การขึ้นสู่ตำแหน่งคอลีฟะห์ของท่านอุมัร เหตุการณ์ที่เกิดในระหว่างการปกครอง


       หลังจากท่านอบูบักร ซิดดิก ได้เป็นคอลีฟะฮ์คนแรกและปกครองได้ประมาณ 2 ปี ท่านก็ล้มป่วยลงด้วยอาการหนัก ท่านจึงเรียกให้บรรดาเศาะฮาบะฮ์ (ผู้ติดตามศาสดามุฮัมมัด) ที่อาวุโสมาร่วมประชุม เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับผู้ที่จะขึ้นเป็นคอลีฟะฮ์คนต่อไป เพราะท่านไม่ต้องการให้เกิดความแตกแยกในหมู่มุสลิมเหมือนครั้งที่ท่านได้รับเลือก

      ​ในที่ประชุม ท่านอบูบักรได้เสนอชื่อ ท่านอุมัร อิบนุ ค็อฏฏอบ ขึ้นเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งคอลีฟะฮ์ เนื่องจากท่านเห็นว่าท่านอุมัรเป็นผู้ที่มีความสามารถและเหมาะสมที่สุด แม้ว่าจะมีเศาะฮาบะฮ์บางท่านกังวลในเรื่องความเข้มงวดและเด็ดขาดของท่านอุมัร แต่ท่านอบูบักรก็ชี้แจงว่าเมื่อท่านอุมัรได้รับหน้าที่ปกครอง ท่านจะมีความอ่อนโยนมากขึ้น และท่านยังกล่าวอีกว่า “หากข้าถูกถามต่อพระผู้เป็นเจ้า ข้าจะตอบว่า ข้าได้ตั้งให้ผู้ที่ดีที่สุดในหมู่พวกเขาปกครอง”

      ​หลังจากนั้น ท่านอบูบักรก็สั่งให้ท่านอุษมาน อิบนุ อัฟฟาน เขียนพินัยกรรมแต่งตั้งท่านอุมัรเป็นคอลีฟะฮ์คนต่อไป และให้ท่านอุมัร อิบนุ ค็อฏฏอบ อ่านให้ประชาชนฟัง เมื่อประชาชนได้ทราบถึงเจตนารมณ์ของท่านอบูบักรก็ยอมรับและให้สัตยาบันแก่ท่านอุมัร

       ​ดังนั้น การขึ้นเป็นคอลีฟะฮ์ของท่านอุมัรจึงเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นเอกฉันท์ โดยไม่มีความขัดแย้งหรือการต่อต้านที่สำคัญเกิดขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของประชาคมมุสลิมในตัวท่านและสติปัญญาของท่านอบูบักรในการเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งที่เหมาะสม

การลอบสังหารท่านอุมัร อิบนุ ค็อฏฏอบ คอลีฟะฮ์คนที่สองของรัฐอิสลาม       เกิดจากความแค้นส่วนตัวของชายชาวเปอร์เซียคนหนึ่งชื่อ อบู ลุอ์ลุอะฮ์ (Abu Lu'lu'ah)

เบื้องหลังการลอบสังหาร
      ​อบู ลุอ์ลุอะฮ์ เดิมเป็นช่างฝีมือชาวเปอร์เซียที่ถูกจับมาเป็นทาสหลังจากการพิชิตดินแดนเปอร์เซียของมุสลิม เขาทำงานเป็นช่างเหล็ก ช่างไม้ และช่างทำเครื่องสีลมในเมืองมะดีนะฮ์ ภายใต้การดูแลของนายทาสชื่อ อัลมุฆีเราะฮ์ อิบนุ ชุอ์บะฮ์

      ​อบู ลุอ์ลุอะฮ์ได้ไปร้องเรียนต่อท่านอุมัรว่า นายทาสของเขาเรียกเก็บภาษี (ค่าแรง) ที่สูงเกินไป คือ 2 ดิรฮัมต่อวัน ซึ่งเขาเห็นว่าไม่เป็นธรรม แต่เมื่อท่านอุมัรตรวจสอบแล้วพบว่าการเก็บค่าแรงดังกล่าวเหมาะสมกับความสามารถของอบู ลุอ์ลุอะฮ์ ซึ่งเป็นช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญหลายแขนง ท่านอุมัรจึงตัดสินให้เขาต้องจ่ายค่าแรงตามที่นายทาสกำหนด

      ​ด้วยความไม่พอใจในคำตัดสินของท่านอุมัรและยังมีใจแค้นที่ดินแดนเปอร์เซียบ้านเกิดของเขาถูกพิชิต อบู ลุอ์ลุอะฮ์จึงวางแผนลอบสังหารท่านอุมัรเพื่อแก้แค้นทั้งในเรื่องส่วนตัวและเรื่องการเมือง

เหตุการณ์ในวันสังหาร

         ​ในเช้าวันที่ 27 ธันวาคม ฮ.ศ. 23 (พ.ศ. 1195) ขณะที่ท่านอุมัรกำลังนำละหมาด (เป็นผู้นำในการละหมาด) ที่มัสยิด อบู ลุอ์ลุอะฮ์ได้ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มผู้ละหมาด เมื่อสบโอกาส เขาก็ใช้กริชที่มีสองคมแทงท่านอุมัรซ้ำแล้วซ้ำอีกถึง 6 แผล รวมถึงแผลที่ท้องน้อยด้วย

         ​หลังจากนั้น อบู ลุอ์ลุอะฮ์พยายามหลบหนีออกจากมัสยิด และได้ใช้กริชเล่มเดียวกันแทงผู้คนไปทั่วกว่า 12 คน ซึ่งในจำนวนนี้มี 6-7 คนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ หลังจากที่เขาถูกล้อมจับ อบู ลุอ์ลุอะฮ์จึงใช้กริชนั้นปลิดชีพตนเองเพื่อหนีการถูกจับกุม

        ​ท่านอุมัรเสียชีวิตในอีก 3 วันต่อมาจากบาดแผลที่ได้รับ ก่อนเสียชีวิตท่านได้มอบหมายให้สภาที่ปรึกษา (ชูรอ) ที่ประกอบด้วยเศาะฮาบะฮ์อาวุโส 6 ท่าน คัดเลือกคอลีฟะฮ์คนต่อไป ซึ่งต่อมาได้เลือกท่านอุษมาน อิบนุ อัฟฟาน ขึ้นดำรงตำแหน่งสืบแทน


 มีสถานการณ์ที่แตกต่างจากคอลีฟะฮ์สองท่านแรกอย่างมาก แม้ว่าในตอนแรกจะได้รับการยอมรับจากประชาชาติอิสลามส่วนใหญ่ แต่ในเวลาต่อมาก็เกิดความไม่พอใจและการต่อต้านที่นำไปสู่เหตุการณ์ลอบสังหารท่านในที่สุด

การขึ้นปกครองและช่วงแรกของการบริหาร
       ​หลังจากท่านอุมัรถูกลอบสังหาร ท่านได้แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือก (ชูรอ) ที่ประกอบด้วยเศาะฮาบะฮ์อาวุโส 6 ท่าน ให้ทำหน้าที่คัดเลือกคอลีฟะฮ์คนต่อไป คณะกรรมการได้เลือกท่านอุษมาน โดยได้รับสัตยาบันจากประชาชาติอิสลามส่วนใหญ่ในช่วงแรกของการปกครอง

       ​ในสมัยของท่านอุษมาน อาณาจักรอิสลามได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีการพิชิตดินแดนใหม่ๆ ทั้งในแอฟริกาเหนือ (ตูนีเซีย) และบางส่วนของเปอร์เซีย (อิหร่านและอัฟกานิสถาน) นอกจากนี้ ท่านยังมีผลงานสำคัญในการ รวบรวมอัลกุรอาน ให้เป็นฉบับมาตรฐานเดียวกัน เพื่อป้องกันความสับสนและข้อผิดพลาดในการอ่าน ซึ่งเป็นผลงานที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง

เหตุการณ์ความไม่พอใจและการต่อต้าน

​      ในช่วงครึ่งหลังของการปกครองของท่านอุษมาน (ประมาณ 12 ปี) เริ่มเกิดความไม่พอใจและข้อกล่าวหาจากบางกลุ่มในประชาชาติอิสลาม ซึ่งนำไปสู่ความวุ่นวายและการจลาจลในที่สุด สาเหตุหลักๆ ได้แก่:

        ​การแต่งตั้งญาติพี่น้องให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ: ท่านอุษมานเป็นคนจากตระกูลบนูอุมัยยะฮ์ (Banu Umayyah) และได้แต่งตั้งสมาชิกในตระกูลของท่านให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการในหลายพื้นที่ เช่น อียิปต์ และซีเรีย ทำให้เกิดข้อกล่าวหาว่าท่านลำเอียงและใช้เส้นสาย ซึ่งสร้างความไม่พอใจในหมู่ผู้ที่รู้สึกว่าตนเองถูกละเลย

​      การใช้จ่ายทรัพย์สินของรัฐ: มีการกล่าวหาว่าท่านใช้จ่ายทรัพย์สินของรัฐอย่างฟุ่มเฟือยและมอบให้กับญาติพี่น้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักการความสมถะของคอลีฟะฮ์สองท่านแรก
​ความขัดแย้งในเรื่องศาสนา: แม้ว่าการรวบรวมอัลกุรอานจะเป็นผลงานสำคัญ แต่การที่ท่านสั่งให้เผาสำเนาอัลกุรอานฉบับอื่นๆ ที่มีความแตกต่างกันเล็กน้อย ก็ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ผู้ที่ยึดติดกับฉบับเดิม

       ​นโยบายการปกครองที่เข้มงวด: ในช่วงหลัง ท่านอุษมานมีนโยบายการปกครองที่เข้มงวดมากขึ้นในบางพื้นที่ ทำให้ผู้คนไม่พอใจและหาโอกาสที่จะก่อความไม่สงบ

การล้อมบ้านและการลอบสังหาร
​         ความไม่พอใจเหล่านี้ได้ถูกกระตุ้นโดยกลุ่มผู้ปลุกปั่นที่เดินทางมาจากหลายพื้นที่ เช่น อียิปต์ และอิรัก ซึ่งมีเป้าหมายที่จะโค่นล้มอำนาจของท่านอุษมาน กลุ่มผู้ไม่พอใจเหล่านี้ได้รวมตัวกันที่เมืองมะดีนะฮ์ และทำการ ปิดล้อมบ้านของท่านอุษมาน เป็นเวลาหลายวัน โดยไม่ให้ท่านออกจากบ้านและไม่ให้ใครเข้าไปช่วยเหลือ

​        แม้ว่าเศาะฮาบะฮ์หลายท่านจะพยายามปกป้องท่านอุษมาน แต่ท่านก็ปฏิเสธที่จะใช้กำลังในการต่อสู้กับมุสลิมด้วยกันเอง ท้ายที่สุด กลุ่มผู้ก่อจลาจลได้บุกเข้าไปในบ้านของท่านในขณะที่ท่านกำลังอ่านอัลกุรอาน และได้ทำการลอบสังหารท่านด้วยคมดาบ ทำให้ท่านอุษมานเสียชีวิตในขณะที่กำลังถืออัลกุรอาน

การลอบสังหารท่านอุษมานเป็น.              เหตุการณ์ที่สร้างความแตกแยกอย่างรุนแรงในประชาชาติอิสลาม และเป็นชนวนที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองครั้งแรก (ฟิตนะฮ์ครั้งที่หนึ่ง) ในเวลาต่อมา ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในประวัติศาสตร์อิสลาม

สงครามกลางเมืองครั้งแรกในยุคอิสลาม เรียกว่า "ฟิตนะฮ์ครั้งที่หนึ่ง" (First Fitna)     ซึ่งเป็นสงครามความขัดแย้งภายในที่เกิดขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 656-661 (ฮ.ศ. 35-41) หลังจากการลอบสังหารท่านอุษมาน อิบนุ อัฟฟาน
        ​เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์อิสลาม เพราะมันทำให้เกิดความแตกแยกครั้งใหญ่ในหมู่มุสลิม และนำไปสู่การสิ้นสุดของยุคคอลีฟะฮ์ผู้ทรงธรรมทั้งสี่ท่าน (อัล-คุละฟาอุร-รอชิดูน)

สาเหตุหลักของสงคราม
       ​สงครามกลางเมืองครั้งแรกไม่ได้มีสาเหตุมาจากเรื่องเดียว แต่เป็นการสะสมความขัดแย้งหลายประการ ซึ่งประกอบด้วย:
      ​การลอบสังหารท่านอุษมาน: การที่ท่านอุษมานถูกลอบสังหารโดยกลุ่มกบฏ สร้างความตกตะลึงและความโกรธแค้นในหมู่ผู้สนับสนุนของท่าน และเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการเรียกร้องให้มีการลงโทษผู้กระทำผิด

การขึ้นปกครองของท่านอะลี: หลังจากท่านอุษมานเสียชีวิต ท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ ได้รับการสัตยาบันให้เป็นคอลีฟะฮ์คนต่อไป แต่การรับตำแหน่งของท่านก็เป็นที่ถกเถียง เนื่องจากท่านไม่ได้จัดการลงโทษผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารท่านอุษมานในทันที ซึ่งทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนท่านอุษมานไม่พอใจ

​       ความขัดแย้งระหว่างท่านอะลีกับท่านมุอาวิยะฮ์: มุอาวิยะฮ์ อิบนุ อะบีสุฟยาน ซึ่งเป็นญาติของท่านอุษมานและเป็นผู้ว่าการซีเรียในขณะนั้น ไม่ยอมรับการขึ้นเป็นคอลีฟะฮ์ของท่านอะลี และเรียกร้องให้ท่านอะลีส่งตัวผู้สังหารท่านอุษมานมาลงโทษก่อน แต่ท่านอะลีอ้างว่าสถานการณ์ในมะดีนะฮ์ยังไม่สงบพอที่จะดำเนินการเรื่องนี้ได้

เหตุการณ์สำคัญในสงคราม
       ​ยุทธการแห่งอูฐ (Battle of the Camel): เป็นการต่อสู้ครั้งแรกระหว่างกองทัพของท่านอะลี กับกองทัพของกลุ่มที่นำโดย ท่านหญิงอาอิชะฮ์ (ภรรยาของศาสดามุฮัมมัด) และเศาะฮาบะฮ์คนสำคัญอีกสองท่านคือ ต็อลฮะฮ์และซุบัยรฺ ทั้งสองฝ่ายปะทะกันใกล้เมืองบัศเราะฮ์ในอิรัก การสู้รบครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะของท่านอะลี

ยุทธการที่ศิฟฟีน (Battle of Siffin):          เป็นการเผชิญหน้าระหว่างกองทัพของท่านอะลีกับกองทัพของท่านมุอาวิยะฮ์ใกล้แม่น้ำยูเฟรติสในซีเรีย การสู้รบดำเนินไปอย่างยาวนานและไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบเด็ดขาด ท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายจึงตกลงที่จะเจรจาไกล่เกลี่ย
​การปรากฏตัวของกลุ่มเคาะวาริจญ์ (Khawarij): กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่เคยเป็นผู้สนับสนุนท่านอะลีกลับไม่พอใจที่ท่านยอมเจรจาไกล่เกลี่ยกับท่านมุอาวิยะฮ์ โดยถือว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการผิดหลักการอิสลาม พวกเขาจึงแยกตัวออกมาและกลายเป็นกลุ่มหัวรุนแรงที่ต่อต้านทั้งท่านอะลีและท่านมุอาวิยะฮ์

ผลลัพธ์ของสงคราม
      ​การลอบสังหารท่านอะลี: ในปี ค.ศ. 661 ท่านอะลีถูกลอบสังหารโดยสมาชิกกลุ่มเคาะวาริจญ์คนหนึ่งชื่อ อับดุรเราะฮ์มาน อิบนุ มุลญัม

​      การสิ้นสุดยุคคอลีฟะฮ์ผู้ทรงธรรม: หลังจากท่านอะลีเสียชีวิต บุตรชายของท่านคือ ท่านฮะซัน ได้ขึ้นเป็นคอลีฟะฮ์ชั่วคราว แต่ท่านได้ตกลงสละตำแหน่งให้กับท่านมุอาวิยะฮ์ เพื่อยุติความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมานาน

​      การสถาปนาราชวงศ์อุมัยยะฮ์: ท่านมุอาวิยะฮ์ จึงได้เป็นคอลีฟะฮ์อย่างเป็นทางการ และได้สถาปนาราชวงศ์อุมัยยะฮ์ (Umayyad Caliphate) ขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนระบบการปกครองจากระบอบการเลือกตั้งคอลีฟะฮ์มาเป็นระบอบกษัตริย์สืบสายโลหิต ทำให้เกิดความแตกแยกถาวรในประชาชาติอิสลามนับแต่นั้นเป็นต้นมา


ความคิดเห็น