โดย Bin Musa นำเสนอ
ต้นกำเนิด
แนวคิดวะฮาบีมีต้นกำเนิดในคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยอิหม่ามมูฮัมหมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ (Muhammad ibn Abd al-Wahhab) ในภูมิภาคนัจญ์ (Najd) ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศซาอุดีอาระเบีย เขาต้องการ "ฟื้นฟู" อิสลามให้กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ตามแบบอย่างของยุคแรกเริ่มของศาสนา (Salaf) โดยเน้นหลักการที่สำคัญดังนี้:
* เตาฮีด (Tawhid): การยึดมั่นในพระเจ้าองค์เดียวอย่างแท้จริง แนวคิดนี้ต่อต้านการปฏิบัติที่เขาเห็นว่าเป็นการตั้งภาคีกับพระเจ้า (ชิริก - shirk) เช่น การขอพรจากผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว การเคารพหลุมฝังศพของนักบุญ หรือการทำพิธีที่ไม่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะฮ์ (คำสอนและแบบอย่างของท่านศาสดามูฮัมหมัด)
* การปฏิเสธ "นวัตกรรม" (Bid'ah): การต่อต้านการปฏิบัติหรือพิธีกรรมทางศาสนาที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ภายหลังยุคของท่านศาสดา ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ศาสนาเสื่อมเสียความบริสุทธิ์
* การกลับไปสู่คัมภีร์หลัก: การเน้นการตีความคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะฮ์อย่างตรงไปตรงมาและเคร่งครัด โดยปฏิเสธการตีความที่ซับซ้อนหรืออิทธิพลจากปรัชญาและศาสตร์แขนงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคหลัง
แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนทางการเมืองจากมูฮัมหมัด อิบนุ ซะอูด (Muhammad ibn Saud) ผู้นำตระกูลซะอูด ซึ่งเป็นรากฐานของการก่อตั้งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียในเวลาต่อมา
ผลกระทบต่อสังคมมุสลิมโดยรวม
แนวคิดวะฮาบีมีผลกระทบที่กว้างขวางและหลากหลายต่อสังคมมุสลิมทั่วโลก ทั้งในเชิงบวกและลบ:
ผลกระทบด้านบวก (ตามมุมมองของผู้นับถือ)
* การฟื้นฟูอิสลาม: แนวคิดนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดขบวนการฟื้นฟูอิสลามในหลายพื้นที่ โดยเน้นการกลับไปสู่หลักคำสอนพื้นฐานและส่งเสริมการศึกษาศาสนา
* ความสามัคคีในหลักการพื้นฐาน: การเน้นย้ำเรื่องเตาฮีดและหลักการอิสลามที่สำคัญ ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมกันในหมู่ผู้ศรัทธาที่ต้องการหลีกเลี่ยงการปฏิบัติที่ผิดเพี้ยนไปจากแนวทางดั้งเดิม
ผลกระทบด้านลบและคำวิจารณ์
* ความสุดโต่งและไม่ยอมรับความแตกต่าง: แนวคิดวะฮาบีถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีความเข้มงวดและสุดโต่ง ทำให้เกิดความไม่ยอมรับต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรมและประเพณีที่ผสมผสานกับอิสลามในแต่ละท้องถิ่น
* ความรุนแรงและการก่อการร้าย: นักวิชาการหลายคนมองว่าการตีความที่เคร่งครัดของแนวคิดวะฮาบี โดยเฉพาะเรื่องการประกาศว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา (กุฟร์ - kufr) ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มหัวรุนแรงและกลุ่มก่อการร้ายหลายกลุ่ม เช่น อัลกออิดะห์ (al-Qaeda) และไอเอส (ISIS) แม้ว่าทางการซาอุดีอาระเบียจะพยายามปฏิรูปภาพลักษณ์ของตัวเองในปัจจุบันก็ตาม
* การทำลายมรดกทางวัฒนธรรม: การต่อต้านการบูชาวัตถุหรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาได้นำไปสู่การทำลายสุสาน อนุสาวรีย์ และโบราณสถานทางศาสนาที่สำคัญในอดีต รวมถึงการทำลายสุสานของบรรดาเศาะฮาบะฮ์ (ผู้ใกล้ชิดท่านศาสดา) ในเมืองมะดีนะฮ์
* อิทธิพลทางการเมือง: ด้วยความที่ราชวงศ์ซะอูดนำแนวคิดวะฮาบีมาใช้เป็นแนวทางหลักของรัฐ และใช้เงินทุนจำนวนมหาศาลจากการส่งออกน้ำมันในการเผยแพร่แนวคิดนี้ผ่านการสร้างมัสยิดและโรงเรียนสอนศาสนาทั่วโลก ทำให้แนวคิดนี้มีอิทธิพลอย่างกว้างขวางและส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมุสลิมในหลายประเทศ
* ผลกระทบต่อสิทธิสตรี: แนวคิดนี้ถูกวิจารณ์ว่ามีส่วนทำให้เกิดข้อจำกัดในเรื่องสิทธิและบทบาทของผู้หญิงในสังคม เช่น การจำกัดการเดินทาง การทำงาน และการมีส่วนร่วมในชีวิตสาธารณะโดยไม่มีผู้ดูแลชาย (มะฮฺรอม - mahram)
โดยสรุปแล้ว แนวคิดวะฮาบีเป็นขบวนการฟื้นฟูศาสนาที่เกิดขึ้นในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อชำระล้างอิสลามจากสิ่งปะปน แต่การตีความที่เข้มงวดและไม่ยอมรับความแตกต่างได้สร้างผลกระทบที่กว้างขวางต่อโลกมุสลิม โดยเฉพาะในด้านการเมืองและสังคม และยังเป็นหนึ่งในประเด็นที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งและความแตกแยกภายในชุมชนมุสลิมเอง
แนวทางในการอยู่ร่วมกันในสังคมแนวคิดวาฮาบี สามารถนำพาสังคมมุสลิมเป็นเอกภาพใหม
แนวทางของวะฮาบี ซึ่งเป็นแนวคิดที่เข้มงวดและมุ่งเน้นการปฏิรูปศาสนาอิสลามให้บริสุทธิ์ตามความเชื่อของตนนั้น เป็นเรื่องยากที่จะนำพาสังคมมุสลิมไปสู่ความเป็นเอกภาพได้โดยสมบูรณ์ เนื่องจากธรรมชาติของแนวคิดนี้เองที่สร้างความแตกต่างและข้อขัดแย้งกับมุสลิมกลุ่มอื่นๆ
เหตุผลที่ทำให้การสร้างเอกภาพเป็นไปได้ยาก
* การไม่ยอมรับความหลากหลาย: แนวคิดวะฮาบีมักจะมองว่าการตีความอิสลามในรูปแบบอื่นๆ รวมถึงประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมเป็น "บิดอะห์" (สิ่งแปลกปลอมที่เพิ่มเข้ามาในศาสนา) หรือแม้กระทั่ง "ชิริก" (การตั้งภาคีกับพระเจ้า) ซึ่งเป็นบาปใหญ่ในอิสลาม ทัศนคตินี้ทำให้เกิดการแบ่งแยกและไม่ยอมรับซึ่งกันและกันอย่างรุนแรงกับมุสลิมกลุ่มอื่นๆ เช่น ซูฟี, ชีอะห์, หรือแม้แต่มุสลิมสุหนี่ที่ปฏิบัติตามสำนักคิดทางศาสนา (มัซฮับ) อื่นๆ
* การผูกขาดความจริง: แนวคิดวะฮาบีมักจะอ้างว่าแนวทางของตนคือการตีความอิสลามที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว การผูกขาดความจริงนี้ทำให้ยากต่อการเจรจาหรือหาจุดร่วมกับมุสลิมกลุ่มอื่นที่ต่างก็เชื่อว่าแนวทางของตนก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องเช่นกัน
* ประวัติความขัดแย้งและความรุนแรง: ประวัติศาสตร์ของการขยายอิทธิพลของแนวคิดวะฮาบีมักจะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองและการใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งสร้างบาดแผลและความไม่ไว้วางใจในชุมชนมุสลิมกลุ่มอื่นอย่างลึกซึ้ง
* อิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจ: การที่แนวคิดวะฮาบีได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐซาอุดีอาระเบียเพื่อเผยแพร่ไปทั่วโลก ทำให้เกิดความรู้สึกว่าแนวคิดนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการขยายอิทธิพลมากกว่าเป็นเพียงการฟื้นฟูศาสนาอย่างบริสุทธิ์ใจ ซึ่งยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยและความขัดแย้งมากขึ้น
เส้นทางสู่เอกภาพที่แท้จริง
ความเป็นเอกภาพของสังคมมุสลิมอาจไม่ได้เกิดขึ้นจากแนวคิดที่ต้องการ "ลบล้าง" ความแตกต่าง แต่ต้องมาจากการยอมรับความหลากหลายและการเคารพซึ่งกันและกันในฐานะพี่น้องร่วมศรัทธา แนวทางที่น่าจะนำไปสู่เอกภาพมากกว่าคือ:
* การเน้นย้ำในหลักการพื้นฐานที่ทุกคนยอมรับ: เช่น การศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว, ท่านศาสดามูฮัมหมัด, คัมภีร์อัลกุรอาน และหลักปฏิบัติสำคัญทั้ง 5 ประการ
* การส่งเสริมการพูดคุยและทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน: แทนที่จะตัดสินว่าใครผิดหรือถูก ควรเปิดพื้นที่ให้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นและเรียนรู้ความหลากหลายของมุมมองในหมู่มุสลิม
* การแยกศาสนาออกจากการเมือง: การลดการใช้อำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจในการเผยแพร่แนวคิดศาสนา จะช่วยให้เกิดการพูดคุยที่เท่าเทียมและบริสุทธิ์ใจมากขึ้น
ในท้ายที่สุดแล้ว แนวคิดวะฮาบีเป็นหนึ่งในแนวทางปฏิรูปที่เข้มงวดซึ่งมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์และปัจจุบันของโลกมุสลิม แต่ด้วยความไม่ยืดหยุ่นและไม่ยอมรับความแตกต่าง ทำให้แนวทางนี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสร้างความเป็นเอกภาพของประชาชาติอิสลามโดยรวม
ผู้ก่อตั้งแนวคิดนี้เริ่มจากสมัยใด และมีผลกระทบต่อสังคมมุสลิมในยุคนั่นอย่างไร?
แนวคิดวะฮาบีมีจุดเริ่มต้นในศตวรรษที่ 18 โดยอิหม่ามมูฮัมหมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ (Muhammad ibn Abd al-Wahhab) ในภูมิภาคนัจญ์ (Najd) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรอาหรับในปัจจุบัน เขาเป็นนักวิชาการศาสนาที่ต้องการปฏิรูปอิสลามให้กลับคืนสู่หลักการที่บริสุทธิ์ตามแบบอย่างของยุคแรกเริ่ม โดยมีแนวคิดสำคัญคือ การยึดมั่นในพระเจ้าองค์เดียวอย่างเคร่งครัดและปฏิเสธสิ่งแปลกปลอมหรือ "นวัตกรรม" (Bid'ah) ที่เขาเห็นว่าทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย
ผลกระทบต่อสังคมมุสลิมในยุคนั้น
ในยุคแรกเริ่ม แนวคิดของอิบนุ อับดุลวะฮาบถูกมองว่าเป็นสิ่งใหม่ที่สร้างความขัดแย้งอย่างมากในสังคมมุสลิมท้องถิ่น เพราะเขามองว่าการปฏิบัติหลายอย่างที่แพร่หลายในยุคนั้น เช่น การขอพรจากหลุมฝังศพของนักบุญ หรือการเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เป็นการตั้งภาคีกับพระเจ้า (ชิริก) ซึ่งเป็นบาปใหญ่
ผลกระทบสำคัญในช่วงเวลานั้นสามารถสรุปได้ดังนี้:
* การจับมือกับผู้นำทางการเมือง: แนวคิดของอิบนุ อับดุลวะฮาบเริ่มมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางเมื่อเขาได้ทำพันธมิตรกับมูฮัมหมัด อิบนุ ซะอูด (Muhammad ibn Saud) ผู้ปกครองท้องถิ่นในเมืองดิริยะห์ (Dir'iyah) ในปี ค.ศ. 1744 พันธมิตรนี้เป็นจุดเริ่มต้นของราชวงศ์ซะอูดและเป็นรากฐานของรัฐซาอุดีอาระเบียในเวลาต่อมา
* การขยายอำนาจด้วยศาสนาและการเมือง: ราชวงศ์ซะอูดใช้แนวคิดวะฮาบีเป็นอุดมการณ์ในการรวบรวมและขยายอำนาจทางการเมืองไปทั่วคาบสมุทรอาหรับ พวกเขาประกาศสงครามกับผู้ที่ถูกมองว่าเป็นผู้ไม่ศรัทธาหรือไม่เห็นด้วยกับแนวทางของวะฮาบี ซึ่งรวมถึงมุสลิมกลุ่มอื่นๆ และใช้แนวคิดนี้เป็นเครื่องมือในการปกครอง
* การเปลี่ยนแปลงวิถีปฏิบัติทางศาสนา: ในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้อำนาจของราชวงศ์ซะอูด การปฏิบัติทางศาสนาที่เคยแพร่หลาย เช่น การเคารพหลุมฝังศพของบุคคลสำคัญทางศาสนา ถูกสั่งห้ามและทำลายทิ้ง เนื่องจากแนวคิดวะฮาบีมองว่าเป็นการตั้งภาคีกับพระเจ้า
* ความขัดแย้งกับมุสลิมกลุ่มอื่นๆ: แนวคิดนี้ทำให้เกิดความตึงเครียดและความขัดแย้งกับจักรวรรดิออตโตมันซึ่งปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกมุสลิมในขณะนั้น และเป็นแนวคิดหลักของมุสลิมนิกายซุนนีที่ไม่ได้เคร่งครัดเท่า แนวคิดวะฮาบีถูกมองว่าเป็นกลุ่มหัวรุนแรงและแตกแยกออกจากกระแสหลัก
สรุปได้ว่า ในยุคแรกเริ่ม แนวคิดวะฮาบีไม่ได้เป็นเพียงขบวนการทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองที่ทรงพลังซึ่งได้นำไปสู่การก่อตั้งรัฐแรกของราชวงศ์ซะอูด และสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งในด้านศาสนา การเมือง และสังคมในคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของอิทธิพลที่แผ่ขยายไปทั่วโลกมุสลิมในเวลาต่อมา
ในโลกของอุลามะห์ส่วนใหญ่ ผู้รู้ในอิสลาม มองแนวคิดนี้เช่นไร?
มุมมองของอุละมะฮ์ (ผู้รู้ในอิสลาม) ส่วนใหญ่ที่มีต่อแนวคิดวะฮาบีนั้น
มีความหลากหลายและซับซ้อนอย่างยิ่ง ไม่ได้มีเพียงมุมมองเดียวที่เป็นเอกฉันท์ แต่โดยรวมแล้วมักจะมีความเห็นที่แตกต่างและเป็นปฏิปักษ์กับแนวทางหลักของมุสลิมส่วนใหญ่
กลุ่มที่วิพากษ์วิจารณ์และต่อต้าน อุละมะฮ์ส่วนใหญ่จากสำนักคิดกระแสหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงอย่าง มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรในอียิปต์ และกลุ่มมุสลิมในตุรกีและมาเลเซีย มักจะมองว่าแนวคิดวะฮาบีเป็น แนวคิดที่ก่อให้เกิดความแตกแยกและไม่ยืดหยุ่น โดยมีข้อวิจารณ์หลักๆ ดังนี้:
* การตัดสินผู้อื่นว่าเป็นกาฟิรฺ (ผู้ปฏิเสธศรัทธา): นักวิชาการหลายท่านชี้ว่า แนวคิดวะฮาบีมักจะตัดสินว่าผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางของตนเป็น "กาฟิรฺ" หรือ "มุชริก" (ผู้ตั้งภาคีกับพระเจ้า) ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะการตัดสินเช่นนี้เป็นสิทธิของพระเจ้าเท่านั้น และเป็นต้นตอของความขัดแย้งและความรุนแรง
* การต่อต้านประเพณีและวัฒนธรรม: วะฮาบีปฏิเสธการปฏิบัติทางศาสนาที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี เช่น การจัดงานเมาลิด (วันประสูติของท่านศาสดา) การขอพรจากหลุมฝังศพ หรือการสร้างอนุสรณ์สถานสำคัญ ซึ่งอุละมะฮ์กระแสหลักมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมอิสลามที่ไม่ได้ขัดแย้งกับหลักการสำคัญ
* ความสุดโต่งและหัวรุนแรง: อุละมะฮ์จำนวนไม่น้อยเชื่อว่าการตีความอัลกุรอานและหะดีษอย่างเคร่งครัดและตรงตัวโดยปราศจากการพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์และสังคม ได้นำไปสู่แนวคิดสุดโต่งและเป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มก่อการร้ายหลายกลุ่ม
* การทำลายมรดกทางวัฒนธรรม: แนวคิดที่ห้ามการเคารพสิ่งปลูกสร้างหรือสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของอิสลาม ทำให้เกิดการทำลายโบราณสถานหลายแห่งในเมืองศักดิ์สิทธิ์อย่างมักกะฮ์และมะดีนะฮ์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการทำลายประวัติศาสตร์ของอิสลาม
กลุ่มที่เห็นด้วยและสนับสนุน
ในขณะเดียวกัน ก็มีอุละมะฮ์และนักวิชาการบางส่วนที่มองว่าแนวคิดวะฮาบีเป็น ขบวนการปฏิรูปอิสลามที่สำคัญ โดยมองว่า:
* เป็นการกลับสู่ความบริสุทธิ์ของอิสลาม: พวกเขามองว่าอิหม่ามมูฮัมหมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ ได้ทำหน้าที่ "ฟื้นฟู" อิสลามให้กลับมาบริสุทธิ์จากสิ่งแปลกปลอมที่ถูกนำมาผสมผสานในยุคหลัง และเป็นการปลดเปลื้องมุสลิมจากการปฏิบัติที่ผิดหลักการ
* การยึดมั่นในคัมภีร์หลักอย่างเคร่งครัด: พวกเขาสนับสนุนการกลับไปสู่หลักฐานจากอัลกุรอานและหะดีษโดยตรง แทนที่จะยึดติดกับหลักนิติศาสตร์ของสำนักคิด (มัซฮับ) ที่ถูกสร้างขึ้นมาในยุคกลาง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของกลุ่มสะละฟี (Salafi) ซึ่งเป็นที่นิยมในบางพื้นที่
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าแนวคิดวะฮาบีจะมีผู้นับถือจำนวนมากและได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐซาอุดีอาระเบีย แต่ในสายตาของอุละมะฮ์ส่วนใหญ่ในโลกอิสลาม แนวคิดนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ สร้างความขัดแย้งและไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นแนวทางหลัก ที่จะนำพาประชาชาติอิสลามไปสู่ความเป็นเอกภาพได้
ผู้ยึดถือแนวทางวาฮาบีกับพฤติกรรมที่แสดงออกต่อสังคมมุสลิมเป็นเช่นไร ในประเทศไทย มุสลิมส่วนใหญมองแนวคิดนี้อย่างไร
ผู้ยึดถือแนวทางวะฮาบีมีพฤติกรรมที่แสดงออกต่อสังคมมุสลิมโดยรวมในหลายรูปแบบ ซึ่งสะท้อนถึงหลักการสำคัญของแนวคิดนี้: การชำระล้างอิสลามให้บริสุทธิ์ การยึดมั่นในอัลกุรอานและซุนนะฮ์อย่างเคร่งครัด และการต่อต้านสิ่งแปลกปลอม (บิดอะฮ์)
พฤติกรรมที่แสดงออกต่อสังคมมุสลิม
* การปฏิเสธพิธีกรรมและประเพณีท้องถิ่น: ผู้ยึดถือแนวคิดวะฮาบีมักจะปฏิเสธการปฏิบัติทางศาสนาที่ไม่ได้มีรากฐานมาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ในยุคแรกเริ่ม เช่น การจัดงานเมาลิด (วันประสูติของท่านศาสดา) การเคารพหลุมฝังศพของนักบุญ หรือการทำพิธีทางศาสนาบางอย่างที่ผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิม พวกเขามองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย
* การวิพากษ์วิจารณ์และตัดสินมุสลิมกลุ่มอื่น: เนื่องจากความเชื่อที่ว่าแนวทางของตนคือความถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว ผู้ยึดถือแนวคิดนี้บางกลุ่มจึงมีแนวโน้มที่จะวิพากษ์วิจารณ์และตัดสินว่ามุสลิมที่ไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางของตนนั้นเป็นผู้ที่หลงผิด หรือแม้กระทั่งเป็น "กาฟิรฺ" (ผู้ปฏิเสธศรัทธา) ซึ่งเป็นต้นตอของความขัดแย้งภายในชุมชนมุสลิม
* การเน้นการแต่งกายและรูปลักษณ์ภายนอก: มักจะมีการให้ความสำคัญกับรูปแบบการแต่งกายที่เคร่งครัดและตรงตามแนวทางที่พวกเขาเชื่อว่ามาจากยุคแรกของอิสลาม เช่น การสวมใส่เสื้อผ้าแบบอะราบิก การไว้เครา หรือการคลุมฮิญาบในรูปแบบเฉพาะ
* การส่งเสริมการศึกษาศาสนาแบบเฉพาะทาง: การเผยแพร่แนวคิดนี้มักจะมาพร้อมกับการสนับสนุนด้านการศึกษาศาสนาในรูปแบบที่เน้นการตีความคัมภีร์อย่างตรงไปตรงมา และปฏิเสธการตีความแบบอื่น ซึ่งทำให้อิทธิพลของแนวคิดนี้แผ่ขยายไปในวงกว้าง
มุมมองของมุสลิมในประเทศไทย
มุสลิมในประเทศไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในภาคใต้ ซึ่งเป็นชุมชนมุสลิมดั้งเดิม มักจะมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการปฏิบัติทางศาสนาที่ผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่นมาอย่างยาวนาน จึงทำให้มุมมองต่อ
แนวคิดวะฮาบีมีหลายแง่มุม:
* มุมมองเชิงลบและไม่เห็นด้วย: มุสลิมไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่นับถือนิกายสุหนี่ตามหลักนิติศาสตร์สำนักชาฟิอี (ซึ่งเป็นสำนักคิดกระแสหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) มักจะมองว่าแนวคิดวะฮาบีเป็น สิ่งแปลกปลอม และ ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของมุสลิมไทย โดยมองว่าแนวคิดนี้มีความสุดโต่งและไม่ยืดหยุ่นเกินไป
* การมองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง: การเผยแพร่แนวคิดจากตะวันออกกลาง โดยเฉพาะจากซาอุดีอาระเบีย ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนและมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ ทำให้แนวคิดวะฮาบีและแนวคิดสะละฟีที่คล้ายกันเริ่มเข้ามามีบทบาทในบางพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนหรือผู้ที่เดินทางไปศึกษาศาสนาในตะวันออกกลาง ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างมุสลิมที่ยึดถือแนวทางดั้งเดิมกับกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดนี้
* ความกังวลต่อความแตกแยก: หลายคนในชุมชนมุสลิมมีความกังวลว่าแนวคิดนี้จะนำมาซึ่งความแตกแยกภายในชุมชน เพราะมีการโจมตีการปฏิบัติที่เคยทำกันมาอย่างยาวนาน เช่น การจัดงานเมาลิด หรือการเคารพปูชนียบุคคล ทำให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในสังคม
* มุมมองของผู้ที่ได้รับอิทธิพล: สำหรับบางกลุ่มที่รับแนวคิดนี้เข้ามา พวกเขามองว่านี่คือการกลับคืนสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องตามแบบอย่างของศาสนาในยุคแรกเริ่ม และเชื่อว่าการปฏิบัติที่ผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นสิ่งที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักการอิสลาม
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าแนวคิดวะฮาบีจะไม่ได้เป็นแนวคิดกระแสหลักในหมู่มุสลิมไทยส่วนใหญ่ แต่ก็เริ่มมีอิทธิพลในบางส่วนของสังคม ซึ่งนำมาซึ่งความท้าทายและความขัดแย้งภายในชุมชนมุสลิมเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับวิถีชีวิตและประเพณีที่สืบทอดกันมา
ซาอุดีอาระเบียมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเผยแพร่แนวคิดวะฮาบีไปทั่วโลก และหนึ่งในกลไกหลักที่ใช้คือการให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษามุสลิมจากนานาประเทศ
การเผยแพร่แนวคิดวะฮาบีผ่านทุนการศึกษา
* เงินทุนมหาศาล: ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา ซาอุดีอาระเบียใช้เงินทุนจำนวนมหาศาลจากรายได้น้ำมันเพื่อเผยแพร่แนวคิดวะฮาบีและสะละฟีไปทั่วโลก มีการคาดการณ์ว่าซาอุดีอาระเบียใช้เงินไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อสร้างมัสยิด ศูนย์กลางอิสลาม โรงเรียนสอนศาสนา (มัดราซะฮ์) และเพื่อสนับสนุนการเผยแพร่แนวคิดนี้
* การสร้างสถาบันการศึกษา: ซาอุดีอาระเบียสร้างมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยที่สอนหลักสูตรตามแนวคิดวะฮาบีโดยเฉพาะ เช่น มหาวิทยาลัยอิสลามมะดีนะฮ์ (Islamic University of Madinah) และเปิดรับนักศึกษาจากทั่วโลกด้วยทุนการศึกษาเต็มจำนวน
* ทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนต่างชาติ: ทุนการศึกษาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการให้โอกาสทางการศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนในการเผยแพร่แนวคิดวะฮาบี การศึกษาที่เน้นหลักการตีความคัมภีร์ที่เคร่งครัดและปฏิเสธสิ่งแปลกปลอม (บิดอะฮ์) ถูกปลูกฝังให้กับนักศึกษาต่างชาติเหล่านี้
อิทธิพลต่อแนวคิดของผู้ได้รับการศึกษา
การได้รับทุนการศึกษาและเรียนในสถาบันการศึกษาของซาอุดีอาระเบียมีผลกระทบอย่างมากต่อแนวคิดของผู้เรียน:
* การเปลี่ยนแนวคิดทางศาสนา: ผู้ที่เคยเติบโตในสังคมที่มีการปฏิบัติทางศาสนาแบบดั้งเดิมหรือผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เมื่อได้ศึกษาในสถาบันที่เน้นแนวคิดวะฮาบี จะถูกสอนให้มองว่าการปฏิบัติเหล่านั้นเป็น "ชิริก" (การตั้งภาคีกับพระเจ้า) หรือ "บิดอะฮ์" ซึ่งผิดหลักการศาสนา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแนวคิดอย่างสิ้นเชิง
* การกลับไปเผยแพร่แนวคิดในประเทศบ้านเกิด: เมื่อนักศึกษาเหล่านี้เรียนจบและเดินทางกลับประเทศบ้านเกิด พวกเขาจะกลายเป็นผู้เผยแพร่แนวคิดวะฮาบี โดยมักจะใช้ความรู้และสถานะทางศาสนาที่ได้รับมาในการวิพากษ์วิจารณ์ประเพณีปฏิบัติที่แพร่หลายในท้องถิ่น ทำให้เกิดความขัดแย้งกับอุละมะฮ์ดั้งเดิมและชุมชนมุสลิม
* การสร้างเครือข่าย: นักศึกษาเหล่านี้จะสร้างเครือข่ายและสถาบันการศึกษาของตัวเองที่ยึดถือแนวคิดเดียวกัน ทำให้แนวคิดวะฮาบีสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและมีอิทธิพลต่อคนรุ่นใหม่
* ความไม่ยอมรับความแตกต่าง: แนวคิดที่ถูกปลูกฝังคือการยึดถือในความถูกต้องของแนวทางของตนเพียงอย่างเดียว ทำให้ผู้ที่ได้รับการศึกษาในแนวทางนี้บางส่วนมีแนวโน้มที่จะไม่ยอมรับและไม่เปิดรับความแตกต่างทางศาสนาและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของความตึงเครียดภายในชุมชนมุสลิมเอง
อย่างไรก็ตาม ควรกล่าวเพิ่มเติมว่าในปัจจุบันรัฐบาลซาอุดีอาระเบียภายใต้การนำของมกุฎราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมาน ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงนโยบายและลดการเผยแพร่แนวคิดสุดโต่งลง โดยหันมาให้ความสำคัญกับแนวทางที่ "สายกลาง" มากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นอิทธิพลของแนวคิดวะฮาบีที่ได้เผยแพร่ไปทั่วโลกมาหลายทศวรรษก็ยังคงมีอยู่และส่งผลกระทบต่อสังคมมุสลิมในหลายพื้นที่จนถึงทุกวันนี้
แนวทางแก้ไข และสร้างความเข้าใจกับแนวคิดนี้
แนวทางแก้ไขและสร้างความเข้าใจกับแนวคิดวะฮาบีเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากแนวคิดนี้หยั่งรากลึกในด้านศาสนาและการเมืองมานานหลายศตวรรษ การจะสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้งจึงต้องอาศัยแนวทางที่รอบด้าน ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และการศึกษา
1. ด้านการศึกษาและศาสนา
การให้ความรู้ที่ถูกต้องและครอบคลุมเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเข้าใจ
* ส่งเสริมการศึกษาอิสลามแบบพหุนิยม: ควรสนับสนุนการเรียนรู้ศาสนาอิสลามที่เปิดกว้างและยอมรับความหลากหลายทางสำนักคิด (มัซฮับ) ที่มีมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์อิสลาม โดยไม่ผูกขาดความถูกต้องไว้ที่สำนักคิดใดสำนักคิดหนึ่ง
* สอนประวัติศาสตร์และบริบทของแนวคิด: การทำความเข้าใจว่าแนวคิดวะฮาบีมีต้นกำเนิดและวิวัฒนาการอย่างไร มีบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมใดที่หล่อหลอมแนวคิดนี้ จะช่วยให้มองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น แทนที่จะมองว่าเป็นเพียง "ความเชื่อ" ที่ไร้ที่มาที่ไป
* เน้นย้ำแก่นแท้ของศาสนา: การมุ่งเน้นไปที่หลักการสำคัญของอิสลามที่มุสลิมทุกคนยอมรับร่วมกัน เช่น ความเมตตา ความยุติธรรม และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสันติ จะช่วยลดความสำคัญของประเด็นปลีกย่อยที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง
2. ด้านการสื่อสารและสังคม
การสร้างพื้นที่สำหรับการพูดคุยอย่างเปิดใจจะช่วยลดอคติและความตึงเครียด
* ส่งเสริมการพูดคุยแลกเปลี่ยน: จัดเวทีหรือพื้นที่ให้ผู้คนจากหลากหลายแนวคิดได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกันอย่างสันติ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เพื่อเอาชนะหรือตัดสินว่าใครถูกใครผิด
* ใช้สื่อที่สร้างสรรค์และเป็นกลาง: สื่อมวลชนและสื่อออนไลน์ควรนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแนวคิดวะฮาบีอย่างเป็นกลางและรอบด้าน เพื่อให้สาธารณชนเข้าใจถึงความแตกต่างทางความคิด ไม่ใช่เพื่อสร้างความเกลียดชังหรือความหวาดกลัว
* สร้างแบบอย่างของผู้นำ: ผู้นำทางศาสนาและผู้นำชุมชนควรแสดงออกถึงความยืดหยุ่น การยอมรับความแตกต่าง และความอดทนอดกลั้น เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีในการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม
3. ด้านการเมืองและนโยบาย
การแก้ไขในระดับนโยบายจะช่วยควบคุมและจำกัดอิทธิพลของแนวคิดสุดโต่ง
* ลดบทบาททางการเมืองของศาสนา: รัฐบาลควรมีนโยบายที่แยกศาสนาออกจากการเมืองอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้กลุ่มศาสนาใดกลุ่มหนึ่งใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
* ควบคุมแหล่งทุนจากต่างประเทศ: ควรมีการตรวจสอบและควบคุมแหล่งทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนา เพื่อป้องกันการเผยแพร่แนวคิดที่ไม่สอดคล้องกับสังคมพหุวัฒนธรรม หรือแนวคิดที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรง
* สนับสนุนการวิจัยและทำความเข้าใจ: รัฐบาลควรให้การสนับสนุนด้านการวิจัยทางวิชาการเพื่อทำความเข้าใจถึงที่มาของแนวคิดวะฮาบีและผลกระทบต่อสังคม เพื่อนำไปสู่การวางแผนนโยบายที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
แนวทางเหล่านี้อาจต้องใช้เวลาและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน แต่การเริ่มต้นจากการให้ความรู้ที่ถูกต้องและการเปิดใจรับฟังจะช่วยลดช่องว่างทางความคิด และปูทางไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติในที่สุด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
โปรดใช้วิจารณญานในการแสดงความคิดเห็น