การพิชิตดินแดนฮิญาซโดยอับดุลอะซีซ อิบนุซะอูด (ʿAbd al-ʿAzīz ibn Saʿūd) ระหว่างปี ค.ศ. 1924–1925 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์คาบสมุทรอาหรับ เหตุการณ์นี้มิได้เป็นเพียงการขยายอำนาจของแคว้นเนจด์ (Najd) หากแต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างของอำนาจศาสนาและการเมืองในโลกมุสลิมยุคใหม่¹
1. พื้นหลังทางการเมืองของคาบสมุทรอาหรับ
#ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 คาบสมุทรอาหรับอยู่ในภาวะสุญญากาศทางอำนาจ ชะรีฟ หุเซน บิน อะลี (Sharif Ḥusayn ibn ʿAlī) แห่งราชวงศ์เฮาชะมี ได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษให้ก่อ “การปฏิวัติอาหรับ” เพื่อต่อต้านออตโตมัน² ชะรีฟหุเซนหวังจะรวมชาติอาหรับภายใต้การนำของตน แต่หลังสงคราม อังกฤษกลับสนับสนุนการจัดตั้งรัฐภายใต้ระบบอาณัติ (Mandate System) ของตนในซีเรียและอิรัก
#การประกาศตนของชะรีฟหุเซนว่าเป็น “กษัตริย์แห่งชาวอาหรับ” ในปี ค.ศ. 1924 จึงถูกมองว่าเป็นการท้าทายทั้งต่ออำนาจของจักรวรรดิอังกฤษและต่ออิบนุซะอูด ซึ่งกำลังขยายอำนาจจากเนจด์เข้าสู่ฮิญาซ³
2. การโจมตีและการพิชิตฮิญาซ
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1924 กองกำลังอิควานน์ (Ikhwān) ซึ่งเป็นนักรบเคร่งศาสนาของอิบนุซะอูด ได้โจมตีเมือง ตออิฟ (Ṭāʾif) และยึดได้ภายในเวลาไม่นาน รายงานจากพยานร่วมสมัยระบุว่ามีการสังหารหมู่ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ละทิ้งความบริสุทธิ์ของศาสนา⁴
หลังจากนั้น กองทัพของอิบนุซะอูดได้เคลื่อนเข้าสู่นคร มักกะฮ์ และ มะดีนะฮ์ ตามลำดับ ชะรีฟหุเซนต้องลี้ภัยไปยังอัมมานในปี ค.ศ. 1925 ทำให้อาณาจักรฮิญาซตกอยู่ภายใต้การปกครองของเนจด์โดยสมบูรณ์⁵
3. แนวคิดวะฮาบีและการสร้างความชอบธรรม
รากฐานทางอุดมการณ์ของอิบนุซะอูดคือ ขบวนการวะฮาบี (al-daʿwah al-Wahhābiyyah) ซึ่งมีต้นกำเนิดในศตวรรษที่ 18 โดย มุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ (Muḥammad ibn ʿAbd al-Wahhāb) แห่งเมืองดะอีย์ยะห์⁶
#ขบวนการนี้เน้นการฟื้นฟูหลักเตาฮีด (เอกานุภาพของอัลลอฮ์) และต่อต้านสิ่งที่เห็นว่าเป็น “บิดอะฮ์” (สิ่งประดิษฐ์ทางศาสนา) เช่น การเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การเยี่ยมสุสาน หรือการขอพรต่อบุคคลผู้ล่วงลับ⁷ อิบนุซะอูดใช้แนวคิดนี้เป็นฐานความชอบธรรมของการขยายอำนาจ โดยอ้างว่าการพิชิตฮิญาซเป็น “ญิฮาดเพื่อชำระศาสนา” (jihād li-taṭhīr al-dīn)
วะฮาบีจึงไม่เพียงเป็นขบวนการศาสนา หากแต่กลายเป็น “อุดมการณ์รัฐ” ที่ช่วยสร้างเอกภาพทางศาสนาและการเมืองให้กับราชวงศ์ซาอูด⁸
4. การรวมอาณาจักรและการประกาศรัฐซาอุดีอาระเบีย
หลังการพิชิตฮิญาซ อิบนุซะอูดใช้เวลาหลายปีในการปรับโครงสร้างการปกครอง เพื่อประสานความเข้มงวดของแนวทางวะฮาบีกับความจำเป็นในการบริหารเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่มีมุสลิมจากทั่วโลกเดินทางมาประกอบพิธีฮัจญ์
ในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1932 อิบนุซะอูดได้ประกาศรวมอาณาจักรเนจด์และฮิญาซเข้าด้วยกันภายใต้ชื่อ
**“อัลมะมัลละฮ์ อัลอัรอบียะฮ์ อัซซะอูดียะฮ์” (المملكة العربية السعودية – ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย)**⁹
นี่คือการสถาปนารัฐชาติอิสลามรูปแบบใหม่ ที่ผสมผสานระหว่างราชาธิปไตยเผ่าพันธุ์กับแนวคิดวะฮาบีซึ่งกลายเป็นรากฐานของสถาบันศาสนาและการเมืองในซาอุดีอาระเบียมาจนปัจจุบัน¹⁰
5. บทบาทของมหาอำนาจตะวันตกและผลสะท้อนต่อโลกมุสลิม
แม้อิบนุซะอูดจะได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษเพียงทางอ้อมในช่วงต้น¹¹ แต่ในระยะยาว ความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ซาอูดกับโลกตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ได้แน่นแฟ้นขึ้นหลังการค้นพบน้ำมันในปี 1938¹²
#การใช้แนวคิดวะฮาบีเป็นอุดมการณ์รัฐ ทำให้ซาอุดีอาระเบียกลายเป็นศูนย์กลางของการเผยแพร่แนวคิด “อิสลามบริสุทธิ์” ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกมุสลิม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นที่มาของความขัดแย้งทางนิกายและการเมืองในหลายประเทศ¹³
บทสรุป
การพิชิตฮิญาซของอิบนุซะอูดในปี ค.ศ. 1924–1925 ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงแผนที่การเมืองของคาบสมุทรอาหรับ หากยังเป็นจุดเริ่มต้นของ การสร้างรัฐอิสลามสมัยใหม่ที่มีอุดมการณ์วะฮาบีเป็นแกนกลาง ความร่วมมือระหว่างราชวงศ์ซาอูดกับขบวนการวะฮาบีจึงกลายเป็น “พันธมิตรศาสนาและอำนาจ” ที่กำหนดทิศทางของซาอุดีอาระเบียมาจนถึงปัจจุบัน
เชิงอรรถ (Footnotes)
1. Madawi al-Rasheed, A History of Saudi Arabia (Cambridge: Cambridge University Press, 2010), p. 53.
2. Albert Hourani, A History of the Arab Peoples (Cambridge, MA: Harvard University Press, 1991), p. 312.
3. Alexei Vassiliev, The History of Saudi Arabia (London: Saqi Books, 2013), pp. 195–197.
4. William Ochsenwald, “The Hijaz: The First Saudi State,” The Middle East Journal 31, no. 1 (1977): 9–11.
5. Madawi al-Rasheed, A History of Saudi Arabia, p. 61.
6. David Commins, The Wahhabi Mission and Saudi Arabia (London: I.B. Tauris, 2006), pp. 15–20.
7. Ibid., pp. 23–26.
8. Madawi al-Rasheed, A History of Saudi Arabia, p. 75.
9. Alexei Vassiliev, The History of Saudi Arabia, p. 211.
10. David Commins, The Wahhabi Mission and Saudi Arabia, pp. 134–137.
11. Eugene Rogan, The Arabs: A History (New York: Basic Books, 2009), pp. 230–231.
12. Alexei Vassiliev, The History of Saudi Arabia, pp. 248–250.
13. Gilles Kepel, Jihad: The Trail of Political Islam (London: I.B. Tauris, 2002), pp. 72–75.
บรรณานุกรม (Bibliography)
Commins, David. The Wahhabi Mission and Saudi Arabia. London: I.B. Tauris, 2006.
Hourani, Albert. A History of the Arab Peoples. Cambridge, MA: Harvard University Press, 1991.
Kepel, Gilles. Jihad: The Trail of Political Islam. London: I.B. Tauris, 2002.
al-Rasheed, Madawi. A History of Saudi Arabia. Cambridge: Cambridge University Press, 2010.
Ochsenwald, William. “The Hijaz: The First Saudi State.” The Middle East Journal 31, no. 1 (1977): 1–12.
Rogan, Eugene. The Arabs: A History. New York: Basic Books, 2009.
Vassiliev, Alexei. The History of Saudi Arabia. London: Saqi Books, 2013.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
โปรดใช้วิจารณญานในการแสดงความคิดเห็น