ความขัดแย้งในศรัทธา: นโยบายศาสนาของจีนภายใต้กล้องส่องและความมั่นคงของรัฐ

ความขัดแย้งในศรัทธา: นโยบายศาสนาของจีนภายใต้กล้องส่องและความมั่นคงของรัฐ

บทนำ
       ​นับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา นโยบายของรัฐบาลจีนต่อกิจการศาสนาได้กลายเป็นประเด็นถกเถียงระดับโลก การบริหารจัดการความเชื่อของพลเมือง 1.4 พันล้านคนภายใต้หลักการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) นำมาสู่ความตึงเครียดระหว่างความต้องการรักษาความมั่นคงและอุดมการณ์ของรัฐ กับเสรีภาพทางศาสนาของประชาชน บทความนี้จะนำเสนอมุมมองทั้งสองด้านอย่างเป็นกลาง เพื่อทำความเข้าใจความซับซ้อนของนโยบายนี้


​1. หลักการควบคุมหลัก: "ทำให้ศาสนาเป็นจีน" (Sinicization)
​มุมมองของรัฐบาลจีน (ฝ่ายบริหาร):
​รัฐบาลจีนยืนยันว่านโยบายหลักในการ "ทำให้ศาสนาเป็นจีน" (Sinicization) ไม่ใช่การกลืนกลายทางวัฒนธรรม แต่เป็นกระบวนการที่ศาสนาต่าง ๆ จะสามารถปรับตัวและอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนกับบริบท

สังคมนิยมของจีนในยุคปัจจุบัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ:
​    การรักษาเสถียรภาพ: ป้องกันไม่ให้ลัทธิสุดโต่งและอิทธิพลจากต่างประเทศที่แบ่งแยกเข้ามาทำลายเสถียรภาพทางสังคมและความสามัคคีระหว่างกลุ่มชน


ความเสมอภาค: ศาสนสถานที่จดทะเบียนและกิจกรรมปกติได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และรัฐบาลได้ลงทุนมหาศาลเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจในเขตชนกลุ่มน้อย เพื่อรับประกันความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน


มุมมองภายนอก (นักวิเคราะห์/กลุ่มสิทธิมนุษยชน):
​     นักวิเคราะห์ภายนอกมองว่า Sinicization คือการบังคับให้ศาสนา ยอมรับการควบคุมอำนาจทางการเมืองของพรรค CCP อย่างเบ็ดเสร็จ และเป็นการทำลายความเป็นสากลของศาสนา:


การบิดเบือนหลักคำสอน: รัฐบาลแทรกแซงหลักคำสอนทางศาสนา โดยกำหนดให้ผู้นำศาสนาต้องเผยแพร่และส่งเสริม "ค่านิยมสังคมนิยม" และอุดมการณ์ของพรรค
การจำกัดพื้นที่สาธารณะ: การที่ศาสนาต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐเท่านั้น ทำให้เกิดการจำกัดพื้นที่ในการแสดงออกของความเชื่ออย่างอิสระ
​2. กรณีศึกษา: การควบคุมกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิม
​.      นโยบายต่อชาวมุสลิมแบ่งออกเป็นสองระดับตามการประเมินภัยคุกคามของรัฐ:
กลุ่มเป้าหมาย มาตรการหลัก มุมมองภายนอก (การปราบปราม) ข้อชี้แจงของรัฐบาลจีน (ความมั่นคง)
      ชาวอุยกูร์ (ซินเจียง) การคุมขังมวลชน ใน "ค่ายฝึกอาชีพ" (Re-education Camps) และการเฝ้าระวังทางเทคโนโลยีขั้นสูง เป็นการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม/อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ที่ทำลายอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และศาสนา เป็นมาตรการที่จำเป็นเพื่อ ต่อต้านการก่อการร้าย และแนวคิดสุดโต่ง ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้ซินเจียงเป็นภูมิภาคที่ปลอดภัยที่สุด


ชาวหุย (นอกซินเจียง) การบังคับ ทำลายสถาปัตยกรรม มัสยิด (รื้อโดม/หออะซาน), การจำกัดการศึกษาศาสนา เป็น การกลืนกลายทางวัฒนธรรม อย่างเงียบ ๆ เพื่อลบสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับอิสลามสากล เป็นส่วนหนึ่งของการ Sinicization เพื่อ ป้องกันอิทธิพลจากต่างประเทศ และให้ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมอย่างกลมกลืน

3. การขยายการควบคุมสู่โลกดิจิทัล (2025)
​มุมมองภายนอก (การจำกัดเสรีภาพ):
​    การบังคับใช้ "จรรยาบรรณสำหรับการปฏิบัติออนไลน์ของบุคลากรทางศาสนา" ถือเป็นการปิดกั้นช่องทางสุดท้ายที่ประชาชนสามารถเข้าถึงความรู้ทางศาสนาที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบของรัฐ:


การตัดการเชื่อมต่อ: การห้ามเผยแพร่คำสอนทางศาสนาผ่าน Live Stream, บัญชีโซเชียลส่วนตัว, และการจำกัดการระดมทุนออนไลน์ เป็นการตัดการเชื่อมต่อและแหล่งรายได้ของคริสตจักรใต้ดินและกลุ่มศาสนาอิสระ


การควบคุม AI: การห้ามใช้ปัญญาประดิษฐ์เชิงกำเนิดในการสร้างเนื้อหาทางศาสนา เป็นการแสดงถึงความต้องการควบคุมแหล่งกำเนิดข้อมูลทางจิตวิญญาณทุกรูปแบบ


ข้อชี้แจงของรัฐบาลจีน (การสร้างความสงบเรียบร้อย):
​รัฐบาลเห็นว่ากฎระเบียบนี้จำเป็นต่อการสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ปลอดภัยและเป็นระเบียบเรียบร้อย:


การปกป้องประชาชน: เพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดกฎหมาย แนวคิดสุดโต่ง และการหลอกลวงที่อาจใช้ศาสนาเป็นฉากบังหน้าบนอินเทอร์เน็ต


การกำกับดูแล: กำหนดให้การเผยแพร่คำสอนต้องได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจว่ากิจกรรมทางศาสนาออนไลน์จะถูกตรวจสอบและสอดคล้องกับกฎหมายของชาติ


​4. การห้ามเด็กเรียนศาสนา: การกำหนดอนาคตของชาติ
​     มุมมองภายนอก (การทำลายความต่อเนื่อง):
การห้ามเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี เรียนรู้หรือเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาถือเป็นมาตรการเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งทำลายรากฐานความเชื่อของคนรุ่นต่อไป:


การผูกขาดอุดมการณ์: พรรค CCP ใช้อำนาจเพื่อควบคุมการหล่อหลอมจิตใจเยาวชน เพื่อให้ความจงรักภักดีต่อพรรคเหนือกว่าความจงรักภักดีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ
การทำลายอัตลักษณ์: เป็นการตัดความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมและศาสนาจากรุ่นสู่รุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่ศาสนาเป็นแกนหลักของอัตลักษณ์ (เช่น ทิเบตและอุยกูร์)


ข้อชี้แจงของรัฐบาลจีน (การสร้างพลเมืองสังคมนิยม):
      ​รัฐบาลให้เหตุผลว่ามาตรการนี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาชาติ:
​การศึกษาที่ไม่ปะปน: เพื่อให้แน่ใจว่าเยาวชนจะได้รับการศึกษาที่เน้นวิทยาศาสตร์ เหตุผล และการสร้างชาติตามแนวทางสังคมนิยม โดยไม่ถูกชักจูงโดยแนวคิดทางศาสนาที่ขัดแย้งกับค่านิยมสังคมนิยม


การปกป้องเยาวชน: ปกป้องเด็กจากการถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยกลุ่มศาสนาที่ผิดกฎหมายหรือถูกชักจูงโดยอิทธิพลจากต่างชาติ


บทสรุป
       ​การจัดการกิจการศาสนาของจีนสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งที่ซับซ้อนระหว่าง อำนาจเบ็ดเสร็จของพรรคคอมมิวนิสต์จีน กับ หลักการสากลว่าด้วยเสรีภาพทางศาสนา รัฐบาลจีนมองว่าการควบคุมศาสนาเป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติ การพัฒนา และการสร้างเอกภาพทางอุดมการณ์ ในขณะที่นักวิเคราะห์ภายนอกและกลุ่มสิทธิมนุษยชนมองว่าเป็นการจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานและการกลืนกลายทางวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ
​     การทำความเข้าใจสถานการณ์นี้จึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยแยกแยะระหว่างความพยายามของรัฐในการต่อต้านลัทธิสุดโต่งจริง ๆ กับการใช้นโยบายดังกล่าวเพื่อขจัดคู่แข่งทางอุดมการณ์และการเมืองในทุกระดับของสังคมจีน

ความคิดเห็น