ท่านคอลิด บิน วะลิด (Khalid ibn al-Walid) เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อิสลาม มีฉายาว่า "ซัยฟุลลอฮ์" (Sayf Allah) หรือ "ดาบของอัลลอฮ์" เนื่องจากความสามารถอันยอดเยี่ยมและชัยชนะในการรบ
เรื่องราวของท่านคอลิด บิน วะลิด
#ก่อนเข้ารับอิสลาม
ตระกูลและการเป็นผู้นำ: ท่านคอลิดมาจากเผ่า บนูมัคซูม (Banu Makhzum) ซึ่งเป็นหนึ่งในเผ่าชั้นนำของชาวกุเรช (Quraysh) ในนครมักกะฮ์ มีความสามารถในการเป็นแม่ทัพและผู้นำทัพม้าตั้งแต่วัยหนุ่ม
#เป็นปฏิปักษ์ต่ออิสลาม: ในช่วงแรก ท่านคอลิดเป็น ศัตรูตัวฉกาจ ของศาสนาอิสลามและท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)
สงครามอุฮุด (ปี ค.ศ. 625): ท่านคอลิดมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการนำทัพของชาวมักกะฮ์ต่อสู้กับมุสลิมในสงครามอุฮุด โดยอาศัยความชำนาญในการบัญชาการทัพม้าโจมตีจากด้านหลังจนทำให้ฝ่ายมุสลิมที่กำลังจะได้ชัยชนะต้องพ่ายแพ้ในที่สุด
#จุดเปลี่ยน: มีรายงานว่าท่านคอลิดเริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องราวของอิสลามหลังจากเห็นความมุ่งมั่นและความจริงใจของชาวมุสลิม และรู้สึกว่าความพยายามของตนในการต่อต้านอิสลามนั้นไร้ผล
หลังเข้ารับอิสลาม
#การเข้ารับอิสลาม: ท่านคอลิดเข้ารับอิสลามที่มะดีนะฮ์ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 627 ถึง 629 โดยตัดสินใจทิ้งมักกะฮ์มาเข้าสวามิภักดิ์ต่อท่านศาสดา
#ได้รับฉายา "ดาบของอัลลอฮ์": การเข้ารับอิสลามของท่านคอลิดถือเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อกองทัพมุสลิม ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้มอบฉายา "ดาบของอัลลอฮ์" ให้แก่ท่าน
#สงครามมุอ์ตะฮ์ (ปี ค.ศ. 629): เป็นการรบครั้งแรกที่ท่านคอลิดร่วมกับฝ่ายมุสลิม แม้จะเข้าร่วมในฐานะทหารธรรมดา แต่หลังจากที่ผู้นำทัพมุสลิม 3 ท่านถูกสังหาร ท่านคอลิดก็ได้รับมอบหมายให้บัญชาการทัพและใช้กลยุทธ์อันชาญฉลาด นำทัพมุสลิม 3,000 นาย ถอนตัวกลับมาได้อย่างมีระเบียบและปลอดภัยจากกองทัพไบแซนไทน์ที่มีจำนวนมหาศาล (200,000 นาย)
#สงครามยุคต่อมา: ท่านคอลิดเป็นแม่ทัพคนสำคัญในปฏิบัติการทางทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอิสลามในยุคของท่าน อบูบักร อัศ-ศิดดีก (เคาะลีฟะฮ์คนแรก) และท่าน อุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบ (เคาะลีฟะฮ์คนที่สอง) ท่านนำทัพมุสลิมได้รับชัยชนะครั้งสำคัญในการ ปราบปรามกบฏ (สงครามริดดะห์), พิชิตเปอร์เซีย (อิรัก), และ พิชิตซีเรียและปาเลสไตน์ โดยเฉพาะชัยชนะใน ยุทธการยัร มูก (Yarmouk) ในปี ค.ศ. 636 ที่มีผลต่อการเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ในภูมิภาคเลแวนต์ (ซีเรีย)
#ความขัดแย้งกับผู้นำ (ท่านอุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบ)
ความขัดแย้งที่โด่งดังที่สุดของท่านคอลิดคือกับ ท่านอุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบ ซึ่งขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮ์ต่อจากท่านอบูบักร
#การปลดจากตำแหน่ง: ท่านอุมัรได้ ปลดท่านคอลิดออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพในซีเรีย และแต่งตั้งท่านอบู อุบัยดะฮ์ บิน อัล-ญัรรอฮ์ ขึ้นมาแทน
#เหตุผล (ที่ถูกกล่าวถึง):
#ความกังวลเรื่องการบูชาบุคคล: ท่านอุมัรเกรงว่าชัยชนะอันต่อเนื่องของท่านคอลิดจะทำให้ชาวมุสลิมบางคนเริ่ม ยกย่องเชิดชูท่านคอลิดมากเกินไป จนอาจลืมว่าชัยชนะที่แท้จริงมาจากอัลลอฮฺ
#เรื่องการใช้จ่าย/การบริหาร: มีความกังวลเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินทองและทรัพย์สินสงครามที่ท่านคอลิดอาจจัดการแตกต่างจากนโยบายที่เคร่งครัดของท่านอุมัร
#ความชอบธรรมทางทหาร: มีข้อกังขาจากท่านอุมัรเกี่ยวกับเหตุการณ์บางอย่างในช่วงสงครามริดดะห์ เช่น การประหารชีวิต มาลิก บิน นุวัยเราะฮ์
#การตอบสนองของท่านคอลิด: สิ่งที่น่าประทับใจคือ ท่านคอลิดยอมรับการตัดสินใจ ของท่านอุมัร และยังคงทำงานรับใช้ศาสนาอิสลามต่อไปในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านอบู อุบัยดะฮ์อย่างเต็มความสามารถและยังคงเป็นกำลังสำคัญในการพิชิตซีเรีย
#ชีวิตบั้นปลาย
ท่านคอลิด บิน วะลิด เสียชีวิตในปีที่ 21 แห่งฮิจญ์เราะฮ์ศักราช (ประมาณ ค.ศ. 642) ที่เมืองฮิมศ์ (โฮมส์) ในซีเรีย ท่านเสียชีวิตอย่างสงบอยู่บนเตียง ไม่ได้เสียชีวิตในสมรภูมิรบอย่างที่ผู้คนคาดไว้ โดยในวาระสุดท้ายท่านเสียใจที่ไม่สามารถตายในหนทางของอัลลอฮ์ได้เหมือนกับสหายคนอื่น ๆ แต่ได้รับการปลอบใจว่าท่านเป็น "ดาบของอัลลอฮ์" และดาบของอัลลอฮ์จะไม่มีวันหักกลางสมรภูมิ
#เรื่องราวของท่านคอลิด บิน วะลิด เป็นเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงจากศัตรูที่น่าเกรงขามไปสู่แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์อิสลาม และเป็นตัวอย่างของการยอมจำนนต่อการตัดสินใจของผู้นำแม้จะถูกปลดจากตำแหน่งสูงสุดก็ตาม
#เพิ่มเติมผลกระทบ
การปลด ท่านคอลิด บิน วะลิด ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ประมาณปี ค.ศ. 638) โดย ท่านอุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบ (เคาะลีฟะฮ์คนที่สอง) ถือเป็นการตัดสินใจที่สร้างความตกตะลึงและมีการถกเถียงกันอย่างมากในประวัติศาสตร์อิสลามยุคแรก แต่โดยรวมแล้ว การตัดสินใจดังกล่าวมีผลกระทบที่แตกต่างกันไปต่อกองทัพและเสถียรภาพของผู้นำ ดังนี้
#ผลกระทบต่อเสถียรภาพของผู้นำ (ท่านอุมัร)
1. การตอกย้ำอำนาจของเคาะลีฟะฮ์ (เพิ่มเสถียรภาพ)
นี่คือผลกระทบที่สำคัญที่สุด ท่านอุมัรต้องการส่งสารที่ชัดเจนไปยังทุกฝ่ายว่า:
อำนาจสูงสุดอยู่ที่เคาะลีฟะฮ์: การปลดแม่ทัพผู้ไม่เคยแพ้ใครอย่างคอลิด แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครใหญ่เกินกว่าอำนาจของผู้นำรัฐอิสลาม (เคาะลีฟะฮ์)
#ชัยชนะมาจากอัลลอฮ์: ท่านอุมัรเกรงว่าชาวมุสลิมจะพึ่งพาและยกย่องท่านคอลิดจนกลายเป็น "ลัทธิบูชาบุคคล" (Personality Cult) ซึ่งอาจทำให้พวกเขาเชื่อว่าชัยชนะมาจากตัวบุคคลแทนที่จะมาจากอัลลอฮ์ การปลดท่านคอลิดจึงเป็นการเตือนให้ทุกคนกลับมามุ่งเน้นที่หลักการทางศาสนา
2. #การยอมรับของคอลิด (รักษาเสถียรภาพ)
ท่านคอลิดยอมรับการถูกปลดโดยไม่มีการกบฏหรือต่อต้าน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของผู้นำและรัฐไว้ได้ หากท่านคอลิดตัดสินใจก่อกบฏด้วยบารมีและอิทธิพลที่เขามีในกองทัพ ผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐอิสลามคงจะรุนแรงมาก แต่การกระทำของท่านคอลิดแสดงให้เห็นถึงความภักดีต่อรัฐและต่อท่านเคาะลีฟะฮ์
3. #การจัดการทางการเงิน (เพิ่มเสถียรภาพ)
ส่วนหนึ่งของเหตุผลในการปลดเกี่ยวข้องกับความเข้มงวดของท่านอุมัรในการบริหารทรัพย์สินและสงคราม การปลดท่านคอลิดทำให้ท่านอุมัรสามารถนำระบบการจัดการทางการเงินที่เข้มงวดและเป็นไปตามหลักการเข้ามาใช้ในกองทัพได้เต็มที่ ซึ่งเป็นรากฐานของเสถียรภาพทางการบริหารของรัฐในระยะยาว
#ผลกระทบต่อกองทัพและการสู้รบ
1. ผลกระทบทางขวัญกำลังใจ (ชั่วคราว)
แน่นอนว่าในช่วงแรก ขวัญกำลังใจของทหารบางส่วนย่อมลดลง เพราะท่านคอลิดคือสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ พวกเขากลัวว่าหากไม่มี "ดาบของอัลลอฮ์" อยู่ในแนวหน้า กองทัพจะไม่สามารถเอาชนะข้าศึกได้ นอกจากนี้ ยังมีทหารหลายกลุ่มที่จงรักภักดีต่อท่านคอลิดเป็นการส่วนตัวด้วย
2. #การถ่ายโอนอำนาจที่ราบรื่น (ในระยะยาว)
ท่านอุมัรได้แต่งตั้ง ท่านอบู อุบัยดะฮ์ บิน อัล-ญัรรอฮ์ ซึ่งเป็นเศาะหาบะฮฺ (สหายศาสดา) ที่มีความสุภาพและอ่อนโยน เข้ามาเป็นผู้บัญชาการคนใหม่ และที่สำคัญคือ ท่านคอลิดยังคงอยู่ในกองทัพในฐานะรองแม่ทัพ และให้คำปรึกษาทางยุทธวิธีแก่ท่านอบู อุบัยดะฮ์
#ข้อดี: ทำให้กองทัพยังคงได้รับประโยชน์จากมันสมองทางทหารของท่านคอลิด ในขณะที่การบริหารภาพรวมอยู่ภายใต้การควบคุมของเคาะลีฟะฮ์
#ผลลัพธ์: แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้บังคับบัญชา แต่ชัยชนะก็ยังคงดำเนินต่อไป การพิชิตซีเรียประสบความสำเร็จอย่างงดงาม รวมถึงชัยชนะครั้งใหญ่ที่ยัร มูก ซึ่งพิสูจน์ว่ากองทัพมุสลิมสามารถได้รับชัยชนะโดยไม่จำเป็นต้องมีท่านคอลิดเป็นผู้บัญชาการสูงสุดเสมอไป
สรุป
การปลดท่านคอลิด บิน วะลิด ไม่ได้ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อเสถียรภาพของผู้นำ แต่ในทางตรงกันข้าม กลับช่วยตอกย้ำอำนาจและหลักการปกครองของเคาะลีฟะฮ์อุมัรให้มั่นคงยิ่งขึ้น และในด้านการรบ แม้จะมีความสั่นคลอนในขวัญกำลังใจช่วงแรก แต่เนื่องจากการถ่ายโอนอำนาจเป็นไปอย่างราบรื่น (และการที่ท่านคอลิดยังอยู่ช่วยงาน) จึงทำให้กองทัพยังคงความเข้มแข็งและเดินหน้าทำภารกิจพิชิตดินแดนต่อไปได้สำเร็จ
การตัดสินใจครั้งนี้จึงถือเป็นตัวอย่างสำคัญของการใช้ การบริหารจัดการเชิงหลักการ (Principle-Based Leadership) เหนือ การบริหารจัดการเชิงบุคคล (Personality-Based Leadership) ในยุคแรกของรัฐอิสลามครับ
ชุมพล ศรีสมบัติ รวบรวมนำเสนอ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
โปรดใช้วิจารณญานในการแสดงความคิดเห็น