ความเหลื่อมล้ำทางด้านวัฒนธรรมของสังคมกับมุสลิมจีนในชนบท

 

หมู่บ้านชนบท… ของ ‘ชาวหุย’ บนแผ่นดินมังกร (1)



ตำรวจกำลังเผยแพร่ความรู้ทางด้านกฎหมายแก่ตาแปะชาวหุย
       ความเหลื่อมล้ำทางด้านวัฒนธรรมของสังคมชนบทและเมืองเป็นเรื่องที่พบในสังคม ทั่วไป ทว่าความแตกต่างมาก น้อยนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ตั้งแต่สภาพภูมิประเทศ เบื้องหลังทางด้านประวัติศาสตร์ นโยบายของทางการ การศึกษา ศาสนา เป็นต้น หมู่บ้านชาวหุยที่ตั้งอยู่ตามภูมิภาคต่างๆของแผ่นดินมังกรมีลักษณะอย่างไร เหมือนอย่างที่ท่านคิดหรือเปล่า ? ตอนนี้ผู้เขียนใคร่นำเสนอหมู่ Huihuideng ของเมืองต้าหลี่ มณฑลยูนนาน

         ปัจจุบันหมู่บ้าน Huihuideng ตำบล Yongjian Weishan ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของมณฑลยูนนาน Huihuideng เป็นหมู่บ้านมีประชากรทั้งหมด 1,243 ครัวเรือน มีประชากรทั้งหมด 4,783 คน ห่างจากเมืองต้าหลี่ประมาณ 36 กิโลเมตร Huihuideng เป็น หมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนที่ราบ ประชากรในหมู่บ้านทั้งหมดเป็นชาวหุยที่นับถือศาสนาอิสลาม มีหมู่บ้านใกล้เคียงที่ห่างจากตัวหมู่บ้าน ไม่ไกลมาก มีประมาณ 4-5 หมู่บ้าน ส่วนมากเป็นหมู่บ้านชาวหุยเหมือนกัน เพียงแต่ว่ามีจำนวนประชากรน้อยกว่า Huihuideng อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 14.9 องศาเซลเซียส ตามสถิติของการอัตราประชากรในหมู่บ้านระบุ ว่า ช่วงที่สถาปนาสาธารณจีนใหม่ค.ศ. 1949 หมู่บ้านดังกล่าวมีประชากรทั้งหมด 423 ครัวเรือนมีจำนวนประชากรจำนวน 2,118 คน ปีค.ศ. 1980 มีประชากรทั้งหมด 3,790 หลัง จากที่รัฐบาลจีนปฏิรูปการเปิดประเทศ มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและทางรัฐบาลได้ดำเนินนโยบายลูกโทน แต่สำหรับกลุ่มชนชาติในชนบทนั้นสามารถมีบุตรได้ 2 คน ผลการสำรวจประชากรในหมู่บ้านในปี ค.ศ.1998 จึงมีประชากร 4,518 คน จะเห็นได้ว่าการอัตราการเจริญเติบโตของประชากรในหมู่บ้านนั้นมีความสอดคล้องกับนโยบายของทางรัฐบาล

        กล่าวกันว่าสมัยราชวงศ์หยวน กุบไลข่าน (หลานของเจงกิสข่าน) นำกองทับมาปราบปรามเมืองต้าหลี่จนได้รับชัยชนะ และจัดให้ทหารอาศัยอยู่ในพื้นที่ ในสมัยนั้นเป็นคนตระกูล Tie,Shi,Long สมัยราชวงศ์หมิงกองทัพที่นำโดย MuYing (บุตรบุญธรรมของกษัตริย์จูหยวนจาง) และ Chang Yuchun เข้าพิชิตยูนนานและพม่า ชาวหุยในบริเวณดังกล่าวจึงได้รับพระราชทานแซ่(ตระกูล)Zhu, Hu, Ma, Mi, Yang เป็นต้น สมัยราชวงศ์ชิงนั้นเป็นถือว่าเป็นกลียุคของชาวหุยในแผ่นดินจีน ชาวบ้าน Huihuideng ในยุคนี้ก็ไม่แตกต่างอะไรกับชาวหุยทั่วไป กล่าวกันว่าในสมัยนั้นชาวบ้านในหมู่บ้าน Huihuideng และ หมู่บ้านใกล้เคียงถูกทหารชิงมารังควานและ เข่นฆ่าผู้คนตายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้นำครอบครัว และช่วงนี้เองที่เกิดกบฏมุสลิมในมณฑลยูนนาน เพื่อต่อต้านรัฐบาลของราชวงศ์ชิง นำโดยวีระบุรุษชาวหุยที่ชื่อว่าตู้เหวินซิ่ว เนื่องด้วยจุดชุมนุมของตู้เหวินซิ่วในช่วงต้นนั้นอยู่ที่หมู่บ้าน Xiaoweigeng เป็นหมู่บ้านที่ไม่ไกลจาก Huihuideng มากนัก จึงมีชายฉกรรจ์ของ Huihuideng เข้าร่วมอุดมการณ์ด้วยไม่น้อย

         ด้วยเหตุที่หมู่บ้าน Huihuideng ตั้ง อยู่ที่ราบและตั้งอยู่บริเวณใจกลางของหลายๆ หมู่บ้านจึงกลายเป็นที่ลี้ภัยของเด็กและสตรี เมื่อทหารแมนจูของราชวงศ์ชิงมาเห็นจึงไม่ได้ทำลาย หมู่บ้านนี้จึงมีชื่อเรียกในสมัยนั้นว่า Liu yi cun (เหลือไว้หมู่บ้านหนึ่ง) หลังจากที่ราชวงศ์ชิงล่มสลายก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นช่วงที่เกิดสงครามภายในของจีน ชาวบ้านในหมู่บ้านHuihuideng นิยม ทำการค้ากับโลกภายนอกมากขึ้น เกิดขบวนคาราวานม้าเป็นจำนวนมาก และมีเส้นทางค้าขายที่ชัดเจนมากขึ้นคือทางเหนือเดินทางไปถึงธิเบต ทางใต้ไปถึงเมืองสิบสองปันนา ทางตะวันตกเดินทางเข้าประเทศพม่าและเข้าสู่ทางภาคเหนือของไทยและบางส่วนก็ เดินทางไปยังประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียเป็นต้น

        ชาวหุยนั้นมีเชื้อสายในการทำการค้าอยู่แล้ว แม้ว่าก่อนการสถาปนาจีนใหม่นั้นชาวบ้านส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเกษตรเป็นหลัก การทำการค้าเป็นเรื่องรอง กล่าวกันว่าก่อนสถาปนาประเทศนั้นทั้งหมู่บ้านมีม้ามากกว่า 1,500 ตัว และเส้นทางสัญจรของม้าในสมัยนั้นเป็นพื้นทางทางด้านการคมนาคมในสมัยใหม่นี้ นอกจากนั้นแล้วในช่วงดังกล่าวยังเกิดอาชีพที่หลากหลายมากขึ้น มีโรงงานมัดย้อม แปรรูปหนังสัตว์ แปรรูปน้ำมัน และมีพ่อค้าแม่ขายมากขึ้น ในช่วงนี้มีการจัดสรรที่ดินทำกินให้กับประชากรอย่างชัดเจน แต่หลังจากปี ค.ศ.1979 นโยบาย การจัดสรรที่ดินนั้นเปลี่ยนไปในรูปแบบของการเหมารวม โดยทางการจัดสรรให้ที่ดินเพื่ออยู่อาศัยเป็นหลัก จึงทำให้ที่ดินทำกินนั้นมีจำกัด แต่ขณะเดียวกันก็เกิดอาชีพที่หลากหลายมากขึ้น เช่น อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร งานก่อสร้าง การขนส่ง การค้าวัสดุยา และร้านค้าเบ็ดเตล็ดต่างๆ ทุกวันนี้เมื่อเดินดังกล่าวเข้าหมู่บ้านจึงไม่ต้อง ห่วงเรื่องปากท้องและของใช้พื้นฐานที่จำเป็น

         ระบบเศรษฐกิจที่น่าชื่นชมของหมู่บ้าน Huihuideng ทุก วันนี้ก็คือระบบตลาดนัด ในหมู่บ้านจะมีลานกิจกรรมขนาดใหญ่ ภายในลานประกอบด้วยที่อาคารและที่โล่ง เมื่อถึงทุกวันที่ลงท้ายด้วยเลขห้าของเดือน (วันที่ 5,15,25) ชาว บ้านก็จะนำสินค้าต่างๆ ที่มีอยู่ภายในครัวเรือนมาจำหน่ายกันและกัน นอกจากเป็นสินค้าที่ทำขึ้นเองแล้ว ยังอาจเป็นสินค้าที่ชาวบ้านในหมู่บ้านไปรับมาเพื่อจำหน่ายให้แก่กัน ดังนั้นภายในตลาดนัดนั้นคุณสามารถเลือกซื้อของได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้ บรรยากาศตลาดอาจ ‘วุ่นวาย’ หน่อย แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือ พ่อค้าแม้ขายทั้งหมดนั้นเป็นคนภายในหมู่บ้านหรือหมู่บ้านใกล้เคียงเท่านั้น ไม่ใช่พ่อค้าคนกลางที่มาจากกองคาราวานสินค้าต่างถิ่น ระบบการค้าในหมู่บ้านนี้จึงไม่ต้องห่วงเรื่อง ‘เงินทองนั้นจะไปไหน’

        ตั้งแต่เริ่มมีการก่อสร้างมัสยิดในสมัยราชวงศ์หมิง ค.ศ.1372 บรรพบุรุษของชาว Huihuideng ก็ เริ่มจัดให้มีอิหม่ามและครูสอนศาสนา แต่รูปแบบการศึกษานั้นมีความชัดเจนก่อนสงคราม โลกครั้งที่สอง มีการสอนความรู้ทางด้านศาสนาและความรู้ทางด้านวัฒนธรรมจีน โดยมีการเชิญครูชาวฮั่นจากต่างหมู่บ้านมาสอนตำราโบราณของจีน ในปัจจุบันลูกหลาน Huihuideng นั้น ประกอบด้วยผู้ที่เลือกเรียนสามัญและศาสนา เมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อนๆ แล้ว ดูเหมือนคนรุ่นหลังๆ จะเลือกเรียนภาคสามัญมากกว่า แต่กระนั้นก็ตามเมื่อเรียนจบชั้นสูงสุดในหมู่บ้าน (มัธยมศึกษาปีที่ 3) มีน้อยคนมากที่จะเลือกศึกษาต่อ สถานภาพทางด้านการสมรสของชาว Huihuideng จึงต่ำกว่าที่ทางการกำหนด

         ‘การแนะนำ’ เพื่อให้ทั้งฝ่ายชายและหญิงรู้จักและสมรสนั้น เป็นเรื่องที่ชาว Huihuideng ให้ความสำคัญมาก ตามกฎหมายการสมรสของจีนในปัจจุบันนั้น กำหนดไว้ว่าสถานภาพของผู้ชายนั้นสามารถสมรสเมื่ออายุ 22 บริบรูณ์และผู้หญิงนั้นสามารถสมรสตอนอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ชาว Huihuideng ส่วนมากยังคงถือว่า อายุไม่ถึงเกณฑ์ไม่ใช่ปัญหา ให้ผ่านพิธี ‘นิกะฮ์’ เป็นสำคัญ เมื่อถึงเกณฑ์แล้วค่อยกระเตงลูกไปจดทะเบียนสมรสตามที่กฎหมายกำหนด แต่บางคู่ก็ไม่มีการจดทะเบียนสมรสย้อนหลัง เพราะคิดว่าทะเบียนสมรสนั้นไม่เกิดคุณและโทษอะไรมาก

บ้านพักของชาว Huihuideng ยัง คงเป็นบ้านโบราณแบบจีน เพราะเป็นหมู่บ้านแบบโบราณที่รัฐบาลต้องการให้อนุรักษ์รักษาไว้ ดังนั้นถ้ามองจากภายนอกนั้น จะมองเห็นหลังคาบ้านแบบจีนที่เป็นสีเดียวกัน และมีกำแพง(ทึบ)ที่ ห้อมล้อมทั้งสี่ด้านรอบบ้านอย่างหนาแน่น เมื่อเดินเข้าไปในบ้านแล้วเราจะพบว่าโครงสร้างของแต่ละบ้านนั้นจะคล้ายๆ กันคือมีห้องโถงสำหรับรับแขก และห้องนอนอยู่หลังเดียวกัน ส่วนห้องครัวและห้องสุขานั้นจะอยู่ทั้งสองข้าง ตรงกลางเป็นบริเวณลานบ้านอเนกประสงค์ บ้างไว้ตากพืชผลทางการเกษตร บ้างไว้ปลูกดอกไม้ บ้างเป็นที่วิ่งเล่นของเด็กๆ

          จะมีบ้าน เรือนบางส่วนที่มีการต่อเติมรูปแบบของบ้านให้เป็นรูปแบบใหม่ เช่นมีห้องสุขาภายในบ้าน แต่ยังคงมีบ้านเรือนบางส่วนที่แยกที่พักและห้องสุขาอย่างชัดเจน และยังคงเป็นห้องสุขาแบบโบราณ เพราะชาวบ้านบางส่วนยังคงนำมูลไปใช้ประโยชน์กับไม้ผลต่างๆ ซึ่งการ ‘รียูส’ แบบนี้จะต้องให้มีการ ‘ปฏิรูป’ ใหม่ด้วย

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

http://www.yslzc.com/zhexieren/jcshj/mmqt/gnmsltb/200811/28523.html

หนังสือเรื่อง ประวัติชาวหุยต้าหลี่ สำนักพิมพ์ชนชาติยูนนาน ปี 2009

http://www.yslzc.com/zhexieren/jcshj/mmqt/gnmsltb/200811/28523.html

หมู่บ้านชนบท… ของ ‘ชาวหุย’ บนแผ่นดินมังกร (จบ)



บ้านพักที่เหมาเจ๋อตุงและคณะเคยแวะพัก ชาวบ้านยังคงรักษาไว้ให้คงสภาพเดิม

ฉบับที่ผ่านมาผู้เขียนได้แนะนำหมู่บ้านชนบทของชาวหุยที่อยู่ในมณฑลยูนนาน ฉบับนี้เรามาดูกันว่าหมู่บ้าน Danjiaji ที่ตั้งอยู่ตำบล Xinglong อำเภอ Xiji ที่อยู่ทางใต้ของมณฑลหนิงเซียะว่ามีความเป็นอยู่อย่างไร

อย่างที่ทราบกันดีว่ามณฑลหนิงเซียะเป็นมณฑลที่ปกครองตัวเองของชาวหุย(Ningxia Hui Autonomous Region ) ตั้ง อยู่ทางทิศตะวันตกของจีน หลังจากที่รัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบายพัฒนาภาคตะวันตกแล้ว มณฑลหนิงเซี่ย จึงมีโอกาสพัฒนาแผนงานทางด้านต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวหุย เช่นแผนงานการพัฒนาเป็นศูนย์อาหารฮาลาลเพื่อส่งออก การจัดประชุมการค้าระหว่างจีน-กลุ่มประเทศอาหรับ เป็นต้น

หมู่บ้าน Danjiaji เป็นหมู่บ้านที่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 45 กิโลเมตร ห้อมล้อมด้วยภูเขาสามด้าน มีทางด้านตะวันตกของหมู่บ้านเพียงด้านเดียวที่เป็นที่ราบ ทางด้านเหนือและใต้ของหมู่บ้านดังกล่าวประกอบด้วยสองหย่อมหมู่บ้าน รวมทั้งหมด 768 หลังคาเรือน มีประชากรทั้งหมด 4,078 คน ประชากรส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนั้นคือชาวหุยตระกูล Dan ตาม ประวัติศาสตร์ระบุไว้ว่า สมัยราชวงศ์ชิงเกิดการปฏิวัติของชาวหุยบริเวณมณฑลซ่านซีและกานซู เนื่องมาจากความไม่พอใจในการกดขี่ชนชาติส่วนน้อยปกครองของรัฐบาลชิง แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้กองกำลังของทหารชิง จึงทำให้ชาวหุยต้องหลบหนีและบางส่วนได้หลบหนีมาอาศัยอยู่บริเวณดังกล่าว ซึ่งในช่วงแรกนั้นส่วนมากเป็นชาวหุยตระกูลDan แต่ปัจจุบันนั้นมีชาวหุยที่อยู่รวมกันหลายตระกูล เหตุการณ์ก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนสถาปนาประเทศจีนในปี ค.ศ. 1949 นั้นเป็นประวัติศาสตร์ที่ชาว Danjiaji ภาคภูมิใจ

ก่อน ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนสถาปนาประเทศจีนนั้น ภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตุง ได้มีการจัดตั้งกองทัพเดินทางไกล เพื่อเรียกร้องให้ชาวบ้านเข้าร่วมพรรคเพื่อโค่นล้มอำนาจพรรคก๊กหมินตั๋งใน สมัยนั้น กองทัพดังกล่าวเรียกว่ากองทัพแดง ช่วงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1935 ถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1936 กองทัพแดงได้เดินทางไปยังหมู่บ้านดังกล่าวถึง 3 ครั้ง หนึ่งในสามนั้นนำโดยเหมาเจ๋อตุงได้เดินทางไปพักค้างในหมู่บ้าน โดยได้นำเสนอนโยบายทางด้านศาสนาของรัฐบาลและได้มอบป้ายคำขวัญที่มีใจความว่า“หุยฮั่นเสมือนพี่น้องกัน”

MaGuoxuan อายุ 71 ปีชาวบ้านหมู่บ้าน Danjiaji เล่า ว่า “พ่อเคยเล่าให้ฟังเสมอว่า สมัยนั้นชาวบ้านมีฐานะยากจน เมื่อกองทัพแดงมาถึง อิหม่ามจะเป็นผู้นำในการต้อนรับ โดยสรรหาอาหารที่ดีมาเลี้ยงต้อนรับ หลังจากที่กองทัพแดงกลับก็จะได้ให้ป้ายคำขวัญไว้ว่า “อนุรักษ์มัสยิด” “หุยฮั่นเสมือนพี่น้องกัน” “กองทัพแดงคือกองทัพของคนจน” เป็นต้น ปัจจุบันชาวบ้านยังคงอนุรักษ์บ้านพักที่เหมาเจ๋อตุงและคณะเคยพัก

ในหมู่บ้านนั้นส่วนมากเป็นชาวหุย มีชาวฮั่นที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเพียง 20 หลังคา มีมัสยิดทั้งหมด 4 แห่ง รูปแบบมัสยิดนั้นลักษณะสถาปัตยกรรมที่ผสามผสานระหว่างอาหรับและจีน มัสยิดทั้ง 4 แห่ง นั้นเน้นหนักในมัซฮับที่ ตนนับถือ ในอดีตนั้นชาวบ้านจะห้ามการสมรสระหว่างคู่บ่าวสาวที่ต่างมัซฮับ แต่หลังจากที่นโยบายความเสรีภาพทางศาสนาเข้าถึงชาวบ้านแล้ว ปัจจุบันนี้สถานการณ์ดีขึ้น แม้ว่าไม่ ส่งเสริมแต่ก็ไม่มีการห้ามอย่างรุนแรงเช่นในอดีต ผลจากการสำรวจการทำละหมาดของชาวบ้านพบว่า ผู้ที่สามารถเดินทางไปละหมาดที่มัสยิดได้วันละ 5 เวลานั้นส่วนมากจะผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ส่วนชาวบ้านที่มีอายุอยู่ระหว่าง 30 – 49 นั้น เน้นละหมาดญุมอะฮ์และการละหมาดในเทศกาลสำคัญ นักวิชาการชาวหุย Ma Zongbao ได้ สรุปความเห็นสถานการณ์ทางด้านศาสนาของชาวบ้านว่า การประกอบศาสนกิจของชาว Danjiaji มี ความแตกต่างระหว่างวัย อิหม่านจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามอายุ และจำนวนเวลาในการทำละหมาดนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะการทำงาน คนวัยหนุ่มมีจำนวนของการละหมาดน้อยนั้นเป็นเพราะความรีบเร่งในการทำงาน ในภาพรวมจึงทำให้เห็นว่าอิหม่านของชาวหุยนั้นมีแนวโน้มที่จะลดลง


มัสยิด Beidasi ซึ่งเป็นมัสยิดหนึ่งในสี่แห่งของหมู่บ้าน Danjiaji

ปัจจุบัน ชาวบ้านในหมู่บ้านส่วนน้อยที่จะมีพื้นที่เพาะปลูก ส่วนมากจึงหันมาเลี้ยงสัตว์ต่างๆ เช่นส่วนมากเลี้ยงวัวและแกะ ในหมู่บ้านจะมีตลาดนัด ‘กระบือ’ โดยจัดขึ้นทุกวันคู่ของปฏิทินทางจันทรคติ เมื่อถึงวันดังกล่าวชาวบ้านต่างก็จะมาตกลงซื้อขายวัวกัน ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านกล่าวว่า “ตลาดนัดครั้งหนึ่งนั้นโดยเฉลี่ยแล้วมีการตกลงซื้อขายวัวกันประมาณ 400 ตัว เฉลี่ยตัวละ 7,000 หยวน”

ตลาดนัด ‘กระบือ’ ของหมู่บ้าน จึงเป็นตลาดนัดระดับหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ปัจจุบันโรงเชือดในหมู่บ้านนั้นส่วนมากเน้นชำแหละเป็นเนื้อแช่แข็งและส่งไป จำหน่ายยังมณฑลทางตะวันออกเช่น กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน เป็นต้น ในหมู่บ้านยังมีอุตสาหกรรมขนาดย่อม ที่เน้นผลิตแป้งมันและวุ้นเส้น ในปี 2003 รัฐบาลได้มีโครงการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมระดับตำบลขึ้น ซึ่งศูนย์กลางนั้นอยู่ที่ Danjiaji โดยมีเนื้อที่ 4,000 ตารางเมตร ปัจจุบันมีอุตสาหกรรมแปรรูปมันฝรั่ง 5 ราย และมีผู้ผลิตรายย่อยวุ้นเส้นและแป้งมัน 50 ราย

ภายในหมู่บ้าน Danjiaji มีทั้งโรงเรียนสอนสามัญและศาสนา โรงเรียนสามัญมีประวัติ 80 กว่า ปี ในอดีตชาวบ้านมักจะเพิกเฉยต่อการเรียนภาคสามัญ ทางโรงเรียนจึงจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาอาหรับเพิ่มเติมและโรงเรียนได้เชิญ อิหม่ามในหมู่บ้านเป็นผู้สอน ในอดีตนั้นโรงเรียนสามัญส่วนมากมีเฉพาะนักเรียนผู้ชาย หลังจากการสถาปนาประเทศจีนใหม่แล้ว เริ่มมีนักเรียนหญิงเข้าเรียน จำนวนนักเรียนหญิงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่จีนปฏิรูปการเปิดประเทศใน ปี ค.ศ. 1978 โรงเรียนสอนศาสนา ในหมู่บ้านควบคุมดูแลโดยมัสยิด ผู้ปกครองจะส่งลูกไปร่ำเรียนศาสนาเมื่อเด็กอายุ 7 – 8 ขวบ โดยเน้นเนื้อหาทางด้านศาสนาที่นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อเรียนจบส่วนมากจะติดตามผู้ปกครองเพื่อไปประกอบอาชีพต่างๆ มีจำนวนน้อยที่สนใจศึกษาศาสนาต่อ ถ้ามีผู้ที่สนใจศึกษาต่อ ก็จะได้ร่ำเรียนเนื้อหาทางด้านภาษาอาหรับ (รวมทั้งเปอร์เซีย) และความรู้ทางด้านศาสนาเพิ่มขึ้น ปกติแล้วใช้เวลาในการ เรียนประมาณ 6-8 ปี ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เพราะการศึกษาภาคบังคับของภาคสามัญถูกบังคับใช้ เด็กๆในหมู่บ้านจึงมุ่งศึกษาในโรงเรียนภาคสามัญ โรงเรียนสอนศาสนาแทบจะไม่มีนักเรียนเลย อิหม่ามภายในหมู่บ้านก็ยังคงห่วงความรู้ทางด้านศาสนาของเยาวชน ความสมดุลทางด้านการศึกษาภาคสามัญและศาสนา ยังคงเป็นโจทย์ของหมู่บ้าน Danjiaji

ทุกวันนี้เมื่อเดินเข้าหมู่บ้านดังกล่าวจะรู้สึกถึงความ ‘ศิวิไลซ์’ ร้านค้าประเภทต่างๆ ที่อยู่สองข้างทางเดินกว่า 40 ร้าน สามารถสัมผัสได้ถึงความสะดวกทางด้าน ‘วัตถุ’ ทันที หลายๆ คนกล่าวว่า ความเจริญในหมู่บ้านนั้นสู้ความ เจริญระดับอำเภอได้เลย ทว่าคำถามจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อคุณได้เห็นตัวอย่าง

“เมื่อ ก่อนนะผู้ชายในหมู่บ้านแทบจะไม่มีการสูบบุหรี่หรือดื่มเหล้าเลย เมื่อใครแอบสูบและเห็นอิหม่ามเดินผ่านมาเขาก็จะรีบหลบทันที แต่สมัยนี้เปลี่ยนไป การสูบบุหรี่และดื่มเหล้านั้นถือเป็นเรื่องปกติ แม้จะเห็นอิหม่ามเดินผ่านมาก็เพิกเฉย ไม่สนใจ” นี่คือคำบอกเล่าของตาแปะคนหนึ่งในหมู่บ้าน Danjiaji

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

หนังสือ A Research on living villages of Hui ethnic group โดย Mazongbao

http://blog.sina.com.cn/s/blog_7c2a4ed1010113bj.html

http://www.nxnews.net/zghzw/1/2008-2-23/30001@806.htm 

 http://finance.ifeng.com/roll/20111130/5165052.shtml

 คัดลอกบทความhttps://www.publicpostonline.net

จากhttps://www.publicpostonline.net/8927




ความคิดเห็น