นายแพทย์ดำรงค์ แวอาลี
จิตแพทย์โรงพยาบาลศูนย์ยะลา
อดีตนายกสมาคมจันทร์เสี้ยวการแพทย์และสาธารณสุข
การใช้หลักการศาสนาอิสลาม ทั้งหลักศรัทธาและหลักปฏิบัติ แนวทางคำสอนในคัมภีร์อัลกุรอาน และซุนนะห์ มาเป็นหลักในการเยียวยาจิตใจตนเอง จะทำให้สามารถดูแลจิตใจได้ดี เพราะเป็นสิ่งที่มุสลิมทุกคนมีสิ่งเหล่านี้ในจิตใจอยู่แล้ว ทำให้เข้าถึงจิตใจและจิตวิญญาณได้ดี
๑. การทดสอบจากอัลลอฮ์
เป็นการมองว่าภัย หรือ เหตุการณ์ต่างๆที่มากระทบนั้นเป็นการทดสอบของอัลลอฮ์ต่อบ่าวของพระองค์ บางคนอาจถูกทดสอบในรูปแบบของความสุขสบาย เพื่อดูว่าเขาจะรำลึกถึงความโปรดปรานที่พระองค์ประทานมาให้หรือไม่ เขาจะแบ่งปันให้คนรอบข้างหรือสังคม หรือไม่ ในขณะที่บางคนถูกทดสอบด้วยความทุกข์ ความสูญเสียต่างๆ ดังนั้นถ้าเราถูกทดสอบด้วยความสูญเสีย เราจึงต้องอดทนไม่สิ้นหวังในความเมตตาของพระองค์ เพื่อที่จะผ่านการทดสอบจะยิ่งทำให้ความศรัทธาและสุขภาพทางจิตวิญญาณ หรืออีมานของเราจะเข้มแข็งขึ้น อัลลอฮ์ทรงตรัสไว้ใน ซูเราะ อัล-บากอรอฮ์ (๒:๑๕๕-๑๕๖) ความว่า
“และแน่นอน เราจะทดสอบพวกเจ้าด้วยสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากความกลัว ความหิว และด้วยความสูญเสีย (อย่างใดอย่างหนึ่ง) จากทรัพย์สมบัติ ชีวิต และพืชผล และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ที่อดทนเถิด คือบรรดาผู้ที่เมื่อเคราะห์ร้ายประสบแก่พวกเขาแล้วพวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และแท้จริงเราจะกลับไปยังพระองค์”
๒. การกำหนดของอัลลอฮ์
สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าร้ายหรือดี เป็นสิ่งที่ได้ถูกกำหนดแล้ว สำหรับแต่ละคน ดังนั้นเมื่อเราต้องประสบกับวิกฤตการณ์หรือความทุกข์ ความสูญเสีย ก็ให้ยอมรับว่านั่นเป็นลิขิตที่อัลลอฮ์ได้กำหนดไว้ก่อนที่มนุษย์จะเกิดมาดังที่พระองค์ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์ อัล-ฮาดีด ( ๕๗:๒๒-๒๓ ) ความว่า
“ไม่มีเคราะห์กรรมอันใดเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ และไม่มีแม้แต่ในตัวของพวกเจ้าเอง เว้นแต่ได้มีไว้ในบันทึกก่อนที่เราจะบังเกิดมันขึ้นมา แท้จริงนั่นมันเป็นการง่ายสำหรับอัลลอฮ์ เพื่อพวกเจ้าจะได้ไม่ต้องเสียใจต่อสิ่งที่ได้สูญเสียไปจากพวกเจ้า และไม่ดีใจต่อสิ่งที่พระองค์ทรงประทานแก่พวกเจ้า และอัลลอฮ์มิทรงชอบผู้หยิ่งจองหองและคุยโวโอ้อวด”
ท่านศาสนามูฮำหมัด(ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ยังได้กล่าวไว้ความว่า
“แท้จริงทุกๆคนในหมู่พวกท่านได้ถูกรวบรวมในการสร้างเขาในครรภ์มารดาเป็นเวลา ๔๐ วัน ในรูปของนุฏฟะ หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นเลือดก้อนหนึ่งภายในระยะเวลาเดียวกัน และแล้วมลาอิกะห์ก็ถูกส่งลงมายังเขาเพื่อเป่าวิญญาณ (รูฮ์) และถูกบัญชาให้บันทึก ๔ ประการด้วยกันคือ ปัจจัยยังชีพของเขา อายุขัยของเขา กิจการงานของเขา และสุขหรือทุกข์ของเขา ดังนั้น...”
ดังนั้นเมื่อมีความทุกข์ยาก เกิดเหตุการณ์หรือพิบัติภัยต่างๆ ต่อเขา มีการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก สูญเสียทรัพย์สิน เขา ก็ควรยอมรับว่าเป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ได้กำหนดไว้ก่อนตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และเขาไม่สามารถหลีกหนีสิ่งเหล่านี้ได้ และเป็นการทดสอบจากพระองค์
๓. ให้รำลึกถึงอัลลอฮ์
เมื่อเกิดความทุกข์ความกังวลจากสถานการณ์ความไม่สงบ เกิดความหวาดกลัว หวาดระแวง จิตใจไม่สงบก็จงรำลึกถึงอัลลอฮ์ให้มากๆ จะทำให้จิตใจสงบเป็นสุขได้ ดังที่พระองค์ตรัสไว้ในซูเราะห์ อัร-รออ์ดุ ( ๑๓:๒๘) ความว่า
“บรรดาผู้ศรัทธาและจิตใจของพวกเขาสงบด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮ์พึงทราบเถิดว่าด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮ์เท่านั้นทำให้จิตใจสงบ”
ดังนั้นมุสลิมผู้ศรัทธา เมื่อประสบเคราะห์กรรมต่างๆ จึงต้องมีสติ และมีการรำลึกถึงอัลลอฮ์ตลอดเวลา เพื่อให้จิตใจเขาสงบ การรำลึกถึงอัลลอฮ์นั้น ทำได้ตลอดเวลาทั้งการคิดและการกระทำ เช่น การซิกรุลลอฮ์ การละหมาด การขอพร(ดุอาอ์) การอ่านคัมภีร์อัล-กุรอาน และการทำความดีทั้งหลาย
๔. การมอบหมายต่ออัลลอฮ์ ( ตะวักกัล )
เมื่อเราเกิดความรู้สึกวิตกกังวลต่อสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นหรือหวาดระแวง หวาดกลัวในเหตุการณ์ข้างหน้า ก็ขอให้เราได้มอบหมาย (ตะวักกัล) ต่ออัลลอฮ์ ไว้วางใจต่อพระองค์ เมื่อใดก็ตามที่เรามีจิตใจพึ่งพาและมอบหมายต่อพระองค์แล้ว เราจะได้รับการปกป้องให้พ้นจากความวิตกกังวล ความกลัว และสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงในสถานการณ์ที่ไม่สงบเช่นนี้ พระองค์อัลลอฮ์ได้ตรัสไว้ในซูเราะห์-อัต-ฎอลาภ ( ๖๕:๓ ) ความว่า
“…และผู้ใดมอบหมายต่ออัลลอฮ์ พระองค์ก็จะเป็นผู้ทรงพอเพียงแก่เขา…”
๕. การปฏิบัติศาสนกิจ
การปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ เช่น การละหมาดซึ่งมุสลิมต้องปฏิบัติวันละ ๕ เวลา เป็นการเข้าเฝ้าอัลลอฮ์ ซึ่งผู้ปฏิบัติจะต้องมีสมาธิ มีความสงบจิตใจรำลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา ดังนั้นผู้ที่มีความทุกข์ ความเครียดในจิตใจ เมื่อเขาได้ละหมาดเขาจะมีสมาธิมีจิตใจที่สงบ เมื่อรวมกับท่าทางการเคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะมีการโค้ง ก้ม กราบ ยืน และนั่ง ในระยะเวลาที่เหมาะสม จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้มาก
๖. มุมมองของความทุกข์และความลำบาก
การตกอยู่ในความทุกข์ยากความกังวลใจ ประสบกับสิ่งเลวร้ายต่างๆ นอกจากเป็นการทดสอบจากอัลลอฮ์แล้ว ให้เราถือว่าเป็นความเมตตาของพระองค์ ถือว่าพระองค์ทรงรักและจะลบล้างบาปต่างๆ เป็นการชำระล้างหัวใจให้บริสุทธิ์ เมื่อถึงวันแห่งการพิพากษาบาปของเราจะได้ลดลงดังที่ท่านศาสดามูฮำหมัดได้กล่าวไว้ความว่า
“ไม่มีสิ่งใดที่มาประสบกับมุสลิมจากความยากลำบาก ความป่วยไข้ ความกังวลใจ ความเศร้าเสียใจ ความเจ็บปวด ความหวาดวิตก แม้แต่หนามอันหนึ่งที่ทิ่มแทง เว้นแต่อัลลอฮ์จะลบล้างความผิดบาปต่างๆ ของเขาให้”
“เมื่ออัลลอฮ์ต้องการให้บ่าวคนใดได้รับความดีพระองค์รีบลงโทษเขาในดุนยา(โลกปัจจุบัน) เมื่อพระองค์จะให้บ่าวประสบกับสิ่งเลวร้าย พระองค์ก็เก็บบาปของเขาไว้จนกระทั่งเขาถูกนำมาในวันกียามะฮ์พร้อมกับบาปนั้น”
๗. การคิดถึงความโปรดปรานของอัลลอฮ์
เมื่อเราเกิดความทุกข์ความลำบากจากเหตุการณ์ต่างๆ ก็ขอให้เราได้มองถึงความเมตตาและความโปรดปรานที่อัลลอฮ์ได้ประทานมาให้เราก่อนหน้านั้นและในปัจจุบัน ซึ่ง เราจะพบได้ว่า ความเมตตาที่เราได้รับนั้นมีมากมายจนไม่สามารถเทียบกับความทุกข์ยากที่เกิด ขึ้นในครั้งนี้ การคิดเช่นนี้จะทำให้มีจิตใจสงบสุขและมีกำลังใจต่อสู้ชีวิตต่อไป
๘. การขอดุอาอ์/วิงวอน
ให้เราวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ ให้ทรงคุ้มครอง ทรงช่วยเหลือ ชี้แนะแนวทางขอให้เราพ้นจากความตื่นตระหนก ความหวาดกลัว ความว้าวุ่นใจเป็นต้น ซึ่งอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอำนาจที่จะช่วยเราได้ พระองค์ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์ อัล-บากอรอฮ์ ( ๒:๑๘๖) ความว่า
“และเมื่อบ่าวของข้าถามเจ้าถึงข้าแล้วก็ (จงตอบเถิดว่า) แท้จริงข้านั้นอยู่ใกล้ ข้าจะตอบรับคำวิงวอนของผู้ที่วิงวอน เมื่อเขาวิงวอนต่อข้า ดังนั้น พวกเขาจงตอบรับข้าเถิด และศรัทธาต่อข้า เพื่อว่าพวกเขาจะได้อยู่ในทางที่ถูกต้อง”
มีบทดุอาอ์บทขอพรมากมายที่ท่านศาสดาได้พูดถึงเมื่อมีความทุกข์ เช่น
“โอ้อัลลอฮ์ ฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากความทุกข์กังวล ความเศร้าเสียใจ การไร้ความสามารถ ความเกียจคร้าน ความตระหนี่ ความหวาดกลัว การแบกภาระหนี้สิน การตกอยู่ภายใต้อำนาจมนุษย์”
๙. การระงับความโกรธ
คนเราเมื่อมีความโกรธต้องรู้จักระงับความโกรธและระบายออกอย่างเหมาะสม ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะเกิดผลเสียตามมามากมาย ทั้งทางร่างกายและจิตใจ อาจเกิดความเคียดแค้นตามมา ความโกรธเป็นงานของมารร้าย (ชัยตอน) ดังนั้นเมื่อเราโกรธก็ขอให้เราขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ ให้พ้นจากชัยตอนที่ถูกสาปแช่ง ท่านศาสดามูฮำหมัด กล่าวไว้ความว่า
“ใครก็ตามที่ได้ระงับความโกรธ ซึ่งหากเขาต้องการที่จะแสดงมันออกมา มันก็ปรากฏออกมาบนตัวเขาได้ อัลลอฮ์จะเติมหัวใจของเขาให้เต็มไปด้วยความสุกใสในวันกียามะห์” ท่านศาสดายังกล่าวต่ออีกว่า “ท่านอย่าโกรธ แล้วสวรรค์จะเป็นของท่าน”
๑๐. การให้อภัย
การให้อภัยอย่างแท้จริงนั้นจะทำให้จิตใจเป็นสุขมีความสงบไม่เคียดแค้น การตกเป็นเหยื่อจากสถานการณ์ชายแดนใต้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม ย่อมก่อให้เกิดความโกรธ ความเคียดแค้นต่อฝ่ายตรงข้าม แต่การให้อภัยต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง จะทำให้จิตใจสงบ ไม่ทุกข์ ถึงแม้เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่ถ้าเรากลับไปศึกษาประวัติท่านศาสดามูฮำหมัด จะพบว่าท่านเป็นตัวอย่างของผู้ที่มีจิตใจสูงส่ง ให้อภัยแม้ผู้ที่คิดร้ายต่อท่าน ถ้าเราเป็นคนที่ระงับความโกรธ และให้อภัย เราจะได้สวนสวรรค์ตามที่อัลลอฮ์ได้สัญญาไว้ใน ซูเราะห์ อาลิอิมรอน (๓: ๑๓๓-๑๓๔) ความว่า
“และพวกเจ้าจงรีบเร่งไปสู่การอภัยโทษจากพระเจ้าของพวกเจ้าและไปสู่สวนสวรรค์ ซึ่งความกว้างของมันนั้นคือ บรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินโดยที่มันถูกเตรียมไว้ สำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรง คือบรรดาผู้ที่บริจาคทั้งในยามสุขและยามเดือดร้อน และบรรดาผู้ข่มโทสะ และบรรดาผู้ให้อภัยแก่เพื่อนมนุษย์ และอัลลอฮ์นั้นทรงรักบรรดาผู้กระทำดีทั้งหลาย”
ที่มา
http://www.wamythai.org
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
โปรดใช้วิจารณญานในการแสดงความคิดเห็น