ประวัติศาสตร์การแตกแยกของมุสลิมหลังท่านบีมูฮัมหมัดเสียชีวิต มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น

 
      เมื่อท่านศาสดามูฮัมหมัดสิ้นชีวิตในปี ค.ศ. 632 การปกครองของอาณาจักรอิสลามได้ถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง เนื่องจากไม่มีการแต่งตั้งผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งที่สำคัญสองประการ คือ

1. การแต่งตั้งผู้สืบทอดตำแหน่ง "เคาะลีฟะฮ์" (ผู้นำ)
 * ฝ่ายซุนนีย์: เชื่อว่าตำแหน่งผู้นำควรมาจากผู้ที่เหมาะสมที่สุด (จากชนชั้นสูงในเผ่ากุเรช) และการเลือกตั้งควรเป็นไปตามฉันทามติของกลุ่มชนชั้นสูงในสังคม จึงแต่งตั้งอบูบักรเป็นเคาะลีฟะฮ์คนแรก
 * ฝ่ายชีอะฮ์: เชื่อว่าตำแหน่งผู้นำควรเป็นสายตรงของท่านศาสดา จึงสนับสนุนให้อาลี อิบนุ อบีฏอลิบ ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องและลูกเขยของท่านศาสดาเป็นผู้นำ

2. สงครามอูฐ (Battle of the Camel) ปี ค.ศ. 656
 * เป็นสงครามที่เกิดขึ้นหลังจากที่อาลี อิบนุ อบีฏอลิบ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเคาะลีฟะฮ์คนที่ 4 เนื่องจากมุสลิมบางกลุ่มโดยเฉพาะที่นำโดยท่าหญิงอาอิชะฮ์ ภรรยาของท่านศาสดา ไม่พอใจต่อการแต่งตั้งอาลี และต้องการให้มีการแก้แค้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารเคาะลีฟะฮ์อุสมาน
 * สงครามนี้จบลงด้วยชัยชนะของอาลี

3. สงครามศิฟฟีน (Battle of Siffin) ปี ค.ศ. 657
 * เป็นการต่อสู้กันระหว่างกองทัพของอาลี อิบนุ อบีฏอลิบ กับกองทัพของมุอาวิยะฮ์ อิบนุ อบีซุฟยาน ผู้ว่าการซีเรีย ซึ่งปฏิเสธที่จะยอมรับอำนาจของอาลี

 * สงครามนี้จบลงด้วยการตัดสินโดยอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการแยกตัวของกลุ่ม "คอวาริจญ์" (Kharijites) ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการตัดสินดังกล่าว โดยเห็นว่าการตัดสินนั้นเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่ใช่หลักการของศาสนาที่แท้จริง

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้นำไปสู่การแตกแยกเป็นสามกลุ่มหลักในเวลาต่อมา:

 * ซุนนีย์ (Sunni): กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในโลกมุสลิมปัจจุบัน ซึ่งเชื่อในหลักการตามแนวทางที่ท่านศาสดาปฏิบัติ และยอมรับการสืบทอดตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ตามลำดับตั้งแต่ อบูบักร, อุมัร, อุสมาน และอาลี

 * ชีอะฮ์ (Shia): กลุ่มที่เชื่อว่าผู้นำควรเป็นสายตรงของท่านศาสดา และให้ความสำคัญกับอาลี อิบนุ อบีฏอลิบ และทายาทของท่าน

 * คอวาริจญ์ (Kharijites): กลุ่มที่แยกตัวออกมา โดยเชื่อว่าผู้นำต้องเป็นผู้ที่เคร่งครัดตามหลักการอิสลามอย่างเคร่งครัดเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าหรือเชื้อสายใดก็ตาม

สรุปเหตุการณ์การแตกแยกของมุสลิม
 * การสิ้นชีวิตของท่านศาสดา: นำไปสู่การโต้เถียงในเรื่องการสืบทอดตำแหน่งผู้นำ

 * การแต่งตั้งเคาะลีฟะฮ์: การไม่ยอมรับการแต่งตั้งผู้นำ นำไปสู่การแบ่งออกเป็นฝ่ายที่สนับสนุนอบูบักร (ซุนนีย์) และฝ่ายที่สนับสนุนอาลี (ชีอะฮ์)

 * สงครามการเมือง: สงครามอูฐและสงครามศิฟฟีน ยิ่งทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น และนำไปสู่การแยกตัวของกลุ่ม "คอวาริจญ์"

 * การสถาปนาราชวงศ์อุมัยยะฮ์: การขึ้นสู่อำนาจของมุอาวิยะฮ์ ได้เปลี่ยนการปกครองจากระบอบเคาะลีฟะฮ์ที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นระบอบราชวงศ์ที่สืบทอดทางสายเลือด ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มชีอะฮ์และกลุ่มอื่นๆ

 * เหตุการณ์ในกัรบะลาอ์: การสังหารอิมามฮุเซน หลานชายของท่านศาสดา ซึ่งเป็นผู้นำของฝ่ายชีอะฮ์ เป็นจุดที่ทำให้ความขัดแย้งรุนแรงจนถึงขั้นที่ไม่สามารถประสานได้ และเป็นเหตุการณ์ที่ชีอะฮ์ยังระลึกถึงจนทุกวันนี้

        เหตุการณ์เหล่านี้ได้นำไปสู่การแตกแยกของมุสลิมออกเป็นนิกายหลักอย่างซุนนีย์และชีอะฮ์ ซึ่งมีรากฐานความเชื่อที่แตกต่างกันในด้านการเมือง และหลักคำสอนบางประการ แม้ว่าจะยังคงยึดมั่นในคัมภีร์อัลกุรอาน และท่านศาสดามูฮัมหมัดเป็นหลักเดียวกันก็ตาม

สงครามอูฐ (Battle of the Camel) ปี ค.ศ. 656 มีสาเหตุมาจากไหน เหตุการณ์ในสงครามมีขั้นตอนอย่างไร. ผลจากสงครามมีผลกระทบอย่างไรกับท่านอาลี

      สงครามอูฐ (Battle of the Camel) ในปี ค.ศ. 656 เป็นหนึ่งในความขัดแย้งที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์อิสลาม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองครั้งแรก (First Fitna) ระหว่างมุสลิมด้วยกันเอง ชื่อของสงครามมาจากอูฐที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ภรรยาของท่านศาสดามูฮัมหมัด ประทับอยู่และเป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายต่อต้าน

สาเหตุของสงคราม
       สาเหตุหลักของสงครามคือการเรียกร้องให้ลงโทษผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารเคาะลีฟะฮ์อุสมาน อิบนุ อัฟฟาน ซึ่งเป็นเคาะลีฟะฮ์คนที่สาม โดยรายละเอียดมีดังนี้:

 * ความขัดแย้งในการสืบทอดตำแหน่ง: หลังจากที่เคาะลีฟะฮ์อุสมานถูกลอบสังหาร 
      ท่านอาลี อิบนุ อบีฏอลิบ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเคาะลีฟะฮ์คนถัดไป แต่การแต่งตั้งนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น เนื่องจากมีผู้ไม่เห็นด้วยหลายฝ่าย

 * การเรียกร้องให้แก้แค้น: นางอาอิชะฮ์, ฏอลหะฮ์ (Talhah) และอัซซุบัยรฺ (al-Zubayr) ซึ่งเป็นสหายอาวุโสของท่านศาสดา ไม่พอใจที่ท่านอาลีไม่ได้ลงโทษผู้ที่สังหารเคาะลีฟะฮ์อุสมานในทันที พวกเขาเชื่อว่าท่านอาลีควรจะแก้แค้นให้กับอุสมานก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้นำอย่างเต็มตัว

 * ความเห็นที่แตกต่างกันในเชิงกลยุทธ์: ฝ่ายของท่านหญิงอาอิชะฮ์เรียกร้องให้ลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเร่งด่วน ในขณะที่ท่านอาลีมองว่าในสถานการณ์ที่มีความวุ่นวายในสังคม การรีบลงโทษจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง และอาจก่อให้เกิดความไม่สงบที่ควบคุมไม่ได้ ท่านอาลีจึงต้องการรอจนกว่าการปกครองจะมั่นคงเสียก่อน

 * การยุยงปลุกปั่น: กลุ่มคนที่ลอบสังหารเคาะลีฟะฮ์อุสมานกลัวว่าจะถูกลงโทษ จึงได้เข้าร่วมกับกองทัพของทั้งสองฝ่ายเพื่อสร้างความขัดแย้งให้รุนแรงขึ้น และทำให้การเจรจาสงบไม่สามารถเกิดขึ้นได้

เหตุการณ์ในสงคราม
เหตุการณ์ในสงครามสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนได้ดังนี้:
 * การรวบรวมกำลัง:
   * ท่านหญิงอาอิชะฮ์, ฏอลหะฮ์ และอัซซุบัยรฺ เดินทางจากมักกะฮ์ไปยังเมืองบัสรา (Basra) ในอิรัก เพื่อรวบรวมผู้สนับสนุนและจัดตั้งกองทัพ

   * พวกเขายึดเมืองบัสราและเริ่มเรียกร้องให้ลงโทษผู้สังหารอุสมาน

   * ท่านอาลีซึ่งในขณะนั้นอยู่ที่เมืองมะดีนะฮ์ ได้พยายามเจรจากับฝ่ายต่อต้าน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงรวบรวมกองทัพและเดินทัพไปยังบัสรา

 * ความพยายามเจรจา:
   * ก่อนที่การสู้รบจะเริ่มต้น ท่านอาลีได้พยายามเจรจากับฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง โดยได้สนทนากับฏอลหะฮ์และอัซซุบัยรฺ เพื่อเตือนสติและยุติความขัดแย้ง แต่ความพยายามก็ล้มเหลวเนื่องจากการยุยงปลุกปั่นจากผู้ไม่หวังดี

 * การสู้รบ:
   * การสู้รบเริ่มต้นขึ้นเมื่อกลุ่มคนที่ไม่ต้องการให้เกิดการประนีประนอมได้โจมตีกองทัพของท่านอาลีในตอนกลางคืน

   * สงครามดำเนินไปอย่างดุเดือด โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่อูฐที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์ประทับอยู่ เนื่องจากฝ่ายต่อต้านได้นำนางมาเป็นสัญลักษณ์และแรงบันดาลใจในการต่อสู้

   * กองทัพของท่านอาลีพยายามเข้าโจมตีอูฐเพื่อทำลายขวัญและกำลังใจของฝ่ายตรงข้าม เมื่ออูฐล้มลง กองทัพของท่านหญิงอาอิชะฮ์ก็แตกพ่าย

   * สงครามจบลงด้วยชัยชนะของท่านอาลี

ผลกระทบต่อท่านอาลี
ผลจากสงครามอูฐมีทั้งในเชิงบวกและลบต่อการปกครองของท่านอาลี:

 * ชัยชนะทางทหาร: ท่านอาลีได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในสงครามครั้งนี้ ทำให้สถานะการเป็นเคาะลีฟะฮ์ของท่านแข็งแกร่งขึ้น และสามารถควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของอาณาจักรอิสลามได้

 * การให้อภัย: หลังจากสงคราม ท่านอาลีแสดงให้เห็นถึงความเมตตาโดยการให้อภัยแก่ท่านหญิงอาอิชะฮ์และผู้ที่รอดชีวิตจากฝ่ายตรงข้าม ท่านได้ดูแลนางอาอิชะฮ์เป็นอย่างดี และส่งนางกลับไปยังเมืองมะดีนะฮ์อย่างปลอดภัย

 * ความแตกแยกที่ลึกซึ้งขึ้น: แม้จะได้รับชัยชนะ แต่สงครามครั้งนี้กลับสร้างรอยร้าวในหมู่มุสลิมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองที่ตามมา

 * การย้ายเมืองหลวง: หลังจากสงคราม ท่านอาลีได้ย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองมะดีนะฮ์ไปยังเมืองกูฟะฮ์ (Kufa) ในอิรัก เพื่อให้ใกล้ชิดกับฐานอำนาจของตนมากขึ้น

 * การเผชิญหน้าครั้งใหม่: ชัยชนะในสงครามอูฐไม่ได้ทำให้ความขัดแย้งยุติลงทั้งหมด แต่กลับเปิดฉากการเผชิญหน้าครั้งใหม่กับมุอาวิยะฮ์ ผู้ว่าการซีเรีย ซึ่งเป็นญาติของเคาะลีฟะฮ์อุสมาน และต้องการแก้แค้นให้กับอุสมานเช่นกัน ซึ่งนำไปสู่สงครามศิฟฟีนในเวลาต่อมา

สงครามศิฟฟีน (Battle of Siffin) ปี ค.ศ. 657 เหตุที่เกิดขึ้น รายละเอียดของการต่อสู้เป็นเช่นไร ผลของสงครามต่อเสถีรภาพการปกครอง ของท่านอาลี

เหตุที่เกิดขึ้น
สงครามศิฟฟีน (Battle of Siffin) ในปี ค.ศ. 657 เป็นผลสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งในการสืบทอดตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์และปัญหาการลงโทษผู้สังหารเคาะลีฟะฮ์อุสมาน อิบนุ อัฟฟาน ซึ่งเป็นปัญหาที่ท่านอาลีต้องเผชิญตั้งแต่ขึ้นเป็นผู้นำ โดยมีสาเหตุหลักดังนี้:

 * มุอาวิยะฮ์ไม่ยอมรับการเป็นผู้นำของท่านอาลี: มุอาวิยะฮ์ อิบนุ อบีซุฟยาน ซึ่งเป็นผู้ว่าการซีเรียและเป็นญาติของเคาะลีฟะฮ์อุสมาน ไม่ยอมรับการแต่งตั้งท่านอาลีเป็นเคาะลีฟะฮ์คนที่สี่ เขาเชื่อว่าท่านอาลีไม่พยายามอย่างเต็มที่ในการจับกุมและลงโทษผู้ที่สังหารอุสมาน

 * การเรียกร้องแก้แค้น: มุอาวิยะฮ์ใช้เสื้อเปื้อนเลือดของอุสมานแขวนไว้ในมัสยิดที่ดามัสกัสเพื่อปลุกระดมผู้คนและเรียกร้องให้แก้แค้น เขาได้รวบรวมกองทัพและประกาศว่าจะไม่ยอมรับอำนาจของท่านอาลีจนกว่าจะมีการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างยุติธรรม

รายละเอียดของการต่อสู้
 * การเผชิญหน้าและเจรจา:
   * ท่านอาลีได้นำกองทัพจากเมืองกูฟะฮ์ไปยังซีเรียเพื่อปราบปรามมุอาวิยะฮ์ ทั้งสองกองทัพได้เผชิญหน้ากันที่บริเวณศิฟฟีน (Siffin) ริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส

   * ก่อนการสู้รบใหญ่จะเริ่มขึ้น ได้มีการเจรจาหลายครั้งเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือดระหว่างมุสลิมด้วยกันเอง แต่การเจรจาก็ล้มเหลว เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังคงยืนกรานในจุดยืนของตน

 * การสู้รบและการหยุดยิง:
   * การสู้รบดำเนินไปเป็นเวลาหลายวันและมีความดุเดือดอย่างมาก ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากทั้งสองฝ่ายจำนวนมาก

   * เมื่อกองทัพของท่านอาลีกำลังจะได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด อัมรฺ อิบนุ อัล-อาศ (Amr ibn al-As) ที่ปรึกษาของมุอาวิยะฮ์ได้เสนออุบายทางการเมือง โดยสั่งให้ทหารนำสำเนาคัมภีร์อัลกุรอานไปติดไว้บนปลายหอกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าพวกเขาต้องการให้คัมภีร์อัลกุรอานเป็นผู้ตัดสินข้อพิพาท

 * การตัดสินโดยอนุญาโตตุลาการ (Arbitration):
   * อุบายนี้ทำให้ทหารในกองทัพของท่านอาลีบางส่วนซึ่งเคร่งครัดศาสนาเกิดความลังเลและกดดันให้ท่านอาลียอมรับข้อเสนอการตัดสินดังกล่าว แม้ว่าท่านอาลีจะเห็นว่านี่เป็นอุบายทางการเมือง แต่ก็ไม่สามารถขัดใจผู้สนับสนุนได้

   * การเจรจาตกลงให้มีการแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการ 2 คน โดยฝ่ายท่านอาลีแต่งตั้งอบูมูซา อัล-อัชอะรีย์ (Abu Musa al-Ash’ari) และฝ่ายมุอาวิยะฮ์แต่งตั้งอัมรฺ อิบนุ อัล-อาศ

   * การตัดสินถูกกำหนดขึ้นที่เมืองอะซรูฮฺ (Adhruh) โดยมีข้อตกลงว่าให้ปลดผู้นำของทั้งสองฝ่ายออกและให้มุสลิมเลือกผู้นำคนใหม่ร่วมกัน แต่เมื่อถึงเวลาประกาศผล อัมรฺ อิบนุ อัล-อาศ ได้ใช้อุบายอีกครั้ง โดยยอมให้ฝ่ายท่านอาลีประกาศก่อน เมื่ออบูมูซาประกาศปลดท่านอาลีออก อัมรฺ อิบนุ อัล-อาศ กลับประกาศยืนยันให้มุอาวิยะฮ์เป็นผู้นำต่อไป

ผลของสงครามต่อเสถียรภาพการปกครองของท่านอาลี
 * การสูญเสียอำนาจและความน่าเชื่อถือ: การยอมรับการตัดสินโดยอนุญาโตตุลาการทำให้สถานะของท่านอาลีในฐานะผู้นำอ่อนแอลงอย่างมาก แม้ว่าการตัดสินจะล้มเหลวในท้ายที่สุด แต่นั่นก็สร้างความสงสัยและความไม่พอใจในหมู่ผู้สนับสนุน

 * การแบ่งแยกของกลุ่มคอวาริจญ์ (Khawarij): กลุ่มที่เคยสนับสนุนท่านอาลีบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการตัดสินดังกล่าวอย่างรุนแรง พวกเขามองว่าการยอมให้มนุษย์มาตัดสินข้อพิพาทเป็นสิ่งที่ผิดหลักการศาสนา (เนื่องจากเชื่อว่าการตัดสินเป็นของพระเจ้าเพียงผู้เดียว) จึงได้แยกตัวออกไปและกลายเป็นกลุ่มคอวาริจญ์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นศัตรูที่สำคัญของท่านอาลี

 * การสั่นคลอนเสถียรภาพทางการเมือง: หลังจากสงคราม กองกำลังของท่านอาลีเริ่มอ่อนแอลงและขาดความสามัคคี ทำให้มุอาวิยะฮ์สามารถขยายอำนาจและอิทธิพลของตนเองในซีเรียและอียิปต์ได้ การปกครองของท่านอาลีจึงถูกจำกัดอยู่เพียงในอิรักเป็นส่วนใหญ่

 * การลอบสังหาร: ในท้ายที่สุด ท่านอาลีถูกลอบสังหารโดยคนในกลุ่มคอวาริจญ์ ในปี ค.ศ. 661 ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสงครามศิฟฟีน การเสียชีวิตของท่านอาลีทำให้มุอาวิยะฮ์สามารถเข้ายึดอำนาจได้อย่างสมบูรณ์และสถาปนาราชวงศ์อุมัยยะฮ์ (Umayyad dynasty) ขึ้นมา ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดยุคของเคาะลีฟะฮ์ผู้ทรงธรรมทั้งสี่ (Rashidun Caliphate)


บทบาทของท่านหญิงอาอีซะฮ์ในสงครามอูฐ (Battle of the Camel)
ท่านหญิงอาอีซะฮ์ (Aisha) ซึ่งเป็นภรรยาที่รักยิ่งของท่านศาสดามูฮัมหมัด ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญและเป็นแกนนำของฝ่ายตรงข้ามกับท่านอาลีในสงครามนี้ บทบาทของท่านไม่ได้เป็นแม่ทัพในสนามรบโดยตรง แต่เป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณและสัญลักษณ์ ของกลุ่มผู้ที่เรียกร้องให้มีการแก้แค้นผู้สังหารเคาะลีฟะฮ์อุสมาน

 * แกนนำผู้เรียกร้องความยุติธรรม: หลังจากที่เคาะลีฟะฮ์อุสมานถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในเมืองมะดีนะฮ์ ท่านหญิงอาอีซะฮ์ซึ่งในขณะนั้นอยู่ที่เมืองมักกะฮ์ ได้แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อการที่ท่านอาลีไม่ได้ลงโทษกลุ่มคนร้ายในทันที ท่านจึงกลายเป็นแกนนำหลักในการเรียกร้องให้มีการชำระความผิดนี้

 * สัญลักษณ์ของการต่อต้าน: ท่านเดินทางจากมักกะฮ์ไปยังเมืองบัสรา (Basra) พร้อมด้วยสหายอาวุโสอีกสองท่านคือ ฏอลหะฮ์ (Talhah) และอัซซุบัยรฺ (al-Zubayr) เพื่อรวบรวมผู้สนับสนุน การที่ท่านหญิงอาอีซะฮ์ซึ่งเป็น "มารดาของผู้ศรัทธา" (Mother of the Believers) และเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพสูงสุดในสังคมอิสลามในเวลานั้น เข้าร่วมในความขัดแย้ง ทำให้การต่อต้านท่านอาลีมีความชอบธรรมและดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้เข้าร่วม

 * เป็นจุดศูนย์กลางของสงคราม: ในการสู้รบ ท่านหญิงอาอีซะฮ์ประทับอยู่บนอูฐที่ล้อมรอบด้วยเหล่าทหาร โดยท่านได้ใช้การปรากฏตัวเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับกองทัพของตน อูฐที่ท่านประทับจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของสงคราม และเป็นเป้าหมายหลักของกองทัพฝ่ายท่านอาลี การสู้รบสิ้นสุดลงเมื่ออูฐของท่านถูกล้มลง ซึ่งทำให้ขวัญและกำลังใจของฝ่ายตรงข้ามแตกพ่าย

สาเหตุที่ท่านหญิงอาอีซะฮ์เข้าร่วมในสงคราม
     การตัดสินใจของท่านหญิงอาอีซะฮ์ไม่ได้มาจากความขัดแย้งส่วนตัวกับท่านอาลีเพียงอย่างเดียว แต่มีสาเหตุมาจากความเชื่อและเหตุการณ์ทางการเมืองในขณะนั้น:

 * ความต้องการให้แก้แค้นผู้สังหารเคาะลีฟะฮ์อุสมาน: นี่คือสาเหตุหลักและสำคัญที่สุด ท่านหญิงอาอีซะฮ์เชื่อว่าการสังหารเคาะลีฟะฮ์เป็นบาปที่ร้ายแรงที่สุดและต้องมีการลงโทษผู้กระทำผิดในทันที แต่ท่านอาลีในฐานะผู้นำคนใหม่ต้องการรอให้สถานการณ์ทางการเมืองสงบลงเสียก่อน ซึ่งท่านหญิงอาอีซะฮ์มองว่าเป็นการละเลยความยุติธรรม

 * ความไม่พอใจในกระบวนการขึ้นเป็นผู้นำของท่านอาลี: การขึ้นสู่อำนาจของท่านอาลีเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่วุ่นวาย มีกลุ่มกบฏที่สังหารอุสมานอยู่ในเมืองมะดีนะฮ์ ท่านหญิงอาอีซะฮ์และกลุ่มชนชั้นนำบางส่วนรู้สึกว่าการเลือกตั้งท่านอาลีในสถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์และเป็นธรรมเท่าที่ควร

 * การยุยงปลุกปั่น: มีการยุยงจากกลุ่มผู้ไม่หวังดีและผู้ที่เคยเป็นศัตรูของท่านศาสดาในช่วงต้นๆ ที่เข้ามาเข้าร่วมกับกลุ่มของท่านหญิงอาอีซะฮ์เพื่อสร้างความแตกแยกและบ่อนทำลายการปกครองของท่านอาลี

 * ความมุ่งมั่นในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม: ในมุมมองของท่านหญิงอาอีซะฮ์ การดำเนินการของตนเองไม่ใช่การก่อกบฏ แต่เป็นการพยายามแก้ไขความวุ่นวายและสร้างระเบียบใหม่ให้กับประชาคมมุสลิม (อุมมะฮ์) ที่กำลังสั่นคลอนจากการสังหารผู้นำสูงสุด

การเข้าร่วมของท่านหญิงอาอีซะฮ์จึงเป็นผลมาจากความเชื่อที่ว่าท่านกำลังทำหน้าที่ปกป้องความยุติธรรมและหลักการศาสนาที่ถูกละเลย แม้ว่าในท้ายที่สุด สงครามนี้จะนำไปสู่ความแตกแยกที่ลึกซึ้งในหมู่มุสลิมก็ตาม

เหตุการณ์ในกัรบะลาอ์: การสังหารอิมามฮุเซน
      เหตุการณ์ในกัรบะลาอ์ที่นำไปสู่การสังหารท่านอิมามฮุเซน หลานชายของท่านศาสดามูฮัมหมัด เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สะเทือนใจและสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์อิสลาม ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกทางนิกายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
      เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 680 หลังจากที่เคาะลีฟะฮ์มุอาวิยะฮ์สิ้นชีวิต และยาซีด อิบนุ มุอาวิยะฮ์ (Yazid ibn Muawiyah) บุตรชายของเขาได้ขึ้นเป็นผู้นำของรัฐคอลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ (Umayyad Caliphate)

 * การปฏิเสธการสวามิภักดิ์: ยาซีดต้องการให้อิมามฮุเซนและกลุ่มชนชั้นสูงคนอื่น ๆ ให้คำสัตย์ปฏิญาณว่าจะภักดีต่อเขาในฐานะผู้นำ แต่อิมามฮุเซนปฏิเสธที่จะให้การสวามิภักดิ์ โดยให้เหตุผลว่ายาซีดมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำสูงสุดของอิสลาม

 * การเดินทางสู่กูฟะฮ์: ในเวลานั้นประชาชนในเมืองกูฟะฮ์ (Kufa) ในอิรัก ซึ่งเป็นอดีตฐานที่มั่นของบิดาของท่าน (ท่านอาลี) ได้ส่งจดหมายเชิญให้อิมามฮุเซนเดินทางไปที่นั่นเพื่อนำพวกเขาในการต่อต้านการปกครองของยาซีด

 * การสกัดกั้นที่กัรบะลาอ์: อิมามฮุเซนจึงเดินทางจากมักกะฮ์พร้อมกับครอบครัวและผู้ติดตามจำนวนเพียงเล็กน้อย (ประมาณ 72 คน) แต่กองทัพของยาซีดได้สกัดกั้นคาราวานของท่านที่บริเวณทะเลทรายแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า กัรบะลาอ์ (Karbala) โดยทำการปิดล้อมเป็นเวลาหลายวัน

 * การสังหารหมู่: ในวันที่ 10 ของเดือนมุฮัรร็อม (Muharram) หรือที่รู้จักกันในชื่อ วันอะชูรออ์ (Ashura) กองทัพของยาซีดได้โจมตีกลุ่มของอิมามฮุเซนที่อ่อนกำลังและกระหายน้ำ การสู้รบจบลงด้วยการสังหารหมู่อย่างโหดร้าย ผู้ติดตามของท่านฮุเซนถูกสังหารทั้งหมด รวมทั้งตัวท่านฮุเซนเองก็ถูกสังหารและตัดศีรษะ

ผลของสงครามและผลกระทบต่อสังคมมุสลิม
 * ผลของสงครามโดยตรง: การสังหารอิมามฮุเซนถือเป็นชัยชนะทางการทหารของยาซีดในระยะสั้น แต่ในระยะยาวกลับกลายเป็นการทำลายความชอบธรรมของการปกครองของเขาเองอย่างรุนแรง และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการลุกฮือต่อต้านราชวงศ์อุมัยยะฮ์ในเวลาต่อมา

 * การแบ่งแยกทางนิกายอย่างถาวร: เหตุการณ์กัรบะลาอ์เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้การแบ่งแยกระหว่างมุสลิมชีอะฮ์และซุนนีย์มีความชัดเจนและถาวรยิ่งขึ้น

   * สำหรับมุสลิมชีอะฮ์: กัรบะลาอ์ถือเป็นเหตุการณ์ที่กำหนดอัตลักษณ์ของนิกาย ความตายของท่านฮุเซนถูกมองเป็นการพลีชีพเพื่อรักษาหลักการอิสลามที่แท้จริงและต่อต้านความอยุติธรรม ท่านฮุเซนได้รับการยกย่องเป็น "ซัยยิด อัช-ชุฮาดา" (Sayyid al-Shuhada) หรือผู้นำแห่งผู้พลีชีพ การรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ในวันอะชูรออ์จึงเป็นพิธีกรรมที่สำคัญที่สุดของชีอะฮ์

   * สำหรับมุสลิมซุนนีย์: มุสลิมซุนนีย์ส่วนใหญ่ก็ถือว่าการสังหารอิมามฮุเซนเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าและเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายทางประวัติศาสตร์ แต่ไม่ได้มองว่าเป็นรากฐานสำคัญทางความเชื่อในระดับเดียวกันกับชีอะฮ์

 * อิทธิพลต่อแนวคิดทางศาสนาและการเมือง: เหตุการณ์ในกัรบะลาอ์ได้ปลูกฝังแนวคิดเรื่อง การพลีชีพเพื่อความยุติธรรม และ การต่อสู้กับผู้ปกครองที่อยุติธรรม ให้กับมุสลิมชีอะฮ์อย่างลึกซึ้ง ซึ่งส่งผลต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองและศาสนาของพวกเขามาตลอดหลายศตวรรษ


ความคิดเห็น