อิสลามว่าอย่างไร?เกี่ยวกับเรื่องหมอดู/ทำไมคนมุสลิมต้องละหมาด/ทำไมอิสลามห้ามดอกเบี้ย


อิสลามว่าอย่างไร?เกี่ยวกับเรื่องหมอดู/ทำไมคนมุสลิมต้องละหมาด/ทำไมอิสลามห้ามดอกเบี้ย



อิสลามว่าอย่างไร?เกี่ยวกับเรื่องหมอดู





บทความนี้ ได้มาจาก blog  ของคุณผู้ใช้นามว่า 

ค.โคกทรายhttp://www.oknation.net/blog/SeksantS
เป็นบทความที่ให้ความรู้กับผู้ที่เป็นมุสลิมที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับหมอดูและก็เป็นเกล็ดความร้สำหรับบุคคลทั่วไปได้เป็นอย่างดีต้องขอขอบคุณบทความที่ดีมีสาระของคะณ ค.โคกทราย มา   ณ ที่นี้ด้วย

          ได้ดวงของผู้นำและบ้านเมือง อันที่จริงเรื่องหมอดูก็เป็นเรื่องราวที่มีแต่ครั้งโบราณกาล ยามรู้สึกว่าบ้านเมืองมีปัญหาชนชั้นปกครองก็จะเรียกโหรเข้ามาพยากรณ์เหตุการณ์บ้านเมืองโดยใช้หลักวิชาด้านโหราศาสตร์ จนมาถึงในทุกระดับชนชั้น ยามมีปัญหาเขาจะไปหาหมอดูเพื่อที่จะทำนายทายทักว่าเขาจะมีชะตาชีวิตเป็นอย่างไร เพื่อให้เขาได้รู้ล่วงหน้าและหาทางปัดเป่าปัญหาที่จะเกิดขึ้นให้ผ่านพ้นไปด้วยดี  นับเป็นผลทางจิตวิทยาในการสร้างกำลังใจ ในสภาพแห่งความไม่แน่นอนของชีวิต ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหมอดูมากเหลือเกินในช่วงนี้ โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับ

   จากตรงนี้ผมไม่ได้ลบหลู่ในความเชื่อที่แต่ละคนมี แต่ผมอยากจะนำเสนอความเชื่ออีกความเชื่อหนึ่งที่กล่าวถึงเรืองการดูหมอ นั่นคือทรรศนะของอิสลาม ซึ่งในที่นี้จะยกข้อมูลหลักจากสองแหล่งคือคัมภีร์อัลกุรอ่านและอัลฮาดิษ(พระวจนะของศาสดามูฮัม
หมัด)
 ในสังคมอาหรับซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของท่านศาสดามูฮัมหมัด ได้มีคนจำพวกหมอดูที่แสร้งทำเป็นรู้ว่าเหตุการณ์ในอนาคตโดยติดต่อกับบรรดาสิ่งลึกลับ ท่านได้อ่านโองการจากอัลกุรอ่านให้คนเหล่านี้ฟังว่า
“จงกล่าวเถิด ไม่มีผู้ใดในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน รู้ในสิ่งพ้นญานวิสัยนอกจากอัลเลาะฮฺ”(กุรอาน 27:65)
และท่านศาสดาได้ประกาศเกี่ยวกับตัวท่านเองว่า
“…และมาตรว่าฉันรู้ในสิ่งพ้นญานวิสัย แน่นอน ฉันคงได้มีสิ่งดีมากมาย และความชั่วใดๆ จะไม่ระคายฉัน ฉันไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเป็นผู้ตักเตือนและแจ้งข่าวดีแก่ชนผู้ศรัทธา”(กุรอ่าน 7:188)
อิสลามถือว่าการเชื่อบรรดาหมอดูเป็นการปฏิเสธศาสนาอิสลาม
การต่อสู้ของอิสลามเพื่อกำจัดการเชื่อโชคลางและดูหมอ ไม่ใช่เฉพาะคนที่เป็นหมอดูเท่านั้นแต่รวมถึงคนที่ไปหาคนพวกนี้ด้วย
ท่านศาสดากล่าวว่า
“การนมาซ(นมัสการ)ของผู้ที่ไปหาหมอเวทมนต์เพื่อขออะไรบางอย่างและเชื่อในสิ่งที่หมอเวทมนต์บอกจะไม่ถูกรับเป็นเวลา 40 วัน (รายงานโดยมุสลิม)
“ใครก็ตามที่ไปหาหมอดู ผู้ที่ใช้เวทมนต์คาถาหรือผู้ที่ให้โชคลางเพื่อขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดและเชื่อคนเหล่านั้นพูดก็เท่ากับว่าคนผู้นั้นปฏิเสธสิ่งที่ถูกประทานมาให้แก่มูฮัมหมัด”(รายงานโดย บัซซาร และอบูยะอฺลา)

  อิพระองค์ การปฎิบัติตามแบบอย่างของศาสดา ให้ช่วยกันช่วยเหลือกันเรืองความดีและยับยั้งความชั่ว หลีกเลี่ยงจากสิ่งไร้สาระทั้งมวล สลามสอนให้ปฏิบัติตามทางนำที่พระผู้เป็นเจ้าให้มา ในเรื่องการให้เอกภาพต่อ
และเชื่อมั่นในเรื่องผลการปฏิบัติดี ชั่วในโลกนี้ และรับผลการปฏิบัติดี ชั่ว ในโลกนี้ และโลกหน้า





ทำไมคนมุสลิมต้องละหมาด
           
ถ้าคุณรักผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วคุณเข้าไปหาเขาวันละ 5 ครั้ง เขาจะไม่ตอบรักคุณเหรอ ?ฉันใดฉันนั้น นัยของการละหมาดคือการที่มนุษย์ติดต่อเชื่อมโยงกับพระเจ้าของเขา ในอิสลามกำหนดให้มุสลิมละหมาดวันละ 5 เวลา การปฏิบัติละหมาดเสมือนการแสดงความรักต่อพระเจ้า ยิ่งมุสลิมรักพระเจ้าของเขามากแค่ไหน เขาก็ย่อมต้องการให้พระองค์ทรงโปรดปรานมากขึ้นเท่านั้น และมุสลิมจะทำทุกอย่างที่พระองค์พอใจ             และออกห่างทุกอย่างที่พระองค์ทรงห้าม  การละหมาดก็เหมือนกับการที่มุสลิมเข้าไปย้ำพันธสัญญากับพระเจ้า ในรอบวันมุสลิมจะรู้ดีว่าเขาต้องรำลึกถึงพระเจ้า เข้าไปพบกับพระเจ้าอย่างน้อย 5 ครั้ง มุสลิมที่ตระหนักถึงเรื่องนี้ก็จะมุ่งทำแต่ความดีไม่กล้าทำความชั่วตลอดทั้งวัน
           
ที่มาของข้อมูล : หนังสือ "อิสลาม กับคำถามที่ต้องตอบ"               ข้อมูลเพิ่มเติม  : http://www.piwdee.net/lamat.htm                                         การละหมาด (วิกิพีเดีย)  




   ได้อะไรจากการละหมาดของคนมุสลิม
ฮิกมะฮ์ของการละหมาด Posted by Sulaiman_Bin_Lasem

          เคล็ดลับหรือฮิกมะฮ์ของการละหมาดมีมากมายหลายประการ ซึ่งสรุปได้ดังนี้ : 1.เป็นการเตือนให้มนุษย์รู้จักตนเองว่าเป็นบ่าวของอัลเลาะฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรเพื่อระลึกไว้ตลอดไป โดยที่กิจการงานในทางโลกและความสัมพันธ์กับผุ้อื่นอาจทำให้มนุษย์หลงลืมตนเอง แต่เมื่อถึงเวลาละหมาดมันจะทำให้เขานึกขึ้นได้อีกครั้งหนึ่งว่าตนเป็นบ่าวของอัลเลาะฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร
         2.เพื่อให้ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของมนุษย์ว่า ไม่มีผู้ที่จะให้ความช่วยเหลือและให้ความสุขที่แท้จริงนอกจากอัลเลาะฮ์ ผู้ทรงเกรียงไกรเท่านั้น แม้เขาจะพบเห็นในโลกนี้ว่ามีสื่อและสาเหตุมากมายที่ดูเพียงผิวเผินแล้ว ช่วยเหลือและให้ความสุข แต่แท้ที่จริงแล้วอัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ให้สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องอำนวยความสะดวกสบายแก่มนุษย์เท่านั้น ทุกครั้งที่มนุษย์หลงลืมและปล่อยตัวไปกับสื่อต่าง ๆ ที่เป็นเพียงผิวเผิน การละหมาดจะเป็นสิ่งคอยเตือนเขาว่าที่แท้จริงนั้นมาจากอัลเลาะฮ์ตะอาลาเพียงองค์เดียว พระองค์ทรงช่วยเหลือ ทรงให้ความสุข ทรงให้โทษ ทรงให้คุณ ทรงให้เป็น และทรงให้ตาย

          3.มนุษย์จะได้ใช้ละหมาดเป็นช่วงเวลาของการสำนึกผิด จากความผิดต่าง ๆ ที่เขาได้ก่อขึ้นเนื่องจากในช่วงวันหนึ่งกับคืนหนึ่งนั้น มนุษย์ต้องเผชิญกับบาปและความผิดต่าง ๆ มากมาย ทังที่เขารู้ตัวและอาจไม่รู้ตัว ดังนั้นการละหมาดระหว่างเวลาหนึ่ง จะช่วยขัดเกลาเขาให้สะอาดบริสุทธิ์จากบาปและความผิดต่าง ๆ ได้ ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวอธิบายเรื่องดังกล่าวไว้ในฮะดิษซึ่งรายงานโดยมุสลิม (668) จากท่านญาบิร บุตร อับดิ้ลลาห์ ได้กล่าวว่า "เปรียบละหมาดห้าเวลาเหมือนแม่น้ำที่มีน้ำมากไหลผ่านประตูบ้านคนใดคนหนึ่งในพวกท่าน โดยที่เขาอาบน้ำจากแม่นั้นทุกวัน ๆ ละห้าครั้ง" ญาบิรได้กล่าวว่า "ฮะซันได้กล่าวว่า : การกระทำดังกล่าวจะทำให้มีสิ่งสกปรกใดเหลืออยู่อีกไหม?" (หมายความว่า "สิ่งสกปรก" ในที่นี้หมายถึงบาปต่าง ๆ ซึ่งตามรายงานของอะบีฮุรอยเราะฮ์ (ร.ด.) ที่มุสลิม (667) ได้บ่างชี้เช่นนั้น คือ "นั่นก็เหมือนกับละหมาดหน้าเวลาที่อัลเลาะฮ์จะทรงใช้มันลบล้างบาปต่าง ๆ"

           4.ละหมาดเป็นเสมือนอาหารที่หล่อเลี้ยงหลักศรัทธา (อะกีดะฮ์) ที่อยู่ในจิตใจ ความเพลิดเพลินในดุนยาและการลวงล่อของชัยตอน จะทำให้มนุษย์หลงลืมหลักอะกีดะฮ์นี้ ถึงแม้จะถูกปลูกฝังอยู่ในจิตใจแล้วก็ตาม และเมื่อมนุษย์ตกอยู่ในความหลงลืม ในลักษณะเช่นนี้อย่างต่อเนื่องด้วยเหตุที่จมปลักอยู่ในอารมณ์ใฝ่ต่ำ และเพื่อนฝูงที่เลวคอยชัดนำ ความหลงลืมนี้จะเปลี่ยนเป็นการปฏิเสธและไม่ยอมรับเหมือนต้นไม้ที่ขาดน้ำล่อเลี้ยงก็จะเหี่ยวเฉาและตายไปในที่สุด และในไม่ช้าต้นไม้นั้นก็จะกลายเป็นฟืนที่ไร้ค่า แต่มุสลิมที่ยืนหยัดปฏิบัติละหมาดอย่างสม่ำเสมอ ละหมาดนั้นก็จะเป็นอาหารคอยหล่อเลี้ยงความมีศรัทธาของเขาให้สดชื่นและงอกงาม ความเพลิดเพลินในดุนยาไม่อาจทำให้ศรัทธาของเขาอ่อนแอและตายได้ (อัลฟิกห์ 1/88-89)


อ้างอิงข้อมูลจาก http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=2489.30 คำสำคัญ : พลังแห่งการศรัทธา


ทำไมอิสลามห้ามดอกเบี้ย

หลายคนเข้าใจคิดผิดว่าอิสลามกับดอกเบี้ยเป็นของคู่กัน ไม่ว่าใครจำภาพ "ชายอินเดียชุดขาวโพกหัวพูดไทยไม่ชัดคอยไล่ขูดดอกเบี้ยชาวบ้าน" มาจากการ์ตูนขายหัวเราะ หรือเกมโชว์ในทีวี หรือจำมาจากตลกคาเฟ่ ขอให้ลองๆ ลืมไปก่อนนะครับ เพราะสิ่งที่ท่านจะได้อ่านในย่อหน้าต่อไป มันค่อนข้างจะขัดกับภาพลักษณ์เหล่านั้นมากทีเดียว (ใครที่เคยเข้าใจแบบนั้นผมก็จะไม่โกรธหรอกครับ)
"ผู้ใดที่กินดอกเบี้ย ถือว่าผู้นั้นได้ประกาศสงครามกับพระเจ้าของเขาแล้ว" นี่เป็นธรรมนูญของอิสลามครับ อิสลามถือว่าการกินดอกเบี้ยเป็นความผิด เป็นบาปขั้นสูงทีเดียวครับ ถึงได้เปรียบเทียบผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้เสมอกับว่าเขาประกาศสงครามกับพระผู้เป็นเจ้าของเขาเลยทีเดียว
เหตุผล ? ผู้ที่กู้ ผู้ที่หยิบยืมคนอื่น ในทัศนะอิสลามถือว่าเขาเป็นคนเดือดร้อนครับ และการหากำไรจากผู้เดือดร้อนจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าทรงสร้างให้มีคนรวยและคนจนเพื่อที่จะหวังว่าพวกเขาจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน อิสลามสนับสนุนให้มคนมั่งมีหยิบยื่นให้คนขัดสนโดยปราศจากการหวังิส่งตอบแทน (ดอกเบี้ย) มิหนำซ้ำอิสลามยังส่งเสริมให้เจ้าหนี้ยกหนี้ให้กับลูกหนี้อีกด้วย ถ้าลูกหนี้มีความสามารถ ทั้งนี้ถือเป็นการเชื่อมโยงสัมพันธ์กันระหว่างผู้คน เป็นการเชื่อมสังคมให้สมัครสมานเป็นเนื้อเดียวกัน
ในโลกแห่งความเป็นจริง การเปิดโอกาสให้หยิบยืมเงินกันโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนอาจเป็นเรื่องยาก อาจจะมีคนรวยน้อยคนที่จะใจบุญเช่นนั้น แต่ก็ใช่ว่าระบบไร้ดอกเบี้ยจะเป็นเพียงวิมานในอากาศนะครับ ยังมีระบบการกู้ยืมแบบไร้ดอกเบี้ยที่ใช้งานได้จริง และกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก นั่นคือ "ระบบธนาคารอิสลาม"

ที่มาของข้อมูล : หนังสือ "อิสลาม กับคำถามที่ต้อง ตอบ"  


ดอกเบี้ย 
                 มีบทบัญญัติเกี่ยวกับทรัพย์สินครอบคลุมสามด้าน คือ ความยุติธรรม ความเพิ่มพูน และความอธรรม ที่ยุติธรรมก็คือการซื้อขาย ที่เพิ่มพูนก็คือการบริจาค ส่วนที่อธรรมก็คือ ริบา (ดอกเบี้ย) เป็นต้น
ดอกเบี้ย หรือ อัร-ริบา คือการเกินเลยในการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างสิ่งสองสิ่งที่มีสาเหตุริบาอยู่ ในตัวของมัน
หุก่ม(บทบัญญัติ)เกี่ยวกับดอกเบี้ย
1. ดอกเบี้ย ถือเป็นบาปใหญ่ประเภทหนึ่ง และมันเป็นสิ่งที่ต้องห้ามในทุกศาสนาที่เป็นศาสนาแห่งฟากฟ้า(ศาสนาที่มี คัมภีร์จากพระผู้เป็นเจ้าซึ่งรวมศาสนายูดายของยิว ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม) เนื่องจากมันแฝงไปด้วยความเสียหายที่ใหญ่หลวง มันเป็นต้นเหตุของการเป็นศัตรูกันระหว่างมนุษย์ มันนำไปสู่การงอกเงยของทรัพย์สินผ่านการขูดรีดจากทรัพย์สินของคนจน มันเป็นการอธรรมต่อผู้ที่มีความจำเป็น ทำให้คนรวยกดขี่คนยากจน ปิดหนทางการบริจาคและการทำดีต่อผู้อื่น และทำลายความรู้สึกเมตตาสงสารต่อเพื่อนมนุษย์ อัลลอฮฺตะอาลาตรัสว่า
"และอัลลอฮฺทรงอนุมัติการซื้อขาย และทรงห้ามริบา(ดอกเบี้ย) ดังนั้นผู้ใดที่การตักเตือนจากพระเจ้าของเขาได้มายังเขา แล้วเขาก็เลิก(จากสิ่งที่ถูกห้าม) สิ่งที่ล่วงแล้วมาก็เป็นสิทธิของเขา(ไม่ต้องคืนหรือชดใช้) และเรื่องราวของเขานั้นมอบให้เป็นภาระของอัลลอฮฺ(ที่จะทรงพิจารณาเขา) และผู้ใดวกกลับไป (กระทำ)อีก ชนเหล่านี้แหละคือชาวนรกโดยที่พวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล" (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 275)
 
2. ดอกเบี้ย เป็นการกินทรัพย์สินของเพื่อนมนุษย์โดยมิชอบ ทำให้การหารายได้ การทำธุรกิจ และการผลิตที่มนุษย์มีความต้องการเกิดการชะงักงัน ผู้ที่รับดอกเบี้ยทรัพย์ของเขาเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ทำให้เขาละทิ้งการทำธุรกิจ และการทำประโยชน์ที่มนุษย์จะได้ประโยชน์จากมัน จุดจบของผู้ที่ยุ่งเกี่ยวกับริบาทุกคนคือความถดถอยของทรัพย์สินเงินทอง
บทลงโทษเกี่ยวกับดอกเบี้ย
ริบาเป็นบาป ใหญ่ และแท้จริงแล้วอัลลอฮฺได้ประกาศสงครามกับผู้ที่กินและผู้ที่ให้ริบา ซึ่งต่างจากบาปอื่นๆ
1. อัลลอฮฺตรัสว่า
"บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! พึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงละเว้นดอกเบี้ยที่ยังเหลืออยู่เสียหากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา และ ถ้าพวกเจ้ามิได้ปฏิบัติตาม ก็พึงรับรู้ถึงสงครามจากอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์(หมายถึงอัลลอฮฺและศาสนทูตประกาศเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ย) และหากพวกเจ้าสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวแล้ว สำหรับพวกเจ้าก็คือต้นทุนแห่งทรัพย์ของพวกเจ้า โดยที่พวกเจ้าจะได้ไม่อธรรม และไม่ถูกอธรรม” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 278-279) 
 
2. รายงานจากท่าน ญาบิร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า

"ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ประณามผู้ที่กินริบา ผู้ให้กิน ผู้บันทึก และผู้เป็นพยานทั้งสองคน และท่านกล่าวว่า พวกเขาอยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกัน(ในบาป)" (บันทึกโดย มุสลิม 1598)
 
3. รายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ จากท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

“พวกท่านจงออกห่างจากสิ่งที่ทำให้หายนะ (บาปใหญ่) เจ็ดอย่าง” พวกเขา(บรรดาเศาะหาบะฮฺ)ได้ถามว่า “โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ มันคืออะไรบ้าง?” ท่านจึงกล่าวว่า “(มันคือ) การตั้งภาคีกับอัลลอฮฺ การใช้เวทมนต์ไสยศาสตร์ การฆ่าชีวิตหนึ่งที่พระองค์ทรงห้ามเว้นแต่ด้วยความชอบธรรม การกินริบา(ดอกเบี้ย) การกินทรัพย์สินของเด็กกำพร้า การถอยหนีในวันแห่งการเผชิญหน้ากับศัตรู และการใส่ความหญิงหนึ่งที่ดีที่เป็นผู้มีศรัทธาและบริสุทธิ์” (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หมายเลข 2766 และสำนวนรายงานนี้เป็นของท่าน และมุสลิม หมายเลข 89)




 
ประเภทของดอกเบี้ย
1.ริบา นะสีอะฮฺ
ริบา นะสีอะฮฺ คือการเพิ่มที่ผู้ขายรับจากผู้ซื้อเป็นสิ่งทดแทนการยืดเวลา(ชำระ) เช่น เขาให้เงินไปหนึ่งพันบาทเป็นเงินสด โดยที่อีกฝ่ายต้องคืนให้หลังจากหนึ่งปีเป็นเงินหนึ่งพันสองร้อยบาทเป็นต้น หรือการผันหนี้แก่ผู้ขัดสน ในลักษณะที่ว่าเขามีทรัพย์ที่ค้างชำระเหนือบุคคลหนึ่ง เมื่อถึงเวลาชำระเขาก็จะกล่าวแก่บุคคลนั้นว่า “ท่านต้องการชำระทันที หรือต้องการเพิ่มดอกเบี้ย(โดยที่ยังไม่ต้องชำระ)" ถ้าหากอีกฝ่ายพอใจจะชำระก็ชำระ หรือไม่เขาก็จะเพิ่มเวลาให้ โดยมีการเพิ่มทรัพย์(หนี้)ขึ้นด้วย ทำให้จำนวนทรัพย์ที่ต้องชำระเหนือลูกหนี้ผู้นั้นมีมากขึ้น เฃ่นนี้คือรากฐานของ ริบาหรือดอกเบี้ยในสมัยญาฮิลิยะฮฺ ที่อัลลอฮฺได้ทรงห้ามไว้และกำหนดให้มีการยืดเวลาแก่ผู้ขัดสน(โดยไม่มีการ เพิ่ม) ซึ่งริบาประเภทนี้เป็นริบาที่อันตรายที่สุด เพราะมีผลเสียมากมาย โดยที่มันได้รวบรวมทุกประเภทไว้ในตัวมัน คือ นะสีอะฮฺ ริบาฟัฎล์ (ดอกเบี้ยส่วนต่าง) และ ริบาเงินกู้

1.1 อัลลอฮฺตรัสว่า
“โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงอย่ากินดอกเบี้ยหลายเท่าที่ถูกทบทวี และพวกเจ้าพึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ” (อาล อิมรอน 130)
 
1.2 อัลลอฮฺตรัสว่า

“และหากเขา (ลูกหนี้) เป็นผู้ยากไร้ก็จงให้มีการรอคอย(ให้ผ่อนผัน) จนกว่าจะถึงคราวสะดวก และการที่พวกเจ้าจะให้เป็นทานนั้น ย่อมเป็นการดีแก่พวกเจ้า หากพวกเจ้ารู้” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 280)
 
หรือการซื้อ ขายแลกเปลี่ยนทรัพย์ในประเภทของริบาฟัฎล์ (ดูความความหมายในหัวข้อถัดไป) กันทั้งสองฝ่าย โดยมีการล่าช้าในการส่งมอบของทั้งสองฝ่าย หรือเพียงฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เช่น ซื้อขายทองกับทอง ข้าวสาลีกับข้าวสาลี (โดยไม่รับมอบทันที) เป็นต้น หรือขายประเภทหนึ่งกับอีกประเภทหนึ่งจากประเภทเหล่านี้โดยมีการค้างชำระ (เช่น ขายทองด้วยเงินโดยไม่มีการส่งมอบกันทันที หรือข้าวสาลีกับข้าวบาร์เลย์โดยไม่มีการส่งมอบให้แก่กันทันที แม้จะไม่มีการเพิ่มราคาจากเดิมกันก็ตาม)

2.ริบาฟัฎล์
ริบาฟัฎล์ คือการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินกับเงิน หรืออาหารกับอาหารโดยมีการเพิ่ม(เป็นส่วนต่าง เช่น นำข้าวชนิดหนึ่งจำนวนหนึ่งลิตรมาแลกกับข้าวชนิดอื่นจำนวนหนึ่งลิตรครึ่ง เป็นต้น) ซึ่งถือเป็นสิ่งหะรอม ศาสนาได้มีหลักฐานอย่างชัดเจนถึงการห้ามริบานี้ในสิ่งหกประเภท ดังที่รอซูลุลลอฮฺได้กล่าวว่า
“ทองคำแลกทองคำ เงินแลกเงิน ข้าวสาลีแลกข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์แลกข้าวบาร์เลย์ ผลอินทผลัมแลกผลอินทผลัม และเกลือแลกเกลือ ปริมาณต้องเท่ากัน ส่งมอบกันทันทีมือต่อมือ ดังนั้นหากสิ่งเหล่านี้ต่างประเภทกัน พวกท่านจงซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ตามต้องการตราบใดที่มีการส่งมอบมือต่อมือ” (บันทึกโดยมุสลิม 1587)
 
สิ่งที่อยู่ในขอบข่ายริบาฟัฎล์
       
    •        
    • ให้เทียบ เคียง(กิยาส)ทุกๆ สิ่งที่มีสาเหตุแห่งริบา(อิลละฮฺ)เหมือนกันกับสิ่งหกประเภทดังกล่าวข้างต้น นั่นคือ อิลละฮฺ(สาเหตุการเป็นริบา)ของทองและเงินก็คือการเป็นเงินตรา และอิลละฮฺในสี่ประเภทที่เหลือก็คือ การเป็นสิ่งที่ใช้ตวงและเป็นอาหาร หรือการชั่งและเป็นอาหาร
    •        
    • เครื่องตวงให้ถือเครื่องตวงชาวมะดีนะฮฺเป็นเกณฑ์ ส่วนเครื่องชั่งก็ให้ยึดเครื่องชั่งของชาวมักกะฮฺ ส่วนสิ่งที่ไม่มีทั้งสองที่(ไม่ได้ใช้การชั่งหรือตวง)ก็ให้ยึดธรรมเนียม ปฏิบัติ และทุกๆ สิ่งที่มีการห้ามริบาฟัฎล์ก็ถือว่าห้ามริบานะสีอะฮฺเช่นกัน
  •      
3.ดอกเบี้ยเงินกู้
   ริบาเงินกู้ ลักษณะของมันก็คือ การที่บุคคลหนึ่งทำการให้กู้ยืมสิ่งใดสิ่งหนึ่งแก่ผู้อื่น แล้ววางเงื่อนไขแก่เขาว่าต้องจ่ายคืนมากกว่าที่กู้ไป หรือเขาต้องให้ประโยชน์หนึ่งประโยชน์ใด เช่นให้เขาได้อยู่อาศัยในบ้านของผู้กู้หนึ่งเดือนเป็นต้น ซึ่งริบานี้ถือว่าต้องห้าม แต่ถ้าหากเขาไม่ได้วางเงื่อนไขไว้แล้วผู้กู้ได้ให้ประโยชน์หรือจ่ายสิ่งที่ ดีกว่าด้วย(ความสมัครใจ)ตัวเองถือว่าเป็นสิ่งที่อนุญาตและได้ผลบุญ


หุก่มของริบาฟัฎล์              
    • เมื่อใด ที่การซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างสิ่งที่เป็นประเภทเดียวกันและมีสาเหตุของริ บาในตัวมันถือว่าการเกินเลยกัน (การแลกด้วยจำนวนที่ไม่เท่ากัน) และการไม่ส่งมอบกันทันทีถือเป็นสิ่งที่หะรอม เช่นการซื้อขายทองกับทอง ข้าวสาลีกับข้าวสาลี เป็นต้น การซื้อขายแบบนี้มีเงื่อนไขที่จะทำให้มันถูกต้อง (ตามหลักศาสนา) คือจะต้องเท่ากันในจำนวน และมีการส่งมอบกันในทันที เพราะเป็นสิ่งที่มีประเภทและสาเหตุของริบาอย่างเดียวกัน
    •            
    • เมื่อใดที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างสิ่งของสองประเภทที่มี สาเหตุของริบาฟัฎล์อย่างเดียวกันแต่ต่างประเภทกันถือว่าการไม่ส่งมอบกัน ทันทีเป็นที่ต้องห้าม ส่วนการเกินเลยกัน(การแลกด้วยจำนวนไม่เท่ากัน)เป็นสิ่งที่อนุญาต เช่นซื้อขายทองกับเงิน หรือข้าวสาลีกับข้าวบาร์เลย์ เป็นต้น ถือว่าอนุญาตให้มีการเกินเลยกัน (เช่น แลกข้าวสาลี 1 กิโลกรัม แลกกับข้าวบาเลย์ 2 กิโลกรัม) เมื่อใดที่มีการรับกันทันทีมือต่อมือ(ไม่มีการค้างกัน) เพราะทั้งสองสิ่งต่างประเภทกันแต่มีสาเหตุริบาอันเดียวกัน (คือเป็นเงินตราหรืออาหาร)
    •            
    • เมื่อใดที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างสิ่งของสองประเภทที่มี สาเหตุของริบาแตกต่างกันถือว่าอนุญาตให้มีการเกินเลยกันและค้างชำระกัน เช่น ซื้ออาหารด้วยเงิน หรือ อาหารด้วยทองคำ เป็นต้น ถือว่าอนุญาตให้มีการเกินเลยกัน (เช่นข้าว 1กระสอบแลกกับเงิน 300 บาท) และอนุญาตให้มีการล่าช้าในการส่งมอบกัน (ส่งมอบข้าวสารวันนี้ แต่เงินจ่ายพรุ่งนี้หรือเดือนหน้า) เพราะสิ่งแลกเปลี่ยนทั้งสองต่างประเภทกันและมีสาเหตุแห่งริบาต่างกันด้วย
    •            
    • เมื่อใดที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างสิ่งของสองประเภทที่ไม่มี สาเหตุของริบาอยู่ในทรัพย์ทั้งสอง ถือว่าอนุญาตให้มีการเกินเลยกันและค้างชำระกัน เช่น ซื้อขายอูฐหนึ่งตัวแลกกับอูฐสองตัว หรือ เสื้อหนึ่งตัวแลกกับเสื้อสองตัว เป็นต้น ถือว่าอนุญาตให้มีการเกินเลยกันและค้างชำระกันได้ ไม่อนุญาตให้ทำการซื้อขายของประเภทเดียวกันแต่ต่างชนิด นอกจากจะต้องมีคุณลักษณะที่เหมือนกัน ดังนั้นจึงห้ามซื้อขายผลอินทผลัมสดแลกกับผลอินทผลัมแห้ง (เป็นอินทผลัมเหมือนกันแต่ต่างชนิด อันหนึ่งสด อันหนึ่งแห้ง) เพราะของสดเมื่อแห้งลงจะมีจำนวนลดลงทำให้เกิดส่วนต่างกัน(ริบาฟัฎล์)ที่ถือ ว่าต้องห้าม
    •      
    • หุก่มการซื้อขาย
       
หุก่มการซื้อขายทองรูปพรรณ
       
ไม่อนุญาตให้ มีการซื้อขาย(แลกเปลี่ยน)เครื่องประดับเงินหรือทองกับสิ่งที่เป็นประเภท เดียวกันโดยมีการเกินเลยกัน (เช่น ไม่นำทองรูปพรรณชิ้นหนึ่งไปแลกด้วยทองรูปพรรณอีกชิ้น โดยที่ทั้งสองชิ้นไม่เท่ากัน) เพราะลักษณะของการผลิตสิ่งของแต่ละอันต่างกัน แต่ทางออกก็คือให้ขายของตนชิ้นนั้นด้วยเงินก่อนแล้ว แล้วเอาเงินนั้นไปซื้อเครื่องประดับ(ของอีกฝ่าย)



หุก่มการซื้อขายสัตว์
                               
    • ไม่ถือ ว่ามีสาเหตุแห่งริบาในการซื้อขายสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่นเดียวกับสิ่งที่ซื้อขายกันด้วยจำนวน ดังนั้นจึงอนุญาตให้ซื้อขายอูฐหนึ่งตัวแลกอูฐสองหรือสามตัว แต่เมื่อใดที่มันกลายเป็นสิ่งที่ชั่งตวง (กลายเป็นเนื้อ) ก็จะมีเหตุแห่งริบา จึงห้ามซื้อขายเนื้อแพะหนึ่งกิโลกรัมแลกเนื้อแพะสองกิโลกรัม แต่อนุญาตให้ซื้อขายแลกเปลี่ยนเนื้อแพะหนึ่งกิโลกรัมกับเนื้อวัวสองกิโลกรัม เพราะต่างประเภทกันเมื่อใดที่มีการส่งมอบกันทันที (โดยไม่มีการค้างชำระ)
    •                
    • อนุญาตให้ซื้อทองเพื่อสะสมหรือเพื่อหวังกำไร เช่นซื้อทองมาขณะที่ราคาของมันยังต่ำ แล้วขายไปเมื่อราคามันเพิ่มขึ้น
    •                    
หุ่กมการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราและธนบัตรต่างๆ
           
การแลกเงิน คือการซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งที่เป็นเงินตรากับเงินตราไม่ว่าจะเป็นชนิดเดียว กันหรือต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ทำจากทองหรือแร่เงิน หรือธนบัตรที่มีการใช้กันในปัจจุบันก็มีหุก่มเดียวกับทองคำและเงิน เพราะเป็นเงินตรา(เป็นมูลค่า)เหมือนกัน
           
                   
    •                    
    • เมื่อมี การซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งที่เป็นเงินตราชนิดเดียวกัน เช่นทองคำแลกทองคำ หรือธนบัตรชนิดเดียวกัน เช่น เงินริยาลแลกกับเงินริยาล (หรือเงินบาทแลกเงินบาท) ไม่ว่าจะเป็นเหรียญหรือธนบัตรจำเป็นจะต้องให้เท่ากันในเรื่องของจำนวน(20 บาทที่เป็นธนบัตร ต้องด้วยแลก 20 บาทที่เป็นเหรียญ) และต้องมีการรับกันทันทีระหว่างทั้งสองฝ่ายในที่ที่ตกลงซื้อขาย
    •                    
    • เมื่อมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งที่เป็นเงินตรากับเงินตราแต่ต่าง ชนิดกัน เช่น ทองคำแลกเงิน หรือ เงินริยาลของซาอุดิอารเบียแลกกับเงินดอลลาร์ของอเมริกา ถือว่าอนุญาตให้มีการเกินเลยกันเรื่องของจำนวน แต่วาญิบที่จะต้องมีการส่งมอบและรับกันทันทีระหว่างทั้งสองฝ่ายในที่ที่ตกลง ซื้อขาย
    •                    
    • เมื่อผู้ทำการแลกเปลี่ยนทั้งสองคนแยกย้ายกันก่อนที่จะมีการส่งมอบ จำนวนของทั้งหมดหรือบางส่วน (หุก่มก็คือ)ส่วนที่ใช้ได้ก็คือเฉพาะจำนวนที่ได้มีการรับกันไปแล้วในที่ตกลง เท่านั้น ส่วนที่เหลือที่ยังไม่มีการส่งมอบและรับกันไปถือว่าเป็นโมฆะ ตัวอย่างเช่น ฝ่ายหนึ่งได้ให้เงินสกุลดีนาร์ไปหนึ่งดีนาร์เพื่อแลกกับเงินสกุลดิรฮัมจำนวน สิบดิรฮัม แต่ฝ่ายหลังขณะนั้นมีเงินอยู่เพียงห้าดิรฮัมให้ถือว่าการแลกเปลี่ยนนี้ที่ ใช้ได้ก็คือจำนวนครึ่งดีนาร์เท่านั้นส่วนที่เหลือเป็นอะมานะฮฺ(เงินฝาก)ที่ อยู่กับผู้ขายอีกฝ่าย
    •                  
หุก่มการคิดดอกเบี้ยของธนาคาร
               
ผลประโยชน์ที่ ธนาคารในปัจจุบันรับไปจากการกู้ยืมนั้นถือว่าเป็นริบาที่ต้องห้าม และผลประโยชน์ที่ธนาคารมอบให้เพื่อตอบแทนการฝากก็เป็นริบาที่ไม่อนุญาตให้ ผู้ใดใช้ประโยชน์จากมันแต่จะต้องทำให้มันหมดไป
               
หุก่มการฝากเงินไว้กับธนาคารในระบบดอกเบี้ย
                          
    • จำเป็น ที่มุสลิมจะต้องใช้บริการธนาคารอิสลามเมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการฝากหรือโอน เงิน แต่ถ้าหากไม่มีธนาคารอิสลามถือว่าอนุญาตให้ใช้บริการธนาคารอื่นเพราะความจำ เป็นในการฝากแต่จะต้องไม่รับผลประโยชน์(ดอกเบี้ย) และการโอนกับธนาคารอื่นก็เช่นกันตราบใดที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติศาสนา
    •                        
    • ถือว่าเป็นที่ต้องห้ามสำหรับมุสลิมที่จะทำงานกับธนาคารหรือองค์กร ใดๆ ที่มีการรับหรือให้ริบา(ดอกเบี้ย) และค่าตอบแทนที่ได้รับจากแหล่งดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ผิดหลักและเขาจะต้องถูก ลงโทษจากอัลลอฮฺ
    •   
จะทำอย่างไรกับทรัพย์สินที่เป็นดอกเบี้ย
                   
ดอกเบี้ยถือ เป็นบาปใหญ่ เมื่ออัลลอฮฺประทานความเมตตาให้ผู้ทำริบาและเขาได้กลับตัวสู่พระองค์(เตาบัต ) แต่ยังมีทรัพย์ที่เขาได้สะสมมันมาจากการทำริบาเหลืออยู่กับเขาและเขาต้องการ ทำให้มันพ้นไปจากตัวเขา จะมีสองลักษณะดังนี้
                   
                           
    •                            
    • ลักษณะ แรกคือ ริบานั้นยังอยู่ที่บุคคลอื่นเขายังมิได้รับมันมา เขาก็จงรับเฉพาะต้นทุนของเขาและปล่อยส่วนเกินที่เป็นริบาไว้
    •                            
    • ลักษณะที่สองคือทรัพย์ริบาถูกรับมาแล้วอยู่ในมือเขา เขาก็ต้องไม่คืนมันแก่เจ้าของและไม่ใช้ประโยชน์จากมันด้วย เพราะมันเป็นรายได้ที่สกปรก ทางออกก็คือให้เขาบริจาคมันไป หรือใช้มันให้หมดไปกับโครงการสาธารณะประโยชน์ เช่น สร้างเสาไฟให้แสงสว่างแก่ถนน หรือสร้างถนน สร้างห้องน้ำสาธารณะ เป็นต้น
    •                            
    • http://www.kroobannok.com/blog/26549
    •                                                           
                       

ความคิดเห็น