รูจักซอฺาบะฮ์-อาบีละฮับ ชายที่ถูกสาบแช่ง

ทำไมต้องชื่อ "อาบีละฮับ" ?
      "อาบีละฮับ"เป็นคนหน้าตาดี คมคายสมส่วน ชื่อ "อาบีละฮับ" เป็นชื่อฉายา ที่ผู้คนในยุคนั้นปรุงแต่งขึ้นเพื่อใช้เรียกแทนชื่อจริงของเขา ชื่อจริงของเขาคือ "อับดุลอุซซา" แปลว่า "ผู้รับใช้เทวรูปนามอุซซา"
    "อาบีละฮับ" หมายถึง บิดาแห่งเปลวไฟ เนื่องจากลักษณะสีผิวของเขาค่อนข้างแดง และถ้ายามใดที่เขาโกรธใบหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนเปลวไฟ..นี่คือที่มาของการที่ผู้คนในยุคนั้นตั้งชื่อนี้ให้แก่เขา
     ดังนั้นทำไมอัลกุรอานจึงใช้ชื่อเล่น (อาบูลาฮับ)? แทนการใช้ชื่อจริงของเขา?! มีสองเหตุผล คือ 
1. อัลกุรอานจะไม่ใช้ชื่อ "อับดุล" ที่แปลว่า "ผู้รับใช้ " ให้สิ่งอื่น นอกจากอัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้น 
2. ฉายา (อาบีละฮับ) เป็นฉายาที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้คนในยุคนั้น และคนส่วนมากจะรู้จักฉายามากกว่าชื่อจริงของเขา
     ชายผู้นี้แม้จะมีรูปลักษณ์ที่สวยงาม มีชื่อเสียงเรียงนาม เป็นที่น่านับถือยกย่องในหมู่คนของเขาก็ตาม แต่ทั้งสองอย่างนี้ไม่ได้มีผลอะไรเลยสำหรับพระเจ้า ....

       "อาบู ญะหล์" ชื่อจริงของเขา คือ"อาบาฮะกัม" แปลว่า บิดาแห่งปรีชาญาณ"  เพราะเขามีปัญญาดีและมีภูมิรู้เป็นเลิศ แต่เมื่อเขาปฏิเสธ ไม่เชื่อคำประกาศของนาบี ศ็อลฯ ผู้คนจึงเปลี่ยนชื่อให้เขาว่า "อาบู ญะหล์" แปลว่า "บิดาแห่งความเขลา" และเช่นกันปัญญาดี ภูมิรู้เป็นเลิศของเขา ไม่มีผลอะไรกับพระเจ้าแม้แต่น้อย...

สิ่งนี้มีความหมายอะไร?
    อาบีละฮับ มีลูกสามคน ได้แก่ 
1.อะตะบะห์ 
2. มุตอับ
3.อุตัยบะห์
     สองคนแรกเข้ารับอิสลามในปีที่ศาสดา ศ็อลฯ พิชิตมักกะห์ (ปีที 8 ฮ.ศ.) 
     สำหรับ "อุตัยบะห์ "ไม่ได้รับอิสลามและ "อุมมุล กัลซูม"  ซึ่งเป็นลูกสาวของนบี ศ็อลฯ ก็เป็นภรรยาของเขา และยิ่งไปกว่านั้นพี่สาวของ "อุมุล กัลซูม" ชื่อ "รุก็อยยะห์ "  ก็เป็นภรรยาของ "อุตะบะห์ "(ค่อยๆอ่านจะไม่งง)
    ดังนั้นเมื่อซูเราะห์ "อัลมาซัด" ถูกประทานลงมาประณาม "อาบูละฮับ" เขาพูดกับลูกชายสองคนของเขาว่า: ข้าจะไม่มองเจ้าและจะไมพูดคุยกับเจ้าทั้งสองตลอดไป หากเจ้าทั้งสองไม่หย่าลูกสาวของมูฮัมมัด ...ดังนั้นลูกชายเขาทั้งสองจึงต้องหย่าร้างกับภรรยา เพราะพ่อยื่นคำขาดไว้ว่าจะไม่มองหน้าและไม่คุยด้วย...
     และมีครั้งหนึ่งอุตัยบะห์ (คนที่สาม) ออกเดินทางไปเมืองซีเรียพร้อมพ่อของเขา เขาพูดกับพ่อว่า "ข้าจะไปหามูฮัมมัดและจะทำร้ายตัวเขาและศาสนาเขาให้ได้ !! เขาจึงไปหามูฮัมมัดตามที่เขาตั้งใจไว้ และพูดว่า   
      "โอ้ มุฮัมมัด ข้านี่แหละเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาในดวงดาวถ้ามันดิ่งลงมา และข้านี่แหละผู้ปฏิเสธญิบรีลผู้ที่เข้ามาใกล้จนชิดตัว" 
       จากนั้น เขาถ่มน้ำลายรดหน้ามูฮัมมัด แล้วก็ทำการหย่าลูกสาว(อุมมุลกัลซูม)ของมูฮัมมัดต่อหน้าท่านด้วย 
    บรมศาสดา ศ็อลฯโกรธมาก จึงทำการขอดุอาให้พระเจ้าลงโทษเขาว่า
اللهم سلط عليه كلباً من كلابك
"โอ้อัลลอฮ์ ขอให้สัตว์ดุร้ายของพระองค์ได้มาจับตัวเขาด้วยเถิด" 
      ดังนั้นในระหว่างทางที่เดินทางกลับสิงโตมาจับตัวเขาไปจริง! ดังที่ระบุในฮาดิษอาบูเนาฟัล บินอักร็อบ ในหนังสือฟัตหุลบารี 39/4 ว่า นี่เหตุการณ์หนึ่งที่ดุอาของท่านนาบี ศ็อลฯ ถูกตอบรับจากอัลลอฮ์ ซ.บ.
       
    " อาบูละฮับ" เสียชีวิตหลังสงครามบาดัรสงบและผ่านไปเจ็ดคืน ด้วยโรคติดต่อชนิดกนึ่งเรียกว่า "อัดซะห์"  เป็นโรคที่ชาวอาหรับกลัวมากและมองว่าเป็นลางร้าย เพราะพวกเขาเห็นว่ามันเป็นโรคติดต่อที่รุนแรงที่สุด ในตัฟซีรต็อบรี ระบุว่า เมื่ออาบูละฮับประสบกับโรคนี้ และหลังจากเขาตายไปสามวันแล้วไม่มีใครเข้าใกล้ศพเขาเลย แม้กระทั่งลูกของเขาก็ไม่ยอมเข้าใกล้ จนกระทั่งศพเน่าเหม็นน่าเวทนา
     เมื่อผู้คนกลัวจะอับอายขายหน้า พวกเขาก็ขุดหลุมไว้หนึ่งหลุมสำหรับฝังศพของเขา แล้วจึงทำการผลักร่างไร้วิญญาณของเขาด้วยไม้ท่อนยาว จนกระทั่งศพเขาตกลงไปในหลุม จากนั้นพวกเขาก็โยนก้อนหินใส่ในหลุมเพื่อกลบร่าง ไม่มีใครยอมแบกศพของเขาเลย เพราะกลัวว่าจะติดเชื้อจากโรคดังกล่าว
     " อาบูละฮับ"ประสบกับความพินาศแล้ว เหมือนที่อัลกุรอ่านได้บอกเล่าไว้ และนับว่าเป็นการตายที่เลวร้ายที่สุด ที่อัลกุรอ่านจารึกเอาไว้

ภรรยาของ"อาบูละฮับ"
       นางมีชื่อว่า "อุมมุญะมีล" เธอมีตาพิการข้างหนึ่ง และเป็นคนแรกที่ถูกเรียก "อุมมุกอบีห์" หมายถึง"ผู้อัปลักษณ์" และถูกกล่าวถึงใน ซูเราะห์ "อัลมะซัด"ว่า "หัมมาละตุล หะต็อบ" แปลว่า "ผู้แบกฟืน" หมายถึงผู้แบกฟืนของไฟนรก เพราะนางเคยแบกหนามเป็นมัดๆและนำไปวางในเวลากลางคืนตลอดทางที่ท่านศาสดา ศ็อลฯ เดิน เจตนาเพื่อทำร้ายศาสดา ศ็อลฯ จึงนับว่านางเป็นหญิงอันตรายและเจ้าเล่ห์เหมือนกับสามีของนาง
     และนางจะเดินตระเวนระหว่างผู้คนเพื่อซุบซิบนินทา ยุแหย่ และจุดไฟแห่งความเกลียดชังสร้างความเป็นศัตรูระหว่างพวกเขา
       มีเล่าว่า นางมีสร้อยคออันหรูหราทำมาจากเพชรจินดา และเธอกล่าวว่า "ขอสาบานด้วยลาตและอุซซา ฉันจะใช้จ่ายมันเพื่อสร้างความอาฆาตศัตรูกับมูฮัมหมัด" ดังนั้นในวันกิยามะห์พระเจ้าจึงคล้องคอนาง
ด้วยเชือกที่ถ้กด้วยใยอินทผลัม เพื่อใช้ดึงนางไปสู่นรกญะฮันนัม
     ใน"มุสตัดร็อก 2/393" เล่าว่า "ภรรยาของ "อาบีละฮับ"  เมื่อนางได้ยินสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยเกี่ยวกับนางและสามีของนาง นางตัดสินใจเดินไปหารอซูลลุลลอฮ์ ซึ่งขณะนั้นท่านอยู่ในมัสยิดฮารอมพร้อมกับท่านอาบูบักร และนางก็ได้ถือแผ่นหินที่คมคล้ายกับมีดไปด้วย
    เมื่อนางเข้ามาใกล้รอซูลลุลลอฮ์ ศ็อลฯ อัลลอฮ์ทำให้นางตาบอด มองไม่เห็นท่านรอซูลลุลลอฮ์ ศ็อลฯ เห็นแต่เพียงอาบูบักร์เท่านั้น และนางก็พูดว่า: โอ้อาบูบักร์ บอกฉันมาเถิด ว่าเพื่อนของคุณได้กล่าวตำหนิเสียดสีฉันและสามีของฉัน ใช่มั้ย? และฉันสาบานว่าถ้าฉันพบเขา ฉันจะตีหน้าเขาด้วยหินก้อนนี้ จากนั้นนางจึงร่ายบทกลอนเสียดสีท่านนาบีว่า !
 مُذَمَّماً عصينا 
وأمره أبينا، 
ودينه قلينا 
"ร่วมทัดทาน คนจัญไร "
"ร่วมต่อต้าน  บัญชาสั่ง"
"ร่วมประณาม ธรรมคำสอน"
           จากนั้นนางก็เดินจากไป....อาบูบักร (ร.ด.)กล่าวว่า "โอ้ รอซูลลุลลอฮ์  ท่านเห็นนางไหม? นางได้มองท่านแล้ว รอซูลลุลลอฮ์กล่าวว่า: นางไม่เห็นฉันหรอก พระเจ้าทำให้สายตาของนางบอดไปจากฉัน"

ข้อคิด
- พระองค์ได้ประทานซูเราะห์หนึ่งคือซูเราะห์"อัลมะซัด"ซึ่งถูกอ่านจนกระทั่งถึงวันกิยามะห์ เพื่อเป็นคำตักเตือนและเป็นบทเรียนสำหรับผู้ชายและผู้หญิงทุกคน ที่มีแผนงานอันชั่วร้ายและมีแผนการเพื่อทำร้ายคนอื่นและยังเป็นบทเรียนทุกคนที่ขัดขวางผู้อื่นจากความดีงาม 
 -​ บรรพบุรุษของ"อาบูละฮับ" และ "อุมมีละฮับ"ในยุคของเรานี้! ช่างมากมายนัก! ที่มีผู้ต่อต้านแนวทางแห่งสัจธรรม มากมายนักมีผู้ซุบซิบนินทาในหมู่คนเพื่อหว่านความเกลียดชังและความอริระหว่างผู้ศรัทธาชายและหญิง!
 -​ ควรใช้บทเรียน จาก"นางแบกฟืน" เป็นผู้หญิงที่โหดเหี้ยมซึ่งพระเจ้าได้บรรยายไว้ด้วยคำอธิบายที่น่าเกลียด ทั้งนี้เพื่อย้ำเตือนเราว่าอย่าทำตามพฤติกรรมของนางและอย่าเดินตามแนวทางของเธอ

اللهَ أسال أن يَحْفظنا وعوائِلَنا من الظُّلم والفساد،
cr.ห้องไลน์
ชุมพล ศรีสมบัติ รวบรวมนำเสนอ

ความคิดเห็น