แกงข้าวแป้งซูจี อาหารจีน เรื่องราวสะท้อนการกดขี่และแสดงออกในสังคม(มีคลิปสูตรสอนทำ)

แกงข้าวแป้งซูจี อาหารจีน เรื่องราวสะท้อนการกดขี่และแสดงออกในสังคม(มีสูตร)




แกงข้าวแป้ง คน คนบ้านเรา คนจีนมุสลิมเลือดผสมเรียกแบบนี้ มาเนินนาน  คนจีนเรียกซูจี เป็นอาหารประเภทต้มจืดที่ทำกันต่อเนื่องกันมานาน ตั้งแต่บรรพชนจีนอพยพเข้าสู่เมืองล้านนา  มีความโดดเด่น ที่น้ำซุป  เพราะงานเลี้่ยงของพี่น้องมุสลิมจะประกอบไปด้วยอาหารที่ ค่อยข้างจะสัมพันธ์กัน ทำให้นำส่วนต่าง ๆ ของอาหาร มาประกอบอาหารอีกชนิดหนึ่งได้ อย่างเช่นแกงข้าวแป้งนี้ จะใช้น้ำซุปจากการต้มไก่หรือต้มเนื้อในงานเลี้ยงมาเป็นส่วนประกอบหลักของอาหารชนิดนี้ จึงทำให้ซุปแป้งมีความหอมนุ่ม เป็นซุปที่ต้องเติมเพิ่มเสมอในงานเลี้ยง


          ในงานบุญงานเลี้ยงของชาวจีนมุสลิมจะประกอบไปด้วยอาหารอย่างน้อง หกเมนูบางงานมี เก้าเมนู หลัก  ๆ ที่นิยม ทำ ก็มี แกงเนื้่อยูนนาน  ยำวุ้นเส้นซี้อิ้ว แกงข้าวแป้ง ไก่หรือเนื้อต้มสับ ผัดผักแบบโบราณ คือไม่ใส่เนื้อสัตว์ ได้รสชาติ ของผัก เน้น ๆ หวานอร่อย
           ในเรื่องของวัฒนธรรมการกิน  ของแต่ละชนชาติย่อมมีสตอรี เรื่องเล่า สะท้อนถึงวิถีของผู้คนผ่านอาหารการกิน  อยู่เสมอ  ในส่วนของแกงข้าวแป้ง หรือ ซูจี  อาจารย์ น้สริน แห่งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้สืบค้นข้อมูล  มาให้เราได้เรียนรู้ถึง ที่มาของอาหารประเภทนี้  ไปอ่านดูเรื่องราว ที่น่าสนใจดูครับ

สูตรแกงข้าวแป้งยูนนาน ภาษาจีนเรียกซูจี






เรื่องเล่าแกงข้าวแป้งเรื่องเล่าอาหารการกินของชาวจีน
โดย  Nisreen Pattararuangwilai

   มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเชียงราย




 ความเป็นมาอาหารการกินของมุสลิมจีน     
         เรื่องอาหารการกินนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องที่คนไทยนิยมพูดกันเท่านั้น คนจีนก็เหมือนกันเห็นความสำคัญของการทานอาหารนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น้อยหน้าใครๆเหมือนกัน อาหารจีนนั้นแบ่งออกเป็น 8 ประเภทใหญ่ๆ เบื้องหลังของอาหารแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกันทางด้านภูมิศาสตร์  ความเชื่อ วัฒนธรรม เศรษฐกิจเป็นต้น  อาหารของชาวหุยในประเทศจีนนั้นก็มีประวัติศาสตร์ยืนยาว นับตั้งแต่พ่อค้าชาวอาหรับ เปอร์เซียเข้าไปค้าขายบนแผ่นดินมังกรในช่วงกลางศตวรรษที่ 7 พบว่ามีการนำอาหารประเภทต่างๆ เข้าไปด้วย  ลักษณะพิเศษของอาหารชิงเจิน(หมายถึงอาหารมุสลิม)จึงมีเอกลักษณ์พิเศษคือ สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมการกินของชาวเปอร์เซียและอาหรับ ขณะเดียวกันก็มีเป้นการผสมผสานกับสูตรต่างๆ ของอาหารใน 8 ประเภทนั้น  จึงทำให้อาหารของชาวหุยมีความหลากหลายมากขึ้น


         บรรพบุรุษของชาวหุยที่อยู่ทางเหนือของจีนนั้นทานแป้งเป็นอาหารหลัก  ส่วนทางใต้นั้นทานข้าวเป็นอาหารหลัก สมัยก่อนนั้นชาวหุยในมณฑลยูนนานต้องทานข้าวฟ่าง ธัญญาพืชเป็นอาหารหลัก  หลังจากที่เริ่มมีการทำนาและมีการนำเข้ามันฝรั่ง(มันอะลู) จึงใช้อาหารประเภทนี้เป็นอาหารหลัก ปัจจุบันตามระดับคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้นอาหารหลักนั้นก็มีความหลากหลายมากขึ้น โดยปกติแล้วการรับเลี้ยงแขกของชาวจีนยูนนานนั้นค่อนข้างจะมีความสมบูรณ์ แบ่งออกเป้น ลิ่วต้าว่าน(อาหาร 6 ชนิด)หรือปาต้าว่าน(อาหาร 8 ชนิด)รายการอาหารที่สืบทอดและนิยมกันคือ เนื้อน้ำแดง เนื้อเปื่อย เต้าหู้ วุ้นเส้น เนื้อนึ่ง  ซูโร่ว(แกงข้าวแป้ง)เป็นต้น ปัจจุบันนี้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นส่วนมากนิยมทานแบบปาต้าว่าน(อาหาร8ชนิด) นอกจากเนื้อแล้ว กุ้ง หอย ปู ปลาก็มีให้เห็นจากบนโต๊ะเลี้ยงทั่วไป   


(เซ็ตนี้ที่งานบุญเมาลิดนบี ที่ มัสยิดดอยวาวี จ.เชียงราย)

          ทำนองเดียวกันเมื่อมุสลิมยูนนานอพยพมาถึงทางเหนือของไทย ก็ย่อมนำวัฒนธรรมการกินเข้ามา โดยเฉพาะอาหารในงานเลี้ยงต่างๆ (หรืออาจกลายเป็นอาหารประจำสำหรับบางครอบครัว)มักจะพบว่า ยังมีความเป็นยูนนานอยู่ เช่นอาหารประเภทเนื้อน้ำแดง (นิยมเรียกติดปากกันว่า ฮ่งตุ๋น) แกงข้าวแป้ง(นิยมเรียกติดปากกันว่า ซูจี) เป็นต้น นอกจากอาหารหลักแล้ว ยังมีอาหารว่างที่ยังคงติดค้างอยู่ในมุสลิมยูนนานในภาคเหนือตอนบนของไทยอีกหลายประเภท เช่นขนมโหยวเซียง(ขนมทอดที่ทำมาจากแป้ง) ขนมเปี๊ยะใส้ถั่วดำแบบยูนนาน เป็นต้น  ในที่นี้ขอเสนอประวัติความเป็นมาและวิธีการทำอาหารประเภทแกงข้าวแป้ง(ซูจี)



           จริงๆ แล้วอาหารประเภทนี้เป็นอาหารที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารชาวฮั่น ชื่อที่ถูกต้องและอาหารประเภทนี้เรียกว่าซูโร่ว คำว่า ซู (酥) แปลว่ากรอบ คำว่าโร่ว(肉) แปลว่า เนื้อ ซึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นเนื้ออะไร แต่เพื่อเป็นการเลี่ยงความคลุมเครือไม่ชัดเจนในจุดนี้ มุสลิมยูนนานจึงเปลี่ยนจาก โร่ว(肉) เป็นคำว่า จี(鸡) ซึ่งแปลว่าไก่  ซึ่งเป็นการเปลี่ยนชื่อเรียกที่ทำให้เกิดความมั่นใจในการเรียกขานและตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น


ว่าด้วยความเป็นมาของแกงข้าวแป้งซูจี เมนูผู้ถูกกดขี่


              เมื่อกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของอาหารประเภทนี้ ก็ต้องย้อนไปเมื่อปลายราชวงค์ซัง ( ปี 1711 ก่อน ค.ศ. )  มีตำนานเล่ากันว่า ตอนที่ Zhouwangเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองแต่ไม่เอาใจใส่ หลังจากมีสนมที่ชื่อ SuDaji เข้าวัง พระองค์ก็ยิ่งจมปลักกับความรื่นเริงบันเทิงใจ และสนมคนนี้เมื่อได้รับความโปรดปรานจาก Zhouwangก็กลายเป็นคนที่ยโส โอหัง ไม่เกรงกลัวใคร เข่นฆ่าชาวบ้านเป็นว่าเล่น ไพร่ฟ้าประชาชนต่างก็เกรงกลัว แต่ทุกคนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ฤดูใบไม้ร่วงของปีหนึ่ง Zhouwangและ  SuDaji ออกไปล่าสัตว์ แต่กลับล่าสัตว์ไม่ได้เลยสักตัว ขากลับนายพรานที่ติดตามไปจับไก่และแกะของผู้หญิงชาวบ้านคนหนึ่ง และสนม SuDaji ก็บังคับให้ผู้หญิงคนนี้ปรุงให้เสร็จ หลังจากZhouwang SuDaji ทานกันอิ่มหมีพลีมันแล้วก็เดินทางกลับ ไม่จ่ายค่าตอบแทนใดๆ แก่ผู้หญิงคนนี้เลย ผู้หญิงคนนี้เสียใจวิ่งเข้าครัวอย่างรวดเร็ว และเพื่อเป็นการระบายความโกรธ ผู้หญิงจึงนำเนื้อมาชิ้นหนึ่ง เปรียบว่าเป็นเนื้อของ SuDaji  และสับด้วยความไปด้วยความแรงและร้องไห้ไปด้วย พร้อมกับพูดว่า “ นางปีศาจ แกมาทำร้ายข้า ข้าจะใช้มีดสับแกเป็นชิ้นๆ  นำแกไปทอดแล้วไปนึ่ง  แล้วข้าจะกินแกไม่ให้เหลือสักชิ้น   ”   จนกระทั่งสามีกลับมาพบเข้า นางก็ระบายให้สามีฟัง สามีจึงออกความเห็นว่า ถ้าเช่นนั้นแล้วเราก็เรียกเนื้อที่ทำนี้ว่า SuDaji  เมื่อนางได้ยินก็ยิ้มออกแล้วพูดว่า “ถ้าข่าวแพร่ออกไปว่าเราทานเนื้อ SuDaji หัวเราทั้งสองคนคงขาดแน่ๆ ” ทันใดนั้นสามีของนางจึงพลันคิดขึ้นมาได้จึงพูดว่า” ถ้าเช่นนั้นก็เปลี่ยนเป็นทาน Dasurou  เป็นการบอกโดยนัยว่าเป็นการทานเนื้อของ SuDaji” ทั้งสองมีพูดเสร็จ จึงนำเนื้อที่ซับเสร็จไปทอดและนึ่ง และทานกันอย่างเอร็ดอร่อย จึงเป้นที่มาของอาหารรสเด็ดจานนี้

             หลังจากนั้นเมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป ชาวบ้านต่างก็เลียนแบบเพราะมีความเคียดแค้นสนม SaDajiเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาหารจานนี้จึงได้ชื่อว่าอาหารที่อร่อยและสามารถระบายความอาฆาตได้ หลังจากที่ ราชวงค์ซังล่มสลายประชาชนก็กลับมาอยู่เย็นเป็นสุขอีกครั้ง และชื่อของ Dasurou จึงกลายเป็น Surouหรือ Xiaosurou ในปัจจุบัน
 



ซูจี(แกงข้าวแป้ง)สูตรมุสลิมยูนนาน
ส่วนประกอบที่สำคัญ

1  เนื้อไก่                300          กรัม
2  แป้งสาลี              100          กรัม   
3ไข่                        3              ฟอง
4  โครงไก่              500          กรัม
5  น้ำมัน                  500          กรัม
6  ขิงซอย                10  กรัม
7  กระเทียม            5              กลีบ
8 แปะกั๊กสัก ๒ ๓ กลีบ/ เชาโกสัก ๒ เม็ด               


9 เกลือ น้ำตาล พริกไทยป่น

  วิธีการทำให้ดูจากวีดีโอด้านบนเพราะทำจริง เห็นจริง สุตรนี้ยังไม่ลงตัว


1   หั่นไก่เป็นชิ้นลูกเต๋าแล้วหมักเกลือทิ้งไว้
2    ตีไข่และผสมแป้งสาลีให้เข้ากันพร้อมเติมไก่ น้ำตาล พริกไทยป่น เพื่อปรุงรส
3   นำน้ำมันตั้งไฟหลังจากที่น้ำมันเดือดแล้วให้ใช้ไฟอ่อนในการทอด
4   ใช้ช้อนตักไก่พร้อมแป้งลงในทัพพีที่มีน้ำมันแล้วปล่อยลงในกระทะทีละชิ้น
5    ระหว่างทอดต้องระวังความพอดีของไฟ เพราะถ้าไฟแรงไปอาจเกรียมง่าย
7    ตั้งไฟเพื่อต้มโครงไก่ พร้อมใส่กระเทียม แปะกั๊ก
8   นำไก่ที่ทอดเสร็จต้มในน้ำแกงไก่ หลังจากเดือดแล้วให้ต้มด้วยไฟอ่อนจนกระทั่งแป้งนิ่ม
9   ตักใส่ชามพร้อมโรยต้นหอมผักชี เพียงแค่นี้คุณก็จะได้ลิ้มลองกับซูจีอันโอชะ

เคล็ดลับ
สำหรับท่านที่ชอบทานผักหรือแพ้อาหารประเภทแป้ง สามารถเติมผักชนิดต่างๆ ระหว่างที่ต้มได้

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
 http://blog.sina.com.cn/s/blog_4ca49d9f01009cdg.html
http://www.meishichina.com/Eat/RMenu/200812/53795.html

มุสลิมเชียงใหม่ดอทเน็ต
www.muslimchiangmai.net

ความคิดเห็น