การขึ้นเป็นคอลีฟะห์ ของท่านอบูบักร หลังท่านนบีมูฮัมหมัดเสียชีวิต

       การขึ้นเป็นคอลีฟะฮฺของท่านอบูบักร อัซซิดดีก หลังการเสียชีวิตของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เต็มไปด้วยความเร่งด่วน ความละเอียดอ่อน และความตึงเครียด ทั้งก่อนและหลังที่ท่านได้รับอำนาจปกครอง เพราะเกี่ยวข้องกับการรวมเอกภาพของประชาคมมุสลิม (อุมมะฮฺ) ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์อิสลาม

1. สถานการณ์ก่อนการแต่งตั้ง

หลังจากท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ เสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 11 (ค.ศ. 632)

ความโศกเศร้าและความสับสน: สาวกจำนวนมากถึงกับไม่เชื่อว่าท่านนบีได้จากไปจริง จนกระทั่งท่านอบูบักรกล่าวคุตบะฮฺอันมีชื่อเสียงว่า “ผู้ใดเคารพภักดีต่อมุฮัมมัด ก็จงรู้ว่ามุฮัมมัดได้เสียชีวิตแล้ว และผู้ใดเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ ก็จงรู้ว่าอัลลอฮฺทรงมีชีวิตอยู่ตลอดไป”

ปัญหาผู้นำ: อิสลามในเวลานั้นไม่ได้มีระบบราชวงศ์หรือกษัตริย์ แต่มีแนวคิดเรื่อง “คอลีฟะฮฺ” (خليفة) ซึ่งหมายถึง “ผู้แทน” หรือ “ผู้สืบต่อ” ในการบริหารกิจการของประชาคม หลังจากไม่มีท่านนบี

2. เหตุการณ์ซะกีฟะฮฺ บนีซะอีดะฮฺ

กลุ่มอันศอร (มุสลิมชาวมะดีนะฮฺ) รวมตัวกันเพื่อหารือว่าจะเลือกผู้นำจากพวกเขาเอง เนื่องจากพวกเขาเป็นเจ้าของถิ่นที่ให้การต้อนรับอพยพมุฮาญิรีน (ชาวมักกะฮฺที่อพยพมา)

ท่านอบูบักร, อุมัร และอบูอุบัยดะฮฺ รีบไปยังที่ประชุมเพื่อป้องกันการแตกแยก

เกิดการถกเถียงอย่างเข้มข้นระหว่างอันศอรกับมุฮาญิรีน บางคนเสนอให้มี “ผู้นำ 2 คน” คือคนหนึ่งจากอันศอรและอีกคนจากมุฮาญิรีน แต่ท่านอบูบักรชี้ว่า “สองดาบจะไม่อยู่ในฝักเดียวกัน” พร้อมเสนอชื่ออุมัรหรืออบูอุบัยดะฮฺเป็นผู้นำ แต่ทั้งคู่ปฏิเสธและกลับสนับสนุนอบูบักร

ในที่สุด อุมัร อิบนุค็อฏฏ็อบให้สัตยาบัน (บัยอะฮฺ) ต่ออบูบักร และผู้ที่อยู่ในที่ประชุมก็ทำตาม

3. การให้สัตยาบัน (บัยอะฮฺ) อย่างเป็นทางการ

วันรุ่งขึ้น มีการให้บัยอะฮฺต่ออบูบักรในมัสญิดต่อหน้ามุสลิมส่วนใหญ่ในมะดีนะฮฺ ซึ่งถือเป็นการรับรองอย่างเป็นทางการ

การยอมรับไม่ใช่ราบรื่นทั้งหมด — บางท่าน เช่น อะลี อิบนุอะบีฏอลิบ และสมาชิกตระกูลบะนีฮาชิม ล่าช้าในการให้บัยอะฮฺ เนื่องจากกำลังยุ่งกับการจัดการศพท่านนบี และอาจมีความเห็นต่างทางการเมือง แต่ต่อมาอะลีได้ให้บัยอะฮฺเพื่อรักษาความเป็นเอกภาพของอุมมะฮฺ

4. ความท้าทายหลังได้รับอำนาจ

การแตกแยกภายใน (ริดดะฮฺ): หลายเผ่าในคาบสมุทรอาหรับปฏิเสธจ่ายซะกาต หรือหันหลังให้กับอิสลามทันทีหลังท่านนบีเสียชีวิต บางคนอ้างตัวเป็นนบีใหม่ (เช่น มุซัยลิมะฮฺ)

การรักษาเอกภาพ: อบูบักรยืนยันว่าจะสู้กับผู้ที่ไม่จ่ายซะกาต โดยถือว่าการปฏิเสธซะกาตเป็นการละทิ้งอิสลาม (ริดดะฮฺ) นำไปสู่ “สงครามริดดะฮฺ”

การขยายอิสลาม: หลังควบคุมสถานการณ์ภายในได้แล้ว อบูบักรส่งกองทัพออกไปนอกคาบสมุทรเพื่อเผชิญจักรวรรดิซาซาเนียนและไบแซนไทน์

5. บทสรุปเชิงประวัติศาสตร์

การขึ้นเป็นคอลีฟะฮฺของอบูบักรไม่ใช่การสืบทอดตำแหน่งแบบสายเลือด แต่เป็นการตกลงกันของผู้นำมุสลิมในเวลานั้น เพื่อรักษาเอกภาพและสานต่อภารกิจของอิสลาม

เหตุการณ์ก่อนและหลังแต่งตั้งแสดงให้เห็นว่าชุมชนมุสลิมยุคแรกต้องเผชิญวิกฤติผู้นำ ความแตกแยก และภัยคุกคามจากทั้งภายในและภายนอก

ความเด็ดเดี่ยวและการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ของอบูบักรทำให้รัฐอิสลามยังคงยืนหยัด และปูทางสู่การขยายตัวในยุคต่อมา

ได้เลยครับ
ผมจะเรียบเรียง เหตุการณ์การขึ้นเป็นคอลีฟะฮฺของท่านอบูบักร ให้ครบทั้ง มุมมองของชีอะฮฺ และ มุมมองของซุนนี เพื่อให้เห็นภาพว่า แต่ละฝ่ายมองและตีความอย่างไร โดยจะจัดเป็นสองส่วนชัดเจน

1. มุมมองของซุนนี

หลักการและมุมมอง

สำหรับซุนนี เหตุการณ์ซะกีฟะฮฺถือเป็นตัวอย่างของ ชูรอ (شورى – การปรึกษาหารือ) ซึ่งเป็นวิธีแต่งตั้งผู้นำตามหลักอิสลาม

การเลือกอบูบักรเป็นคอลีฟะฮฺเกิดจากมติของบรรดามุฮาญิรีนและอันศอร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดช่องว่างอำนาจหลังการเสียชีวิตของท่านนบี ﷺ

ซุนนีมองว่าท่านอบูบักรเป็นผู้เหมาะสมที่สุด เนื่องจาก:

1. เป็นสหายใกล้ชิดที่สุดของท่านนบี

2. เป็นผู้นำละหมาดแทนท่านนบีในช่วงป่วย

3. มีคุณธรรม ความรู้ และประสบการณ์สูง

ความล่าช้าในการให้บัยอะฮฺของอะลีและบะนีฮาชิม ไม่ถือเป็นการปฏิเสธ แต่เป็นการจัดลำดับความสำคัญ (กำลังดูแลศพท่านนบี) และในที่สุดอะลีก็ให้บัยอะฮฺ เพื่อรักษาเอกภาพของอุมมะฮฺ

สรุปในมุมซุนนี

การขึ้นครองตำแหน่งของอบูบักรเป็น “ถูกต้องตามหลักศาสนาและเป็นฉันทามติของชุมชนมุสลิม” (อิจญ์มาอฺ)

เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงการทำงานเป็นทีมของผู้นำยุคแรก และเป็นแบบอย่างของการแก้ปัญหาการเมืองในสถานการณ์วิกฤติ

2. มุมมองของชีอะฮฺ

หลักการและมุมมอง

     ชีอะฮฺเชื่อว่าผู้นำ (อิหม่าม) ต้องได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮฺและท่านนบี ﷺ โดยตรง ไม่ใช่ผ่านการโหวตหรือการปรึกษากัน

ในทัศนะของชีอะฮฺ ท่านนบีได้ประกาศแต่งตั้ง อะลี อิบนุอะบีฏอลิบ เป็นผู้สืบต่อ (คอลีฟะฮฺ/อิหม่าม) ในเหตุการณ์ ฆ่อดีรคุม (غدير خم) โดยมีคำกล่าวว่า:

> “สำหรับผู้ที่ฉันเป็นมะวฺลา (ผู้เป็นนาย) ของเขา อะลีก็เป็นมะวฺลาของเขาเช่นกัน”
(ซึ่งชีอะฮฺตีความว่าเป็นการแต่งตั้งทางการเมืองและศาสนา ในขณะที่ซุนนีตีความว่าเป็นการยืนยันสถานะเกียรติและความรักต่ออะลี)

ชีอะฮฺมองว่าการประชุมซะกีฟะฮฺเกิดขึ้นอย่างเร่งรีบ ขณะที่อะลีและบะนีฮาชิมกำลังยุ่งกับการฝังศพท่านนบี จึงไม่ได้เข้าร่วม

การที่ผู้นำถูกแต่งตั้งโดยคนกลุ่มหนึ่งโดยไม่มีตัวแทนของทุกฝ่าย ทำให้ชีอะฮฺเห็นว่ากระบวนการนี้ไม่ชอบธรรม

การให้บัยอะฮฺของอะลีในภายหลัง (ตามบันทึกของซุนนีว่าไม่กี่เดือน หรือในบันทึกของชีอะฮฺว่าหลังจาก 6 เดือน) เป็นเพียงการยอมรับสถานการณ์เพื่อป้องกันการแตกแยก ไม่ใช่การยอมรับว่ากระบวนการแต่งตั้งถูกต้อง

สรุปในมุมชีอะฮฺ

เหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งทางการเมืองและการตีความหลักการศาสนา

ชีอะฮฺยืนยันว่า ผู้นำต้องเป็น “อิหม่าม” จากสายตระกูลของท่านนบี (อะฮฺลุลบัยต์) ที่ได้รับแต่งตั้งโดยวะฮฺยู ไม่ใช่จากการเลือกตั้งของมนุษย์

3. การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์

ความแตกต่างของมุมมองไม่ได้อยู่แค่ “ใครควรเป็นผู้นำ” แต่ลึกลงไปถึง แนวคิดเรื่องแหล่งอำนาจชอบธรรม

ซุนนี: อำนาจชอบธรรมมาจากฉันทามติของประชาคมมุสลิม (อิจญ์มาอฺ) และการปรึกษาหารือ (ชูรอ)

ชีอะฮฺ: อำนาจชอบธรรมมาจากการแต่งตั้งโดยอัลลอฮฺ ผ่านท่านนบี ﷺ และต้องอยู่ในตระกูลอะฮฺลุลบัยต์

ความต่างนี้ส่งผลให้เกิดสายผู้นำคู่ขนาน — คอลีฟะฮฺตามซุนนี กับสายอิหม่ามตามชีอะฮฺ — และกลายเป็นรากเหง้าของความแตกแยกที่ดำรงมาจนถึงปัจจุบัน

โปรดใช้วิจราณญานในการอ่าน

ความคิดเห็น