลุ่มซอฮาบะฮ์ที่ต้องการให้มีการสืบสวนและลงโทษผู้สังหารได้เดินทางไปพบกับท่านหญิงอาอิชะฮ์ที่มักกะฮ์ และได้ชักชวนให้เธอนำทัพเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม โดยเชื่อว่าการมีท่านหญิงอาอิชะฮ์เป็นผู้นำจะช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้กับกองทัพ และทำให้เป้าหมายของพวกเขามีน้ำหนักมากขึ้น ท่านหญิงอาอิชะฮ์จึงตอบรับคำชวนและเดินทางไปพร้อมกับกองทัพ โดยการเข้าร่วมของท่านหญิงไม่ได้มีเจตนาที่จะทำสงครามเพื่อแย่งชิงอำนาจ แต่เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับท่านอุษมาน
ผลของแกนนำผู้เข้าร่วมรบ
 * ท่านฏ็อลฮะฮ์และท่านซุบัยร์: ทั้งสองท่านได้เสียชีวิตในสงครามนี้ มีรายงานว่าท่านซุบัยร์ตัดสินใจที่จะถอนตัวจากการรบหลังจากได้พูดคุยกับท่านอะลีและได้ตระหนักถึงความเข้าใจผิด แต่ถูกสังหารโดยชายคนหนึ่งในระหว่างการเดินทางกลับ ส่วนท่านฏ็อลฮะฮ์ถูกลูกธนูยิงเสียชีวิตขณะที่กำลังสู้รบ
 * ท่านหญิงอาอิชะฮ์: กองทัพของท่านหญิงอาอิชะฮ์พ่ายแพ้ในสงครามนี้ ซึ่งได้ชื่อว่า "สงครามอูฐ" เนื่องจากกองทัพของท่านหญิงรวมตัวกันรอบอูฐที่ท่านหญิงนั่งอยู่
ผลกระทบต่อท่านหญิงอาอิชะฮ์หลังจากเหตุการณ์นี้
 * การยุติความขัดแย้ง: หลังจากสิ้นสุดสงคราม ท่านอะลีได้แสดงความเคารพต่อท่านหญิงอาอิชะฮ์อย่างเต็มที่ ท่านได้ส่งพี่น้องของท่านไปพร้อมกับทหารหญิงเพื่อคุ้มครองและส่งท่านหญิงอาอิชะฮ์กลับสู่เมืองมะดีนะฮ์ด้วยความปลอดภัย
 * ความเสียใจและความสำนึกผิด: มีรายงานว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ ท่านหญิงอาอิชะฮ์รู้สึกเสียใจอย่างมากที่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของสงครามและได้สำนึกผิดต่อการตัดสินใจในครั้งนั้น เธอใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในมะดีนะฮ์อย่างสันโดษและมุ่งมั่นกับการเผยแผ่ความรู้ด้านศาสนาอิสลามจากสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ)
 * สถานะที่ยังคงได้รับการเคารพ: แม้จะเกิดความขัดแย้งขึ้น แต่สถานะของท่านหญิงอาอิชะฮ์ในฐานะ "มารดาแห่งผู้ศรัทธา" ยังคงได้รับการเคารพอย่างสูงจากประชาชาติมุสลิม และเป็นผู้ที่ถ่ายทอดหะดีษ (คำสอนและแบบอย่างของท่านนบี) จำนวนมาก ซึ่งเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญยิ่งสำหรับชาวมุสลิมจนถึงทุกวันนี้
สาเหตุที่ซอฮาบะห์เข้าร่วสงคราม
        * การเรียกร้องให้ชำระแค้นผู้สังหารท่านอุษมาน: หลังจากที่ท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน (ขอพระองค์ทรงพอพระทัย) เคาะลีฟะฮ์องค์ที่สามถูกสังหาร กลุ่มซอฮาบะฮ์เหล่านี้เชื่อว่าท่านอะลีในฐานะผู้นำคนใหม่ควรจะรีบสืบสวนและลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสังหารอย่างเร่งด่วน แต่ท่านอะลีเห็นว่าในสถานการณ์ที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย การทำเช่นนั้นทันทีอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงกว่าเดิม จึงตัดสินใจที่จะจัดการกับปัญหานี้หลังจากที่บ้านเมืองสงบลงแล้ว ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เกิดความไม่พอใจ
      * ความเข้าใจผิดและข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน: มีรายงานว่ามีกลุ่มบุคคลที่ต้องการสร้างความขัดแย้งได้ทำการยุยงและแพร่ข่าวเท็จ ทำให้ซอฮาบะฮ์บางท่านเข้าใจว่าท่านอะลีปกป้องหรือให้ที่พักพิงแก่กลุ่มผู้สังหารท่านอุษมาน ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดที่นำไปสู่การเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านท่านอะลี
สาเหตุที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์เข้าร่วมในสงคราม
     * บทบาทในฐานะ "มารดาแห่งผู้ศรัทธา": ในฐานะภรรยาของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ท่านหญิงอาอิชะฮ์เป็นที่เคารพรักอย่างสูงในหมู่ประชาชาติมุสลิม และถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการรักษาและเผยแผ่คำสอนของท่านนบี
      * ความรู้สึกเสียใจต่อการเสียชีวิตของท่านอุษมาน: ท่านหญิงอาอิชะฮ์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านอุษมานและรู้สึกเสียใจอย่างมากต่อการเสียชีวิตของท่าน เธอต้องการให้มีการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเป็นธรรม และเชื่อว่าความล่าช้าในการดำเนินการของท่านอะลีเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
       * การถูกชักชวนให้เป็นผู้นำ: กลุ่มซอฮาบะฮ์ที่ต้องการให้มีการสืบสวนและลงโทษผู้สังหารได้เดินทางไปพบกับท่านหญิงอาอิชะฮ์ที่มักกะฮ์ และได้ชักชวนให้เธอนำทัพเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม โดยเชื่อว่าการมีท่านหญิงอาอิชะฮ์เป็นผู้นำจะช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้กับกองทัพ และทำให้เป้าหมายของพวกเขามีน้ำหนักมากขึ้น ท่านหญิงอาอิชะฮ์จึงตอบรับคำชวนและเดินทางไปพร้อมกับกองทัพ โดยการเข้าร่วมของท่านหญิงไม่ได้มีเจตนาที่จะทำสงครามเพื่อแย่งชิงอำนาจ แต่เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับท่านอุษมาน
ผลของแกนนำผู้เข้าร่วมรบ
     * ท่านฏ็อลฮะฮ์และท่านซุบัยร์: ทั้งสองท่านได้เสียชีวิตในสงครามนี้ มีรายงานว่าท่านซุบัยร์ตัดสินใจที่จะถอนตัวจากการรบหลังจากได้พูดคุยกับท่านอะลีและได้ตระหนักถึงความเข้าใจผิด แต่ถูกสังหารโดยชายคนหนึ่งในระหว่างการเดินทางกลับ ส่วนท่านฏ็อลฮะฮ์ถูกลูกธนูยิงเสียชีวิตขณะที่กำลังสู้รบ
      * ท่านหญิงอาอิชะฮ์: กองทัพของท่านหญิงอาอิชะฮ์พ่ายแพ้ในสงครามนี้ ซึ่งได้ชื่อว่า "สงครามอูฐ" เนื่องจากกองทัพของท่านหญิงรวมตัวกันรอบอูฐที่ท่านหญิงนั่งอยู่
ผลกระทบต่อท่านหญิงอาอิชะฮ์หลังจากเหตุการณ์นี้
      * การยุติความขัดแย้ง: หลังจากสิ้นสุดสงคราม ท่านอะลีได้แสดงความเคารพต่อท่านหญิงอาอิชะฮ์อย่างเต็มที่ ท่านได้ส่งพี่น้องของท่านไปพร้อมกับทหารหญิงเพื่อคุ้มครองและส่งท่านหญิงอาอิชะฮ์กลับสู่เมืองมะดีนะฮ์ด้วยความปลอดภัย
      * ความเสียใจและความสำนึกผิด: มีรายงานว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ ท่านหญิงอาอิชะฮ์รู้สึกเสียใจอย่างมากที่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของสงครามและได้สำนึกผิดต่อการตัดสินใจในครั้งนั้น เธอใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในมะดีนะฮ์อย่างสันโดษและมุ่งมั่นกับการเผยแผ่ความรู้ด้านศาสนาอิสลามจากสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ)
      * สถานะที่ยังคงได้รับการเคารพ: แม้จะเกิดความขัดแย้งขึ้น แต่สถานะของท่านหญิงอาอิชะฮ์ในฐานะ "มารดาแห่งผู้ศรัทธา" ยังคงได้รับการเคารพอย่างสูงจากประชาชาติมุสลิม และเป็นผู้ที่ถ่ายทอดหะดีษ (คำสอนและแบบอย่างของท่านนบี) จำนวนมาก ซึ่งเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญยิ่งสำหรับชาวมุสลิมจนถึงทุกวันนี้

มุมมองของกลุ่มมุสลิมชีอะ
ห์มองเหตุการณ์นี้เช่นไร และมุมมองที่มีต่อท่านหญิงอาอีซะห์เป็นเช่นไร

ในมุมมองของกลุ่มมุสลิมชีอะฮ์ เหตุการณ์สงครามอูฐ (The Battle of the Camel) และบทบาทของท่านหญิงอาอิชะฮ์ในสงครามนี้ถูกตีความแตกต่างจากมุมมองของมุสลิมซุนนีย์อย่างชัดเจนครับ

มุมมองต่อสงครามอูฐ
      ชาวชีอะฮ์มองว่าสงครามอูฐเป็นความขัดแย้งที่สำคัญและเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการต่อต้านอำนาจของท่านอะลี บิน อะบี ฏอลิบ (ขอพระองค์ทรงพอพระทัย) ซึ่งเป็นอิหม่ามที่แท้จริงและเป็นเคาะลีฟะฮ์ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากพระเจ้าตามความเชื่อของพวกเขา
       * ความชอบธรรมของท่านอะลี: ชาวชีอะฮ์เชื่อว่าท่านอะลีเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำต่อจากท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) โดยตรง และการที่ท่านซอฮาบะฮ์บางท่าน รวมถึงท่านหญิงอาอิชะฮ์ ออกมาต่อต้านท่านอะลีนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและเป็นการละเมิดต่ออำนาจของท่าน
      * การก่อกบฏ: การกระทำของกลุ่มที่นำโดยท่านฏ็อลฮะฮ์, ท่านซุบัยร์ และท่านหญิงอาอิชะฮ์ ถูกมองว่าเป็นการก่อกบฏ (Bughat) ต่อต้านผู้นำที่ชอบธรรม และเป็นต้นเหตุของความแตกแยกในประชาชาติอิสลาม
      * เป้าหมายที่แท้จริง: ชีอะฮ์เชื่อว่าการที่กลุ่มดังกล่าวเรียกร้องให้ชำระแค้นผู้สังหารท่านอุษมานนั้น เป็นเพียงข้ออ้าง แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือการล้มล้างอำนาจของท่านอะลีและแย่งชิงตำแหน่งผู้นำ
มุมมองต่อท่านหญิงอาอิชะฮ์
มุมมองของชาวชีอะฮ์ที่มีต่อท่านหญิงอาอิชะฮ์ค่อนข้างวิพากษ์วิจารณ์และแตกต่างจากชาวซุนนีย์อย่างมากครับ
       * การไม่ยอมรับในความเป็น "มารดาแห่งผู้ศรัทธา" ทั้งหมด: ในขณะที่ชาวซุนนีย์ให้ความเคารพท่านหญิงอาอิชะฮ์ในฐานะ "มารดาแห่งผู้ศรัทธา" (Umm al-Mu'minin) และเป็นภรรยาของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ซึ่งเป็นผู้ที่ถ่ายทอดหะดีษจำนวนมาก ชาวชีอะฮ์จะยอมรับสถานะนี้เพียงบางส่วนเท่านั้น พวกเขาจะเน้นไปที่การกระทำของท่านหญิงที่ขัดแย้งกับท่านอะลีมากกว่า
       * การวิจารณ์บทบาทในสงครามอูฐ: ชาวชีอะฮ์มองว่าการที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์นำทัพต่อสู้กับท่านอะลีนั้นเป็นความผิดที่ร้ายแรงและเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความเกลียดชังของท่านหญิงที่มีต่อท่านอะลี
     * การไม่ยอมรับหะดีษจากท่านหญิง: เนื่องจากการไม่ยอมรับบทบาทของท่านหญิงในสงครามอูฐ ชาวชีอะฮ์จึงมีความระมัดระวังอย่างยิ่งในการยอมรับหะดีษที่ถ่ายทอดโดยท่านหญิงอาอิชะฮ์ โดยเชื่อว่าหะดีษบางส่วนอาจมีการบิดเบือนหรือถ่ายทอดด้วยอคติ

โดยสรุปแล้ว มุมมองของชาวชีอะฮ์ต่อเหตุการณ์สงครามอูฐและท่านหญิงอาอิชะฮ์นั้น เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อหลักที่ว่าท่านอะลีเป็นผู้นำที่ชอบธรรมเพียงผู้เดียว และการกระทำใด ๆ ที่ต่อต้านท่านอะลีถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งส่งผลให้การมองประวัติศาสตร์และบุคคลสำคัญในยุคนั้นแตกต่างไปจากมุมมองของชาวซุนนีย์อย่างสิ้นเชิงครับ

ในมุมมองของกลุ่มมุสลิมชีอะฮ์ เหตุการณ์สงครามอูฐ (The Battle of the Camel) และบทบาทของท่านหญิงอาอิชะฮ์ในสงครามนี้ถูกตีความแตกต่างจากมุมมองของมุสลิมซุนนีย์อย่างชัดเจนครับ
มุมมองต่อสงครามอูฐ
       ชาวชีอะฮ์มองว่าสงครามอูฐเป็นความขัดแย้งที่สำคัญและเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการต่อต้านอำนาจของท่านอะลี บิน อะบี ฏอลิบ (ขอพระองค์ทรงพอพระทัย) ซึ่งเป็นอิหม่ามที่แท้จริงและเป็นเคาะลีฟะฮ์ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากพระเจ้าตามความเชื่อของพวกเขา
       * ความชอบธรรมของท่านอะลี: ชาวชีอะฮ์เชื่อว่าท่านอะลีเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำต่อจากท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) โดยตรง และการที่ท่านซอฮาบะฮ์บางท่าน รวมถึงท่านหญิงอาอิชะฮ์ ออกมาต่อต้านท่านอะลีนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและเป็นการละเมิดต่ออำนาจของท่าน
      * การก่อกบฏ: การกระทำของกลุ่มที่นำโดยท่านฏ็อลฮะฮ์, ท่านซุบัยร์ และท่านหญิงอาอิชะฮ์ ถูกมองว่าเป็นการก่อกบฏ (Bughat) ต่อต้านผู้นำที่ชอบธรรม และเป็นต้นเหตุของความแตกแยกในประชาชาติอิสลาม
       * เป้าหมายที่แท้จริง: ชีอะฮ์เชื่อว่าการที่กลุ่มดังกล่าวเรียกร้องให้ชำระแค้นผู้สังหารท่านอุษมานนั้น เป็นเพียงข้ออ้าง แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือการล้มล้างอำนาจของท่านอะลีและแย่งชิงตำแหน่งผู้นำ
มุมมองต่อท่านหญิงอาอิชะฮ์
มุมมองของชาวชีอะฮ์ที่มีต่อท่านหญิงอาอิชะฮ์ค่อนข้างวิพากษ์วิจารณ์และแตกต่างจากชาวซุนนีย์อย่างมากครับ
      * การไม่ยอมรับในความเป็น "มารดาแห่งผู้ศรัทธา" ทั้งหมด: ในขณะที่ชาวซุนนีย์ให้ความเคารพท่านหญิงอาอิชะฮ์ในฐานะ "มารดาแห่งผู้ศรัทธา" (Umm al-Mu'minin) และเป็นภรรยาของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ซึ่งเป็นผู้ที่ถ่ายทอดหะดีษจำนวนมาก ชาวชีอะฮ์จะยอมรับสถานะนี้เพียงบางส่วนเท่านั้น พวกเขาจะเน้นไปที่การกระทำของท่านหญิงที่ขัดแย้งกับท่านอะลีมากกว่า
        * การวิจารณ์บทบาทในสงครามอูฐ: ชาวชีอะฮ์มองว่าการที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์นำทัพต่อสู้กับท่านอะลีนั้นเป็นความผิดที่ร้ายแรงและเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความเกลียดชังของท่านหญิงที่มีต่อท่านอะลี
       * การไม่ยอมรับหะดีษจากท่านหญิง: เนื่องจากการไม่ยอมรับบทบาทของท่านหญิงในสงครามอูฐ ชาวชีอะฮ์จึงมีความระมัดระวังอย่างยิ่งในการยอมรับหะดีษที่ถ่ายทอดโดยท่านหญิงอาอิชะฮ์ โดยเชื่อว่าหะดีษบางส่วนอาจมีการบิดเบือนหรือถ่ายทอดด้วยอคติ

โดยสรุปแล้ว มุมมองของชาวชีอะฮ์ต่อเหตุการณ์สงครามอูฐและท่านหญิงอาอิชะฮ์นั้น เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อหลักที่ว่าท่านอะลีเป็นผู้นำที่ชอบธรรมเพียงผู้เดียว และการกระทำใด ๆ ที่ต่อต้านท่านอะลีถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งส่งผลให้การมองประวัติศาสตร์และบุคคลสำคัญในยุคนั้นแตกต่างไปจากมุมมองของชาวซุนนีย์อย่างสิ้นเชิงครับ

+ในสงครามอูฐ เป็นไปได้ใหม ว่ามีส่วนการสนับสนุนจากมูอาวิยะ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยอุษมาน ให้ไปปกครองชาม

      จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าท่านมุอาวิยะฮ์ (Mu'awiyah) ได้ให้การสนับสนุนโดยตรงในเชิงการส่งกองกำลังทหารเข้าร่วม สงครามอูฐ (Battle of the Camel) ซึ่งเกิดขึ้นในปี ฮ.ศ. 36 (ค.ศ. 656)
      อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของท่านมุอาวิยะฮ์และจุดยืนของท่านมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่นำไปสู่สงครามและถือเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งที่ตามมาในภายหลัง ซึ่งเป็นสงครามกลางเมืองครั้งแรกของอิสลาม

บริบทของความขัดแย้ง
 * การสังหารท่านอุษมาน: หลังจากท่านอุษมาน (Uthman) เคาะลีฟะฮ์องค์ที่สามถูกสังหาร ผู้ที่เรียกร้องให้มีการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเร่งด่วนมีอยู่สองกลุ่มหลัก:
      * กลุ่มของท่านหญิงอาอีซะฮ์, ฏ็อลฮะฮ์ และซุบัยร์: กลุ่มนี้ได้รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมและออกเดินทางจากนครมักกะฮ์ไปยังเมืองบัสราในอิรัก ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุของสงครามอูฐ
       * กลุ่มของท่านมุอาวิยะฮ์: ในฐานะผู้ปกครองเมืองชาม (ซีเรีย) และเป็นญาติของท่านอุษมาน ท่านมุอาวิยะฮ์ก็ถือเป็นอีกหนึ่งแกนนำสำคัญที่เรียกร้องให้มีการชำระแค้น แต่ท่านมุอาวิยะฮ์เลือกที่จะไม่ยอมรับการแต่งตั้งท่านอะลีเป็นเคาะลีฟะฮ์ และใช้การเรียกร้องนี้เป็นเหตุผลในการไม่ให้การสวามิภักดิ์ต่อท่านอะลี
       * จุดยืนที่แตกต่างกัน: แม้ว่าทั้งสองกลุ่มจะมีเป้าหมายร่วมกันในการเรียกร้องให้มีการลงโทษผู้สังหารท่านอุษมาน แต่ทั้งสองกลุ่มต่างก็ดำเนินการแยกกันและไม่ได้ร่วมมือกันโดยตรงในสงครามอูฐ ท่านมุอาวิยะฮ์ไม่ได้ส่งทหารจากซีเรียไปเข้าร่วมรบที่เมืองบัสรา เพราะท่านมีเป้าหมายของตัวเองที่ชัดเจนกว่า คือการรักษาอำนาจในซีเรียและไม่ยอมรับเคาะลีฟะฮ์ท่านใหม่
ผลกระทบหลังสงครามอูฐ
หลังจากที่ท่านอะลีได้รับชัยชนะในสงครามอูฐแล้ว ความขัดแย้งกับท่านมุอาวิยะฮ์ก็ทวีความรุนแรงขึ้น และนำไปสู่สงครามครั้งสำคัญอีกครั้งคือ สงครามศิฟฟีน (Battle of Siffin) ในปี ฮ.ศ. 37 (ค.ศ. 657) ซึ่งเป็นสงครามที่สู้รบกันระหว่างกองทัพของท่านอะลีกับกองทัพของท่านมุอาวิยะฮ์โดยตรง
      ดังนั้น แม้จะไม่มีการสนับสนุนโดยตรงในสงครามอูฐ แต่จุดยืนของท่านมุอาวิยะฮ์ในการไม่ยอมรับอำนาจของท่านอะลีและใช้การเรียกร้องเรื่องการชำระแค้นท่านอุษมานเป็นเครื่องมือทางการเมือง ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งในช่วงเวลานั้นมีความซับซ้อนและนำไปสู่สงครามกลางเมืองในที่สุด

*เหตุของสงครามศิฟฟิน มาจากสาเหตุใดและสงครามจบอย่างไร สงครามเสร็จสิ้น มีผลต่ออาลี และประชาชาติมุสลิมอย่างไรบ้าง

    สงครามศิฟฟีน (Battle of Siffin) เป็นสงครามความขัดแย้งที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อิสลามยุคแรก และมีผลกระทบอย่างยาวนานต่อการเมืองและศาสนาของประชาชาติมุสลิม
สาเหตุของสงครามศิฟฟีน
สาเหตุหลักของสงครามศิฟฟีนที่เกิดขึ้นในปี ฮ.ศ. 37 (ค.ศ. 657) มาจากความขัดแย้งระหว่าง ท่านอะลี บิน อะบี ฏอลิบ ในฐานะเคาะลีฟะฮ์คนที่สี่ กับ ท่านมุอาวิยะฮ์ บิน อะบี สุฟยาน ผู้ว่าการซีเรีย (ชาม) ที่ได้รับการแต่งตั้งจากท่านอุษมาน

      * การไม่ยอมรับความเป็นผู้นำของท่านอะลี: หลังจากที่ท่านอะลีได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเคาะลีฟะฮ์ต่อจากท่านอุษมาน ท่านมุอาวิยะฮ์ปฏิเสธที่จะให้การสวามิภักดิ์ (บัยอะฮ์) โดยอ้างว่าท่านอะลีปกป้องผู้ที่สังหารท่านอุษมาน และไม่ได้ดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างทันท่วงที
      * การเรียกร้องให้ชำระแค้นท่านอุษมาน: ท่านมุอาวิยะฮ์ซึ่งเป็นญาติของท่านอุษมาน ได้ใช้เสื้อเปื้อนเลือดของท่านอุษมานและนิ้วมือของภรรยาท่านอุษมานที่ถูกตัดไปแสดงต่อสาธารณชนในซีเรีย เพื่อปลุกระดมให้ผู้คนเรียกร้องความยุติธรรม และต้องการให้ท่านอะลีส่งตัวผู้สังหารท่านอุษมานมาให้ ท่านอะลีตอบว่าจำเป็นต้องสร้างความสงบเรียบร้อยในแผ่นดินก่อนจึงจะดำเนินการเรื่องนี้ได้ ซึ่งทำให้ท่านมุอาวิยะฮ์ไม่พอใจ
        * การปลดผู้ว่าการ: เมื่อท่านอะลีขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮ์ ท่านได้พยายามปลดผู้ว่าการที่ได้รับการแต่งตั้งจากท่านอุษมาน รวมถึงท่านมุอาวิยะฮ์ด้วย แต่ท่านมุอาวิยะฮ์ปฏิเสธคำสั่งของท่านอะลีและยืนกรานที่จะไม่ยอมรับอำนาจของเคาะลีฟะฮ์คนใหม่
       ความขัดแย้งนี้ได้บานปลายกลายเป็นสงครามเมื่อกองทัพของท่านอะลีและท่านมุอาวิยะฮ์มาเผชิญหน้ากันที่บริเวณ ศิฟฟีน ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำยูเฟรทีสในซีเรีย

การสิ้นสุดของสงคราม
สงครามศิฟฟีนกินเวลาหลายสัปดาห์ แต่จุดจบของสงครามเป็นไปอย่างเหนือความคาดหมาย
       * อุบายของท่านอัมรฺ อิบนุล อาศ: เมื่อกองทัพของท่านอะลีเริ่มได้เปรียบและเกือบจะได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ท่านอัมรฺ อิบนุล อาศ (Amr ibn al-Aas) ผู้เป็นที่ปรึกษาของท่านมุอาวิยะฮ์ ได้คิดอุบายขึ้น โดยให้ทหารของฝ่ายท่านมุอาวิยะฮ์นำคัมภีร์อัลกุรอานไปปักบนปลายหอกพร้อมตะโกนว่า "ขอให้อัลกุรอานเป็นผู้ตัดสินระหว่างเรา!"
       * ความเห็นต่างในกองทัพท่านอะลี: อุบายนี้ได้ผลทันที เพราะทำให้ทหารส่วนหนึ่งในกองทัพของท่านอะลีซึ่งเป็นผู้ศรัทธาที่บริสุทธิ์ใจ ยอมรับข้อเสนอในการเจรจาไกล่เกลี่ยตามหลักการของอัลกุรอาน ถึงแม้ว่าท่านอะลีจะมองเห็นว่าเป็นเพียงกลอุบายทางสงคราม แต่ท่านไม่สามารถขัดใจทหารของท่านได้ จึงจำต้องยอมรับข้อเสนอ
       * การตั้งอนุญาโตตุลาการ (ตะฮ์กีม): ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะยุติการสู้รบและส่งตัวแทนเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ย โดยฝ่ายท่านอะลีส่ง ท่านอะบู มูซา อัล-อัชอะรี และฝ่ายท่านมุอาวิยะฮ์ส่ง ท่านอัมรฺ อิบนุล อาศ ผลของการเจรจานั้นไม่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป แต่สุดท้ายก็ทำให้สถานะของท่านอะลีถูกสั่นคลอนอย่างหนัก


สงครามศิฟฟีนและผลจากการเจรจาไกล่เกลี่ยมีผลกระทบที่รุนแรงและยาวนานต่อท่านอะลีและประชาชาติมุสลิม:
       * การปรากฏตัวของกลุ่มเคาะวาริจญ์ (Khawarij): กลุ่มที่เคยอยู่ในกองทัพของท่านอะลีที่เห็นว่าการยอมรับการเจรจาไกล่เกลี่ยเป็นการทำบาปต่อพระเจ้า ได้แยกตัวออกจากกองทัพและกลายเป็นกลุ่มใหม่ที่เรียกตัวเองว่า "เคาะวาริจญ์" (ผู้ที่ออกจากแถว) พวกเขาเชื่อว่า "การตัดสินเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว" และได้กลายเป็นศัตรูของท่านอะลีในเวลาต่อมา
        * การลอบสังหารท่านอะลี: สงครามศิฟฟีนเป็นชนวนสำคัญที่นำไปสู่การลอบสังหารท่านอะลีในอีกไม่กี่ปีต่อมา โดยผู้ลอบสังหารเป็นสมาชิกของกลุ่มเคาะวาริจญ์ที่ต้องการกำจัดผู้นำที่พวกเขาเห็นว่าทำให้ศาสนาแปดเปื้อน
        * ความแตกแยกในประชาชาติมุสลิม: สงครามศิฟฟีนเป็นจุดเริ่มต้นของความแตกแยกทางการเมืองและศาสนาในหมู่มุสลิมอย่างถาวร ความขัดแย้งนี้ได้นำไปสู่การก่อตั้ง ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ โดยท่านมุอาวิยะฮ์หลังจากที่ท่านอะลีเสียชีวิตลง ซึ่งเป็นการสิ้นสุดยุคของเคาะลีฟะฮ์รอชิดีน และเป็นจุดเริ่มต้นของระบอบการปกครองแบบราชวงศ์ที่สืบทอดกันทางสายเลือด

โดยสรุปแล้ว สงครามศิฟฟีนไม่ได้จบลงด้วยชัยชนะที่ชัดเจนของฝ่ายใด แต่ผลจากการเจรจาไกล่เกลี่ยได้นำไปสู่ความแตกแยกทางการเมืองอย่างถาวรในประชาชาติมุสลิม และถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ปูทางไปสู่การก่อตั้งราชวงศ์อุมัยยะฮ์และเป็นต้นกำเนิดของนิกายชีอะฮ์และซุนนีย์ในเวลาต่อมาครับ

*หลังจากมีการลอบสังหารท่านอาลี ใครเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อ อำนาจได้มาอย่างไร อยู่นานแค่ไหน และใครเป็นผู้ครองครองอำนาจ เมื่อมีการเปลี่ยนขั้วทางอำนาจมีผลต่อหะซันและประชาชนมุสลิม ทั้งอดีตและมีส่วนกระทบกับมุสลิมยุคปัจจุบันหรือไมอย่างไร

      หลังจากที่ท่านอะลี บิน อะบี ฏอลิบ ถูกลอบสังหารในปี ฮ.ศ. 40 (ค.ศ. 661) การสืบทอดอำนาจได้ดำเนินไปในลักษณะที่ซับซ้อนและมีผลกระทบอย่างมากต่ออนาคตของประชาชาติมุสลิม

การสืบทอดอำนาจหลังจากท่านอะลี
1. ท่านฮะซัน บิน อะลี (Hasan ibn Ali)
      * การได้มาซึ่งอำนาจ: หลังจากท่านอะลีเสียชีวิต ชาวมุสลิมในเมืองกูฟะฮ์ (Kufah) ในอิรัก ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของท่านอะลี ได้ประกาศสวามิภักดิ์และแต่งตั้งท่านฮะซัน บุตรชายคนโตของท่านอะลี ให้เป็นเคาะลีฟะฮ์คนต่อไป ท่านฮะซันจึงขึ้นเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ แต่การครองอำนาจของท่านนั้นไม่ได้ราบรื่นนัก เพราะท่านมุอาวิยะฮ์ยังคงมีอำนาจอยู่ในซีเรียและไม่ยอมรับการแต่งตั้งนี้
      * การครองอำนาจ: ท่านฮะซันครองอำนาจได้เพียงประมาณ 6 เดือน สาเหตุสำคัญที่ทำให้ท่านต้องสละตำแหน่งคือสถานการณ์ทางการเมืองที่เปราะบางและอ่อนแอ ท่านมุอาวิยะฮ์มีกองทัพที่แข็งแกร่งและมีอำนาจทางการเมืองที่มั่นคงกว่า ในขณะที่กองทัพของท่านฮะซันขาดความสามัคคีและมีการแยกตัวของกลุ่มต่าง ๆ ที่ต้องการยุติสงคราม
        * การสละอำนาจ (The Peace Treaty of Hasan-Muawiyah): เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและการนองเลือดครั้งใหญ่ ท่านฮะซันได้ตัดสินใจลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับท่านมุอาวิยะฮ์ สนธิสัญญาดังกล่าวระบุว่า ท่านฮะซันจะสละตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์และให้ท่านมุอาวิยะฮ์เป็นผู้ปกครองประชาชาติมุสลิมแต่เพียงผู้เดียว โดยมีข้อตกลงสำคัญคือ ท่านมุอาวิยะฮ์จะต้องไม่แต่งตั้งทายาททางการเมืองของตัวเอง แต่จะต้องให้อำนาจกลับคืนสู่ประชาคมมุสลิมในการเลือกผู้นำคนต่อไป

2. ท่านมุอาวิยะฮ์ (Mu'awiyah)
      * การได้มาซึ่งอำนาจ: หลังจากที่ท่านฮะซันสละอำนาจ ท่านมุอาวิยะฮ์จึงขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮ์อย่างเป็นทางการ และถือเป็นผู้นำคนแรกของ ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ (Umayyad Dynasty) ท่านได้ย้ายเมืองหลวงจากกูฟะฮ์มายังดามัสกัส (Damascus) ในซีเรีย ซึ่งเป็นฐานอำนาจของท่าน
      * การปกครอง: ท่านมุอาวิยะฮ์ปกครองตั้งแต่ปี ฮ.ศ. 41 (ค.ศ. 661) จนถึงปี ฮ.ศ. 60 (ค.ศ. 680) รวมระยะเวลา 19 ปี การปกครองของท่านถือเป็นการสิ้นสุดยุคของ เคาะลีฟะฮ์รอชิดีน (Rightly-Guided Caliphs) ซึ่งเป็นการปกครองที่มาจากการเลือกตั้ง และเปลี่ยนผ่านสู่การปกครองแบบ ราชวงศ์ (Hereditary Monarchy) โดยท่านได้ละเมิดข้อตกลงกับท่านฮะซันด้วยการแต่งตั้งบุตรชายของท่านคือ ยะซีด (Yazid) ให้เป็นทายาทสืบทอดอำนาจต่อ

ผลกระทบต่อท่านฮะซันและประชาชาติมุสลิม

ผลกระทบต่อท่านฮะซัน:
 * การเสียสละเพื่อประชาชาติ: การสละอำนาจของท่านฮะซันถูกมองในสองมุมมองที่แตกต่างกัน ชาวชีอะฮ์มองว่าท่านฮะซันถูกบังคับให้สละอำนาจและถูกทรยศหักหลัง แต่ชาวซุนนีย์จำนวนมากมองว่าเป็นการกระทำที่กล้าหาญและเสียสละเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองและการนองเลือดของชาวมุสลิม
       * การถูกวิพากษ์วิจารณ์: แม้ว่าการกระทำของท่านฮะซันจะทำให้เกิดสันติภาพ แต่ก็ทำให้ท่านถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนบางกลุ่มในกองทัพของท่านเอง ที่มองว่าท่านยอมแพ้ต่อท่านมุอาวิยะฮ์ง่ายเกินไป
ผลกระทบต่อประชาชาติมุสลิมในอดีต:
      * การสิ้นสุดยุคเคาะลีฟะฮ์รอชิดีน: การขึ้นสู่อำนาจของท่านมุอาวิยะฮ์และราชวงศ์อุมัยยะฮ์ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์อิสลาม ระบบการปกครองที่เคยมาจากการเลือกตั้งโดยประชาคม (ชูรอ) ได้ถูกแทนที่ด้วยระบบการสืบทอดอำนาจในตระกูล ซึ่งเป็นจุดที่ชาวชีอะฮ์และซุนนีย์เริ่มมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

 * โศกนาฏกรรมกัรบะลาอ์ (Karbala): การแต่งตั้งยะซีดเป็นทายาทของท่านมุอาวิยะฮ์นำไปสู่เหตุการณ์สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ชีอะฮ์ คือโศกนาฏกรรมกัรบะลาอ์ในปี ฮ.ศ. 61 (ค.ศ. 680) เมื่อท่านฮุเซน (Husayn) น้องชายของท่านฮะซัน ปฏิเสธที่จะสวามิภักดิ์ต่อยะซีด และถูกสังหารพร้อมกับครอบครัวและผู้ติดตาม ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นรากฐานของความเชื่อและพิธีกรรมที่สำคัญในนิกายชีอะฮ์จนถึงทุกวันนี้
ผลกระทบต่อมุสลิมยุคปัจจุบัน:

      * ความแตกแยกทางนิกาย: การเปลี่ยนขั้วอำนาจจากยุคเคาะลีฟะฮ์รอชิดีนสู่ยุคราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ได้ทำให้เกิดรอยร้าวที่ลึกซึ้งในประชาชาติมุสลิม และเป็นจุดเริ่มต้นของความแตกแยกระหว่างมุสลิม ซุนนีย์ (ผู้ยอมรับเคาะลีฟะฮ์ทั้งสี่และระบบการปกครองตามประชาคม) และ ชีอะฮ์ (ผู้เชื่อว่าผู้นำต้องเป็นเชื้อสายของท่านนบีเท่านั้น)

      * ความขัดแย้งทางการเมืองและศาสนา: ความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์นี้ยังคงส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมนิกายต่าง ๆ ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการตีความประวัติศาสตร์ ความชอบธรรมของผู้นำ และสถานะของบุคคลสำคัญในยุคนั้น ซึ่งเป็นรากฐานของความขัดแย้งทางการเมืองและศาสนาในหลายพื้นที่ของโลกอิสลามจนถึงทุกวันนี้

*ในยุคของยาซีส มีการต่อต้านหรือเหตุการณ์อะไรบ้าง ท่านอืหม่ามฮูเซ็น มีส่วนได้เสียอย่างไร กับการปกครองของยาซีด ผลของการต่อสู้ แผนการเหล่านี้ ยาซีดมีความเกี่ยวข้องกับการโดยตรงอย่างไร การสังหารก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมในอดีตและปัจจุบันอย่างไร

      ในยุคของยะซีด (Yazid) บุตรชายของท่านมุอาวิยะฮ์ ซึ่งขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮ์แห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์ในปี ฮ.ศ. 60 (ค.ศ. 680) ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญและน่าเศร้าที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อิสลาม ซึ่งคือ โศกนาฏกรรมที่กัรบะลาอ์ (Karbala)

การต่อต้านและการมีส่วนร่วมของท่านอิหม่ามฮุเซ็น
       ยะซีดขึ้นเป็นผู้นำจากการแต่งตั้งของบิดา ไม่ใช่จากการเลือกตั้งของประชาคม ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงสันติภาพระหว่างท่านฮะซันกับท่านมุอาวิยะฮ์ ทำให้มีกลุ่มผู้ต่อต้านเกิดขึ้น โดยเฉพาะในเมืองกูฟะฮ์ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของท่านอะลี

       * การปฏิเสธการสวามิภักดิ์: ยะซีดได้สั่งให้ผู้ว่าการเมืองมะดีนะฮ์ขอการสวามิภักดิ์ (บัยอะฮ์) จากบุคคลสำคัญในประชาชาติอิสลาม รวมถึงท่านอิหม่ามฮุเซ็น บิน อะลี (Husayn ibn Ali) ซึ่งเป็นหลานชายของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และเป็นผู้นำที่ชาวมุสลิมจำนวนมากเคารพ แต่ท่านฮุเซ็นปฏิเสธที่จะสวามิภักดิ์ต่อยะซีด เนื่องจากเห็นว่าการปกครองของยะซีดเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมและไม่เป็นไปตามหลักการของอิสลาม
        * คำเชิญจากชาวกูฟะฮ์: ในขณะเดียวกัน ชาวกูฟะฮ์ได้ส่งจดหมายจำนวนมากไปเชิญท่านฮุเซ็นให้เดินทางมายังกูฟะฮ์ เพื่อเป็นผู้นำการต่อต้านยะซีด ท่านฮุเซ็นจึงตัดสินใจเดินทางพร้อมกับครอบครัวและผู้ติดตามจำนวนน้อย เพื่อตอบรับคำเชิญนี้

ผลของการต่อสู้และแผนการ
       * การสกัดกั้นเส้นทาง: กองทัพของยะซีดภายใต้การบังคับบัญชาของ อิบนุ ซิยาด (Ibn Ziyad) ได้ส่งกองกำลังเข้าสกัดกั้นเส้นทางของท่านฮุเซ็นที่บริเวณทะเลทรายกัรบะลาอ์
       * การต่อสู้ที่ไม่เท่าเทียม: การต่อสู้ที่กัรบะลาอ์เป็นการต่อสู้ที่ไม่เท่าเทียม กองทัพของท่านฮุเซ็นมีจำนวนเพียงประมาณ 72 คน ในขณะที่กองทัพของยะซีดมีทหารนับพันนาย
        * การเสียชีวิตอย่างกล้าหาญ: หลังจากอดอาหารและน้ำเป็นเวลาหลายวัน ท่านฮุเซ็นพร้อมกับบุตรชาย น้องชาย และผู้ติดตาม ได้ต่อสู้จนวาระสุดท้ายและเสียชีวิตอย่างกล้าหาญ ท่านฮุเซ็นถูกสังหารและถูกตัดศีรษะในวันที่ 10 ของเดือนมุฮัรรอม ซึ่งเป็นวันที่มีชื่อว่า วันอาชูรออ์ (Ashura)

ยะซีดมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสังหารอย่างไร
      นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่ายะซีดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารท่านฮุเซ็นอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่ายะซีดจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือสังหารด้วยตัวเอง แต่เขามีบทบาทสำคัญดังนี้:

       * ผู้มีคำสั่ง: ยะซีดเป็นผู้สั่งให้อิบนุ ซิยาด ผู้ว่าการเมืองกูฟะฮ์ จัดการกับท่านฮุเซ็นและผู้ติดตามที่เดินทางมายังอิรัก
       * การรับทราบและยอมรับผลที่ตามมา: หลังจากที่หัวของท่านฮุเซ็นถูกนำมาถวายแก่ยะซีดในเมืองดามัสกัส ยะซีดไม่ได้ลงโทษผู้กระทำผิดหรือแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของหลานชายท่านนบีเลย แต่กลับนำศีรษะของท่านฮุเซ็นไปตั้งไว้เพื่อแสดงอำนาจ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าเขาเห็นด้วยกับการกระทำที่เกิดขึ้น

ผลกระทบของการสังหารต่อสังคมในอดีตและปัจจุบัน

ผลกระทบในอดีต:
 * รากฐานของนิกายชีอะฮ์: โศกนาฏกรรมกัรบะลาอ์กลายเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของนิกายชีอะฮ์ การเสียชีวิตของท่านฮุเซ็นถูกมองว่าเป็นการเสียสละเพื่อรักษาหลักการที่แท้จริงของอิสลาม และกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความจริง ชาวชีอะฮ์จะรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ทุกปีในเดือนมุฮัรรอม โดยมีพิธีการต่าง ๆ เพื่อแสดงความโศกเศร้าและความภักดีต่ออะฮ์ลุลบัยต์

       * การต่อต้านราชวงศ์อุมัยยะฮ์: เหตุการณ์นี้เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านราชวงศ์อุมัยยะฮ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์นี้ในที่สุด
        * ความแตกแยกระหว่างมุสลิม: เหตุการณ์นี้ทำให้ความแตกแยกทางนิกายระหว่างซุนนีย์และชีอะฮ์มีความชัดเจนและรุนแรงขึ้น ชาวซุนนีย์จำนวนมากก็รู้สึกเสียใจและโศกเศร้าต่อการเสียชีวิตของท่านฮุเซ็น แต่ชาวชีอะฮ์มองว่าเหตุการณ์นี้คือจุดที่ความจริงถูกปิดบังและอำนาจถูกแย่งชิงไปอย่างไม่ชอบธรรม
ผลกระทบในปัจจุบัน:
        * ความขัดแย้งระหว่างนิกาย: ความทรงจำของเหตุการณ์ที่กัรบะลาอ์ยังคงเป็นชนวนของความขัดแย้งทางศาสนาและการเมืองระหว่างซุนนีย์และชีอะฮ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเทศที่มีประชากรชีอะฮ์จำนวนมาก เช่น อิรักและอิหร่าน
         * การสร้างเอกลักษณ์ทางศาสนา: พิธีรำลึกถึงท่านฮุเซ็นในเดือนมุฮัรรอมเป็นส่วนสำคัญของเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของชาวชีอะฮ์ทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผูกพันทางศาสนาและประวัติศาสตร์ของพวกเขา
        * สัญลักษณ์แห่งการต่อสู้: เรื่องราวของท่านฮุเซ็นยังคงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม การยืนหยัดต่อต้านอำนาจที่ไม่ชอบธรรม และความเสียสละเพื่อหลักการที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับขบวนการทางการเมืองและศาสนาในโลกมุสลิมมาหลายศตวรรษ

โดยสรุปแล้ว การสังหารท่านอิหม่ามฮุเซ็นที่กัรบะลาอ์ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์ในอดีต แต่เป็นเหตุการณ์ที่มีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อการเมือง ศาสนา และสังคมของประชาชาติมุสลิมจนถึงทุกวันนี้ครับ

*การสาบแช่งท่านอิหม่ามอาลี บนมิมบัร คุตบะห์วันศุกร์ ทั้งในสมัยมูอาวิยะห์จวบ จนสมัยของยาซีด มีเหตผลใดในการกระทำเช่นนี้ ผลที่ได้รับหรือความเสียหายอย่างไรต่อมุสลิมในสมัยนั้นส่งมาถึงยุคปัจจุบันหรือไม่

       การสาปแช่งท่านอิหม่ามอะลี บิน อะบี ฏอลิบ บนมิมบัรในคุฏบะฮ์วันศุกร์ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและเป็นหนึ่งในประเด็นที่สร้างความเจ็บปวดที่สุดในประวัติศาสตร์อิสลามยุคแรก การกระทำนี้เริ่มต้นขึ้นในสมัยของท่านมุอาวิยะฮ์ และยังคงดำเนินต่อไปจนถึงสมัยของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ยุคหลัง

เหตุผลในการสาปแช่ง

      การกระทำนี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลทางศาสนา แต่เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การปกครองของราชวงศ์อุมัยยะฮ์และทำลายภาพลักษณ์ของท่านอะลี
        * การสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนเอง: ท่านมุอาวิยะฮ์และผู้ปกครองในราชวงศ์อุมัยยะฮ์ต้องการทำลายความน่าเชื่อถือและบารมีของท่านอะลี เพื่อให้ผู้คนยอมรับการปกครองของพวกเขาว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและชอบธรรม การสาปแช่งท่านอะลีจึงเป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้ผู้คนเชื่อว่าท่านอะลีเป็นฝ่ายที่ผิดและเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย
       * การปลุกระดมผู้คน: การสาปแช่งท่านอะลีบนมิมบัร ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นจุดรวมของประชาคมมุสลิมในทุกสัปดาห์ เป็นการปลุกระดมผู้คนให้เกลียดชังและต่อต้านท่านอะลีและอะฮ์ลุลบัยต์ (ครอบครัวของท่านนบี) ซึ่งเป็นการสร้างความแตกแยกทางสังคมอย่างจงใจ
       * การลบล้างความทรงจำ: การทำเช่นนี้เป็นการพยายามลบล้างความทรงจำเกี่ยวกับคุณความดีและสถานะที่สูงส่งของท่านอะลีในฐานะสหายคนสนิทและญาติของท่านนบี เพื่อไม่ให้มีบุคคลใดมาอ้างสิทธิในการปกครองหรือเป็นผู้นำที่ชอบธรรมเหนือราชวงศ์อุมัยยะฮ์ได้อีก
ผลที่ได้รับหรือความเสียหายต่อมุสลิมในสมัยนั้น

        * การทำลายความสามัคคี: การสาปแช่งนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเกลียดชังและความแตกแยกอย่างรุนแรงในสังคมมุสลิม ผู้คนที่รักและเคารพท่านอะลีรู้สึกเจ็บปวดและไม่พอใจอย่างมาก แต่ไม่สามารถแสดงออกได้โดยตรงเพราะเกรงกลัวอำนาจของผู้ปกครอง

       * การบิดเบือนประวัติศาสตร์: การสาปแช่งนี้ทำให้มีการบิดเบือนประวัติศาสตร์และชีวประวัติของท่านอะลีและอะฮ์ลุลบัยต์ เพื่อให้การกระทำของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ดูเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ทำให้ความจริงเกี่ยวกับบุคคลสำคัญในยุคแรกถูกซ่อนเร้นหรือถูกมองข้ามไป

       * ความเจ็บปวดทางจิตใจและศรัทธา: สำหรับผู้ที่รักท่านนบีและครอบครัว การต้องฟังคำสาปแช่งท่านอะลีซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในชีวิตของท่านนบีทุกวันศุกร์ ถือเป็นความเจ็บปวดทางจิตใจและศรัทธาอย่างลึกซึ้ง

ผลกระทบถึงยุคปัจจุบัน
       การสาปแช่งท่านอะลีไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์ในอดีต แต่มีผลกระทบที่ส่งต่อมาจนถึงยุคปัจจุบัน:
 * ความแตกแยกทางนิกาย: การกระทำนี้เป็นหนึ่งในชนวนสำคัญที่ทำให้รอยร้าวระหว่างนิกาย ชีอะฮ์ และ ซุนนีย์ ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ชาวชีอะฮ์มองว่าการสาปแช่งนี้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนถึงความโหดร้ายและไม่ชอบธรรมของผู้ปกครองในยุคนั้น และเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องแยกตัวออกมาอย่างชัดเจนเพื่อปกป้องเกียรติของท่านอะลีและอะฮ์ลุลบัยต์

 * ความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์: ความทรงจำของการสาปแช่งท่านอะลียังคงเป็นประเด็นที่อ่อนไหวและเป็นชนวนให้เกิดการถกเถียงและโต้แย้งกันในหมู่มุสลิมทั้งสองนิกาย การตีความเหตุการณ์นี้ที่แตกต่างกันเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของความตึงเครียดในโลกมุสลิม

 * การสร้างตัวตนทางศาสนา: การสาปแช่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้ส่งผลให้ชาวชีอะฮ์สร้างตัวตนทางศาสนาของตนเองขึ้นมา โดยให้ความสำคัญกับการรำลึกถึงความเสียสละของท่านอะลีและบุตรหลานของท่าน เพื่อแสดงถึงความรักและความภักดีต่ออะฮ์ลุลบัยต์

โดยสรุปแล้ว การสาปแช่งท่านอิหม่ามอะลีบนมิมบัรในยุคราชวงศ์อุมัยยะฮ์ เป็นการกระทำทางการเมืองที่มีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อความสามัคคีของประชาชาติมุสลิม และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดรอยร้าวทางนิกายอย่างถาวร ซึ่งยังคงส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมทั้งในด้านศาสนาและสังคมจนถึงทุกวันนี้ครับ

*การสิ้นสุดอำนวจของราชวงค์อุมัยยะ จบลงเช่นไร ด้วยสาเหตุอันใด 
   การปกครองของยาซีดและผู้สืบทอดมีพฤติกรรมในการปกครองประชาชาติมุสลิมอย่างไร และมีการขยายอำนาจอย่างไร ผลสุดท้ายของผู้นำของราชวงค์ได้รับเป็นเช่นไร ?

         ในส่วนของการสิ้นสุดอำนาจของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ผมขอตอบตามประเด็นที่ถามมาเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ

การสิ้นสุดอำนาจของราชวงศ์อุมัยยะฮ์

      ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ปกครองประชาชาติมุสลิมมาเป็นเวลาประมาณ 90 ปี (ฮ.ศ. 41-132 / ค.ศ. 661-750) และสิ้นสุดลงด้วยการโค่นล้มโดยราชวงศ์อับบาซียะฮ์ (Abbasid Dynasty) สาเหตุหลักๆ ที่นำไปสู่การล่มสลายมีดังนี้:

       * ความไม่พอใจของชาวชีอะฮ์: ชาวชีอะฮ์มองว่าราชวงศ์อุมัยยะฮ์เป็นผู้แย่งชิงอำนาจที่ชอบธรรมของตระกูลท่านนบี (อะฮ์ลุลบัยต์) และมีความไม่พอใจอย่างมากต่อโศกนาฏกรรมที่กัรบะลาอ์
      * ความไม่พอใจของชาวมาวาลี (Mawali): ชาวมาวาลีคือมุสลิมที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ เช่น ชาวเปอร์เซีย ชาวอียิปต์ เป็นต้น ซึ่งถึงแม้จะเข้ารับอิสลามแล้ว แต่ก็ยังถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมและถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง ทำให้เกิดความไม่พอใจและพร้อมที่จะเข้าร่วมกับขบวนการต่อต้าน

      * ความเสื่อมโทรมภายในราชวงศ์: ผู้ปกครองในยุคหลังของราชวงศ์อุมัยยะฮ์หลายคนมีพฤติกรรมที่เสเพลและมุ่งเน้นความฟุ่มเฟือยมากกว่าการปกครอง ทำให้สูญเสียความศรัทธาจากประชาชน

       * การปรากฏตัวของราชวงศ์อับบาซียะฮ์: ราชวงศ์อับบาซียะฮ์ซึ่งอ้างสิทธิ์ในอำนาจจากการเป็นตระกูลของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้ใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจเหล่านี้ โดยสร้างขบวนการลับขึ้นในโคราซาน (Khorasan) ซึ่งเป็นดินแดนทางตะวันออกของอาณาจักร เพื่อปลุกระดมผู้คนและโค่นล้มราชวงศ์อุมัยยะฮ์

พฤติกรรมการปกครองและการขยายอำนาจของยะซีดและผู้สืบทอด
       * พฤติกรรมของยะซีด: ยะซีด (Yazid I) ปกครองตั้งแต่ปี ฮ.ศ. 60-64 (ค.ศ. 680-683) การปกครองของเขาถูกมองว่าไม่เป็นไปตามหลักการอิสลาม มีพฤติกรรมเสเพล เช่น การดื่มสุราและล่าสัตว์ ซึ่งทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากผู้ศรัทธา นอกจากนี้ การตัดสินใจที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมที่กัรบะลาอ์ยังทำให้ชื่อเสียงของเขาเสื่อมเสียอย่างรุนแรง

       * ผู้สืบทอด: ผู้ปกครองในราชวงศ์อุมัยยะฮ์ในยุคหลังๆ ส่วนใหญ่ยังคงสืบทอดอำนาจผ่านทางสายเลือด ซึ่งนำไปสู่การแย่งชิงอำนาจภายในตระกูลและสร้างความไม่มั่นคงทางการเมือง

       * การขยายอำนาจ: แม้จะมีความขัดแย้งภายใน แต่ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ก็มีบทบาทสำคัญในการขยายอาณาจักรอิสลามออกไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในยุคแรกๆ อาณาจักรได้ขยายไปถึงอัฟกานิสถานและปากีสถานในทางตะวันออก และแอฟริกาเหนือรวมถึงคาบสมุทรไอบีเรีย (สเปนและโปรตุเกสในปัจจุบัน) ในทางตะวันตก

ผลสุดท้ายของผู้นำราชวงศ์อุมัยยะฮ์
      การล่มสลายของราชวงศ์อุมัยยะฮ์เป็นการกระทำที่รุนแรงและโหดร้ายมาก
      * การสังหารหมู่: หลังจากชัยชนะของราชวงศ์อับบาซียะฮ์ ผู้นำของพวกเขาได้สั่งให้สังหารหมู่สมาชิกของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ทุกคนที่พบเจอ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการกลับมาทวงคืนอำนาจในอนาคต

      * การทำลายหลุมศพ: มีรายงานว่ามีการขุดศพของผู้ปกครองราชวงศ์อุมัยยะฮ์ขึ้นมาเพื่อทำลาย ทำให้เป็นการทำลายเกียรติยศและทำลายทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์นี้
      * การหนีรอด: มีเพียงสมาชิกคนเดียวของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ที่สามารถหนีรอดได้คือ อับดุรเราะฮ์มานที่ 1 (Abd al-Rahman I) ซึ่งได้หนีไปตั้งอาณาจักรอิสลามแห่งใหม่ที่คาบสมุทรไอบีเรีย (สเปน) ในชื่อ เอมิเรตแห่งกอร์โดบา (Emirate of Cordoba) และเป็นราชวงศ์ที่รุ่งเรืองและทรงอิทธิพลอย่างมากในยุคกลางของยุโรป

โดยสรุปแล้ว การสิ้นสุดอำนาจของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ไม่ได้จบลงด้วยความสงบ แต่เป็นการสิ้นสุดที่รุนแรงและเต็มไปด้วยการนองเลือด ซึ่งเป็นการปิดฉากยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์อิสลามและเป็นการปูทางไปสู่ยุคทองของอิสลามภายใต้การปกครองของราชวงศ์อับบาซียะฮ์ครับ

เหตุการณ์เหล่านี้สรุปได้ว่า เราสามารถนำประเด็นใด ในการประพฤติปฏิบัติตามครรลองของศาสนาอิสลามอย่างแท้จริง

       เหตุการณ์ความขัดแย้งในยุคต้นอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นสงครามอูฐ สงครามศิฟฟีน หรือโศกนาฏกรรมที่กัรบะลาอ์ ล้วนเป็นบทเรียนสำคัญที่เราสามารถนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตตามครรลองของศาสนาอิสลามได้อย่างแท้จริงครับ
บทเรียนที่สำคัญจากเหตุการณ์เหล่านี้

       * ความสำคัญของเอกภาพและความสามัคคี: ความขัดแย้งในยุคนั้นเริ่มต้นจากการขาดความสามัคคีและการไม่ยอมรับผู้นำที่ชอบธรรม เป็นบทเรียนที่เตือนใจว่าการแตกแยกเป็นอันตรายต่อประชาชาติมุสลิม การรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดตามคำสั่งของอัลลอฮ์ในอัลกุรอาน

       * การตัดสินใจด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยอารมณ์: เหตุการณ์ต่างๆ แสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจที่ใช้อารมณ์หรือความโกรธเป็นที่ตั้ง มักจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้าย ในทางตรงกันข้าม การใช้สติปัญญาและยึดมั่นในหลักการของศาสนาจะช่วยให้เราสามารถผ่านพ้นวิกฤติต่างๆ ไปได้

      * การยึดมั่นในความยุติธรรมและสัจธรรม: ท่านอิหม่ามอะลีและท่านอิหม่ามฮุเซ็นได้แสดงให้เห็นถึงการยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมและความจริง แม้จะต้องเผชิญกับการต่อต้านและการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นแบบอย่างที่สอนให้เราไม่ยอมจำนนต่อความอยุติธรรมและการปกครองที่ไม่ชอบธรรม

      * การเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน: ความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างนิกายต่างๆ ในปัจจุบัน บทเรียนนี้สอนให้เราต้องให้เกียรติและเคารพความแตกต่างทางความคิดของพี่น้องมุสลิมด้วยกัน เพื่อลดความตึงเครียดและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

      * การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์เพื่อไม่ให้เกิดซ้ำ: การศึกษาเหตุการณ์เหล่านี้อย่างเข้าใจ จะช่วยให้เราสามารถตระหนักถึงข้อผิดพลาดในอดีตและป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ที่นำไปสู่ความแตกแยกเกิดขึ้นอีกครั้งในสังคมปัจจุบัน
การปรับใช้ในชีวิตประจำวันของมุสลิม

       * เน้นความรักมากกว่าความเกลียดชัง: ควรปลูกฝังความรักและความเมตตาในหมู่มุสลิมด้วยกัน ไม่ใช่การสร้างความเกลียดชังจากความแตกต่างทางนิกายหรือความคิดเห็น

 * ใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา: เมื่อเผชิญหน้ากับความขัดแย้งหรือความแตกต่างทางความคิด ควรใช้การพูดคุยและหาทางออกร่วมกันอย่างสันติวิธี แทนที่จะใช้ความรุนแรงหรืออารมณ์

 * ยืนหยัดในความยุติธรรม: ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องส่วนรวม เราควรยึดมั่นในหลักการความยุติธรรมตามที่ศาสนาอิสลามได้สอนไว้

 * เรียนรู้จากประวัติศาสตร์: ควรมองประวัติศาสตร์เป็นบทเรียนและกระจกสะท้อน ไม่ใช่เครื่องมือในการสร้างความขัดแย้งและความบาดหมาง

     การนำบทเรียนเหล่านี้มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันจะช่วยให้เราสามารถดำเนินชีวิตตามครรลองของศาสนาอิสลามได้อย่างแท้จริงและสร้างสังคมมุสลิมที่มีความสามัคคี สงบสุข และเป็นที่รักของอัลลอฮ์ครับ

โดย binmusa

ความคิดเห็น