เนื้อกุรบ่าน อนุญาติให้คนต่างศาสนิกรับทานหรือไม่ มีหลักฐานหรือข้อกำหนดอะไร? มูอัลลัฟที่ไม่ใช่มุสลิมรับซะกาตได้ใหม
เรื่องการอนุญาตให้คนต่างศาสนิกรับประทานเนื้อกุรบ่านนั้น โดยรวมแล้ว นักวิชาการอิสลามส่วนใหญ่อนุญาต และถือเป็นสิ่งที่ส่งเสริม เนื่องจากมีหลักฐานและข้อกำหนดดังนี้:
หลักฐานและข้อกำหนด:
. การอนุญาตทั่วไปสำหรับคนต่างศาสนิกที่ไม่ได้ทำสงคราม (กาฟิร มุอาฮัด หรือ มุสตะมัน):
นักวิชาการหลายท่าน เช่น อิมามอะบูหะนีฟะฮ์ (มัซฮับฮานาฟีย์) และอิมามอะห์มัด (มัซฮับฮัมบาลีย์) รวมถึงนักวิชาการร่วมสมัย เช่น เชค อิบนุ บาซ ได้ให้ทัศนะว่า อนุญาต ให้เนื้อกุรบ่านแก่คนต่างศาสนิกที่ไม่ได้เป็นศัตรู หรือไม่ได้ทำสงครามกับมุสลิม (เช่น ต่างศาสนิกที่อาศัยอยู่ในประเทศอิสลามด้วยความสงบ, เพื่อนบ้าน, ญาติ, หรือผู้ที่มีสนธิสัญญาสงบศึก)
เหตุผลคือ เนื้อกุรบ่านถือเป็นการบริจาคทานที่เป็นสุนัต (ไม่บังคับ) และของกำนัล ซึ่งสามารถมอบให้กับคนต่างศาสนิกได้ เช่นเดียวกับการบริจาคทานทั่วไปที่ให้แก่ผู้ยากไร้ไม่ว่าศาสนาใด
. มีรายงานว่าท่านอับดุลลอฮ์ บิน อัมร์ ได้สั่งให้มอบเนื้อแก่เพื่อนบ้านชาวยิวของท่าน โดยอ้างถึงการกำชับเรื่องเพื่อนบ้านอย่างมาก
จากท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ)
วัตถุประสงค์ในการให้:
. การให้นั้นอาจทำเพื่อ แสดงความเมตตา, สร้างความสัมพันธ์ที่ดี, สร้างความเป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน หรือเพื่อโน้มน้าวหัวใจของเขาสู่ศาสนาอิสลาม (ดะอ์วะฮ์) ซึ่งสอดคล้องกับโองการในอัลกุรอานที่ว่า:
"อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าในการทำความดีและเป็นธรรมต่อบรรดาผู้ที่มิได้ต่อสู้พวกเจ้าในเรื่องศาสนา และมิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้ที่เป็นธรรม" (อัล-มุมตะหินะฮ์ 60:8)
ส่วนแบ่งเนื้อกุรบ่าน:
โดยทั่วไป เนื้อกุรบ่านมักจะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน:
ส่วนที่ 1: สำหรับเจ้าของกุรบ่านและครอบครัว
ส่วนที่ 2: สำหรับเพื่อน, ญาติ, และเพื่อนบ้าน
ส่วนที่ 3: สำหรับคนยากจนและขัดสน
ส่วนที่สามารถมอบให้คนต่างศาสนิกได้คือ ส่วนที่เป็นของกำนัล (ส่วนที่ 2) และส่วนของเจ้าของกุรบ่านเอง (ส่วนที่ 1)
ส่วนที่เป็นซะกาต/ทานบังคับ (เช่น กุรบ่านที่เป็นวายิบ-บังคับ หรือการบริจาคที่เป็นวายิบ) นักวิชาการบางท่านเห็นว่าไม่ควรมอบให้คนต่างศาสนิกเหมือนกับซะกาต แต่สำหรับกุรบ่านที่เป็นสุนัต (โดยทั่วไป) นั้นอนุญาต
สรุป:
อนุญาตให้มอบเนื้อกุรบ่านแก่คนต่างศาสนิกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาเป็นเพื่อนบ้าน ญาติ หรือผู้ยากไร้ และไม่ได้เป็นศัตรูกับมุสลิม ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความเข้าใจและแสดงถึงความเมตตาของอิสลาม
คำถาม ในเรื่องซะกาต 8 ประเภท มีหนึ่งประเภทคือมูอัลลัฟ ที่สามารถรับซะกาตได้ ควา หมายของมูอัลลัฟที่ไม่ได้เป็นมุสลิมสามารถรับซะกาตในส่วนนี้ได้หรือไม่?
คำตอบคือ ใช่ ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นมุสลิมสามารถรับซะกาตในส่วนของ "มูอัลลัฟฟะฮ์ กูลูบุฮุม" (المؤلفة قلوبهم) ได้ ตามทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่
ความหมายของ "มูอัลลัฟฟะฮ์ กูลูบุฮุม"
. คำว่า "มูอัลลัฟฟะฮ์ กูลูบุฮุม" (Mualafat al-Qulub) หรือ มูอัลลัฟ ในบริบทของซะกาต หมายถึง ผู้ที่ต้องการได้รับการโน้มน้าวหรือจูงใจให้หันมารับอิสลาม หรือผู้ที่เพิ่งเข้ารับอิสลามและต้องการการสนับสนุนให้จิตใจมั่นคง
มูอัลลัฟที่ยังไม่เป็นมุสลิม
ในอดีตและตามทัศนะทางนิติศาสตร์อิสลาม (ฟิกฮ์)
"มูอัลลัฟ" ถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งรวมถึง:
. ผู้ที่ไม่ได้เป็นมุสลิม แต่มีความโน้มเอียงไปในทางอิสลาม: คือ กาฟิร (ผู้ปฏิเสธศรัทธา) ที่ได้รับซะกาตเพื่อจูงใจให้เขายอมรับอิสลาม หรือเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากพวกเขา
ผู้ที่เพิ่งเข้ารับอิสลาม (มุสลิมใหม่): คือผู้ที่ได้รับซะกาตเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางจิตใจให้ศรัทธาของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น
ดังนั้น ตามความหมายดั้งเดิมและวัตถุประสงค์ของซะกาตประเภทนี้ ผู้ที่ไม่ได้เป็นมุสลิมจึงสามารถรับซะกาตได้ หากการให้นั้นมีจุดประสงค์เพื่อ โน้มน้าวให้เขารับอิสลาม หรือเพื่อประโยชน์ของมุสลิมโดยรวม เช่น การป้องกันการก่อความไม่สงบ
สถานการณ์ปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการบางส่วน รวมถึงผู้นำบางท่านในอดีต เห็นว่าบัญชี "มูอัลลัฟฟะฮ์ กูลูบุฮุม" นั้นถูกยกเลิกไปแล้ว (แต่ทัศนะนี้ไม่เป็นที่ยอมรับโดยเอกฉันท์)
. ส่วนนักวิชาการร่วมสมัยส่วนใหญ่ยังคงยืนยันว่า บัญชีนี้ยังคงใช้ได้ แต่การตัดสินใจว่าจะให้ซะกาตแก่ผู้ที่ไม่ได้เป็นมุสลิมเพื่อโน้มน้าวใจหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้นำหรือผู้บริหารซะกาต โดยต้องพิจารณาถึงผลประโยชน์สูงสุดต่ออิสลามในเวลานั้นๆ
. ดังนั้น หากมีการพิจารณาว่าการให้ซะกาตแก่ผู้ที่ยังไม่เป็นมุสลิมจะเกิดประโยชน์ต่อการเผยแผ่อิสลามจริง ก็สามารถทำได้ตามหลักการของซะกาต 8 ประเภท .
วัลลอฮูอลัม
สรปหรือรวมสองบทความที่กล่าวมาแล้ว มีผลดี ผลกระทบ ข้อดีข้อเสียงอย่างไร ในสังคมที่มีความหลากหลายทั้งศาสนา ชาติพันธ์ มุสลิมจะมีวิธีจัดการอย่างไร?
ในสังคมที่มีความหลากหลายทั้งศาสนาและชาติพันธุ์ การจัดการเนื้อกุรบ่านและซะกาตที่กล่าวมาข้างต้น มีผลกระทบและข้อพิจารณาที่สำคัญต่อการอยู่ร่วมกัน ดังนี้ครับ
สรุปหลักการจากบทความก่อนหน้า
เนื้อกุรบ่าน:
หลักการคือ "อนุญาต" ให้มอบแก่คนต่างศาสนิกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ไม่ใช่การบริจาคทานบังคับ (วายิบ) แต่เป็นส่วนของของกำนัล (ฮะดียะฮ์) หรือส่วนของเจ้าของกุรบ่านเอง
วัตถุประสงค์: เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี, ความเป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน, และการโน้มน้าวใจ (ดะอ์วะฮ์)
ซะกาต (ประเภทมูอัลลัฟฟะฮ์ กูลูบุฮุม):
หลักการคือ "อนุญาต" ให้มอบแก่ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นมุสลิมได้ หากมีจุดประสงค์เพื่อจูงใจให้เขารับอิสลาม หรือเพื่อประโยชน์ต่อชุมชนมุสลิม (เช่น ป้องกันภัย)
วัตถุประสงค์: เพื่อโน้มน้าวและเสริมสร้างความมั่นคงของอิสลาม
ผลดีและข้อดีในสังคมหลากหลาย
การกระทำ ผลดี/ข้อดี (ต่อสังคมหลากหลาย)
การให้เนื้อกุรบ่านแก่คนต่างศาสนิก
1. สร้างมิตรภาพและความเข้าใจ: ลบล้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอิสลาม (Islamophobia) และแสดงออกถึงความเมตตา (เราะห์มะฮ์) ของศาสนา
2. เสริมสร้างความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี: สอดคล้องกับคำสอนที่เน้นย้ำสิทธิ์ของเพื่อนบ้านไม่ว่าจะมีศาสนาใด
3. เป็นสะพานสู่การดะอ์วะฮ์ (การเผยแผ่): การให้ด้วยความดีงามเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเชิญชวนผู้อื่นสู่อิสลาม
การให้ซะกาตแก่ "มูอัลลัฟ" ที่ไม่ได้เป็นมุสลิม
1. การลงทุนทางสังคม: เป็นการใช้ทรัพยากรทางศาสนาเพื่อสร้างความสงบสุขและความร่วมมือกับกลุ่มที่อาจเป็นภัยหรือมีอิทธิพลต่อสังคม
2. แสดงการสนับสนุนมนุษย์: แสดงให้เห็นว่าอิสลามให้ความสำคัญกับการจูงใจคนด้วยความเข้าใจและการให้ แทนการบีบบังคับ
ผลกระทบและข้อควรระวัง
การกระทำ ผลกระทบ/ข้อควรระวัง
การให้เนื้อกุรบ่าน ความเข้าใจทางศาสนา: อาจเกิดความเข้าใจผิดในหมู่มุสลิมบางกลุ่มที่เคร่งครัดในมัซฮับที่เข้มงวดกว่า ซึ่งเห็นว่าไม่ควรให้แก่คนต่างศาสนิก (แม้จะเป็นทัศนะส่วนน้อย)
วิธีจัดการคือการอธิบายหลักการที่ยืดหยุ่นของฟิกฮ์ (นิติศาสตร์อิสลาม)
การให้ซะกาต (มูอัลลัฟ) ความโปร่งใสและการจัดลำดับความสำคัญ: ผู้บริหารซะกาตต้องมั่นใจว่าการให้แก่ผู้ที่ยังไม่เป็นมุสลิมนั้น เป็นประโยชน์ต่ออิสลามอย่างแท้จริง และ ไม่ส่งผลกระทบ ต่อการจัดสรรให้แก่ผู้ยากไร้ที่เป็นมุสลิมในบัญชีอื่น ๆ (เช่น ฟุเกาะรออ์ - คนจน) เพราะซะกาตมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยเหลือ
มุสลิม
แนวทางการจัดการของมุสลิมในสังคมหลากหลาย
. เพื่อให้การปฏิบัติศาสนกิจเหล่านี้ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและมีประสิทธิภาพ มุสลิมควรมีแนวทางการจัดการดังนี้:
ยึดหลักความเมตตาและมิตรภาพ: ใช้การให้เนื้อกุรบ่านเป็น โอกาสในการเชื่อมสัมพันธ์ และแสดงให้เห็นว่าหลักการบริจาคทานของอิสลามไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแค่ภายในกลุ่มศาสนาเท่านั้น (ตราบใดที่ยังคงหลักการทางศาสนาไว้)
บริหารซะกาตอย่างรอบคอบ: ผู้บริหารซะกาตจะต้องใช้ดุลยพินิจตามหลัก "มัศลาฮะฮ์" (ผลประโยชน์ส่วนรวม) ในการพิจารณาจัดสรรซะกาตในบัญชีมูอัลลัฟ โดยต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความต้องการของผู้ยากไร้ที่เป็นมุสลิม กับประโยชน์ที่ได้จากการโน้มน้าวกลุ่มเป้าหมาย
การสื่อสารและให้ความรู้: มุสลิมในชุมชนควรให้ความรู้แก่กันและกันเกี่ยวกับ ความยืดหยุ่นและความหลากหลายของทัศนะทางนิติศาสตร์อิสลาม (เช่น ทัศนะของมัซฮับฮานาฟีย์และฮัมบาลีย์ที่อนุญาตให้ให้แก่คนต่างศาสนิก) เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งภายใน
เน้นความเป็นธรรม (อัดล์): ปฏิบัติตามโองการในซูเราะห์อัล-มุมตะหินะฮ์ (60:8) ด้วยการ "ทำความดีและเป็นธรรม" กับคนต่างศาสนิกที่ไม่ได้เป็นศัตรู ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
การจัดการที่ชาญฉลาดในสองเรื่องนี้ทำให้มุสลิมสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมบทบาทของตนในฐานะ "เราะห์มะตัน ลิลอาละมีน" (ความเมตตาสำหรับสากลโลก) ในสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลาย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
โปรดใช้วิจารณญานในการแสดงความคิดเห็น