กลุ่ม นิกาย ในอิสลาม แบ่งเป็นกี่กลุ่มแต่ละกลุ่มเกิดขึ้นจากสาเหตุใด ความเชื่อของแต่ละกลุ่มเป็นอย่างไร ?
ศาสนาอิสลามไม่ได้แบ่งนิกายเป็นจำนวนที่ตายตัว แต่โดยหลักแล้วสามารถแบ่งออกเป็น 2 นิกายหลักคือ นิกายสุหนี่ (Sunni) และ นิกายชีอะฮ์ (Shia) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และยังมีกลุ่มย่อยหรือสำนักคิดอื่น ๆ อีกมากมาย
สาเหตุของการแบ่งแยกนิกาย
สาเหตุหลักของการแบ่งแยกนิกายในอิสลามเกิดขึ้นภายหลังการเสียชีวิตของศาสดามุฮัมมัดในปี ค.ศ. 632 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่มีการกำหนดผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำ (เคาะลีฟะฮ์) อย่างเป็นทางการ ทำให้เกิดความขัดแย้งในการเลือกผู้นำคนใหม่
- นิกายสุหนี่: เชื่อว่าผู้นำควรมาจากผู้ที่เหมาะสมที่สุดในบรรดาสหายของศาสดา โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้สืบเชื้อสาย ภายหลังการเสียชีวิตของศาสดา กลุ่มนี้ได้เลือก อบูบักรฺ ซึ่งเป็นสหายสนิทของท่านมาเป็นเคาะลีฟะฮ์คนแรก
- นิกายชีอะฮ์: เชื่อว่าผู้นำศาสนาจะต้องเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายโดยตรงจากศาสดาเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรจะเป็น อะลี บิน อบี ฏอลิบ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องและบุตรเขยของศาสดา
ความขัดแย้งนี้ได้นำไปสู่สงครามกลางเมืองครั้งแรกในหมู่ชาวมุสลิม (ที่เรียกว่า "ปฐมฟิตนะห์") และเป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งแยกนิกายอย่างชัดเจนจนถึงปัจจุบัน
ความเชื่อของแต่ละกลุ่ม
1. นิกายสุหนี่ (Sunni)
- ความหมาย: มาจากคำว่า "ซุนนะฮ์" หมายถึงแนวทางหรือแบบอย่างของท่านศาสดามุฮัมมัด
- หลักความเชื่อ: ยึดถือคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะฮ์ (คำสอนและการปฏิบัติของศาสดา) เป็นหลักในการดำเนินชีวิตอย่างเคร่งครัด
- ผู้นำ: เชื่อว่าผู้นำสามารถมาจากการคัดเลือกโดยชุมชน และไม่จำเป็นต้องสืบเชื้อสายโดยตรงจากศาสดา
- จำนวนประชากร: เป็นนิกายที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลก (ประมาณ 85-90%)
2. นิกายชีอะฮ์ (Shia)
- ความหมาย: มาจากคำว่า "ชิอะฮ์ อะลี" หมายถึงพรรคพวกของอะลี
- หลักความเชื่อ: ยึดถือคัมภีร์อัลกุรอานเป็นหลักเช่นกัน แต่ให้ความสำคัญกับคำสอนของ "อิมาม" หรือผู้นำที่สืบเชื้อสายจากอะลี ซึ่งถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และสามารถตีความหลักการศาสนาได้อย่างถูกต้อง
- ผู้นำ: เชื่อว่าผู้นำศาสนา (อิมาม) มีเพียง 12 คน และอิมามคนสุดท้ายได้หายตัวไปและจะกลับมาในวันสิ้นโลก
- จำนวนประชากร: เป็นนิกายที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง (ประมาณ 10-15%) และเป็นประชากรส่วนใหญ่ในประเทศอิหร่านและอิรัก
กลุ่มย่อยและสำนักคิดอื่น ๆ
นอกจากสองนิกายหลักแล้ว ยังมีกลุ่มย่อยหรือสำนักคิดอื่น ๆ ที่มีความเชื่อและแนวทางปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป เช่น:
- ซูฟี (Sufism): เป็นสำนักคิดที่เน้นการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพระเจ้าโดยตรงผ่านการทำสมาธิและการเข้าถึงแก่นแท้ของจิตวิญญาณ
- คอวาริจญ์ (Kharijiyyah): เป็นกลุ่มที่แยกตัวออกมาในช่วงสงครามกลางเมือง โดยมีแนวคิดที่แข็งกร้าวและไม่เห็นด้วยกับการประนีประนอม
- อะห์มาดียะฮ์ (Ahmadiyya): เป็นกลุ่มที่เชื่อว่าผู้นำของพวกเขาคือ มุฮัมมัด (กุลาามอะห์มัด) เป็นศาสดาผู้มาใหม่ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ขัดแย้งกับหลักความเชื่อของมุสลิมส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าศาสดามุฮัมมัดเป็นศาสดาองค์สุดท้าย
- ความขัดแย้ง และความเชื่อของแต่ละกลุ่มเป็นอย่างไร?
ความขัดแย้งหลักของนิกายในอิสลาม โดยเฉพาะระหว่าง สุหนี่ (Sunni) และ ชีอะฮ์ (Shia) เกิดจากความแตกต่างทางประวัติศาสตร์และหลักความเชื่อที่สำคัญหลายประการ
ความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์
ต้นกำเนิดของความขัดแย้งย้อนกลับไปถึงช่วงหลังการเสียชีวิตของศาสดามุฮัมมัดในปี ค.ศ. 632 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดคำถามสำคัญว่าใครควรเป็นผู้นำคนต่อไปของประชาชาติมุสลิม (เคาะลีฟะฮ์)
นิกายสุหนี่ เชื่อว่าผู้นำควรมาจากการคัดเลือกโดยประชาคมและเป็นผู้ที่มีความสามารถเหมาะสมที่สุด
นิกายชีอะฮ์ เชื่อว่าผู้นำควรสืบทอดทางสายเลือดจากศาสดาเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาลี บิน อะบี ฏอลิบ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องและบุตรเขยของท่าน
ความขัดแย้งนี้ลุกลามเป็นสงครามกลางเมืองครั้งแรกของชาวมุสลิม หรือที่เรียกว่า "ฟิตนะห์ครั้งที่หนึ่ง" (First Fitna) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งแยกอย่างชัดเจน
ความเชื่อที่แตกต่างกัน
แม้ว่าทั้งสองนิกายจะยึดถือคัมภีร์อัลกุรอานและหลักการสำคัญของศาสนาอิสลาม 5 ประการเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างในด้านความเชื่อและแนวทางปฏิบัติที่สำคัญดังนี้:
นิกายสุหนี่
ผู้นำ: ยอมรับเคาะลีฟะฮ์ทั้งสี่คนแรก (อบูบักรฺ, อุมัร, อุษมาน, และอาลี) ว่าเป็น "เคาะลีฟะฮ์ผู้ทรงธรรม"
แหล่งอ้างอิงทางศาสนา: ยึดถือคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะฮ์ (แบบอย่างและคำสอนของศาสดา) เป็นหลัก รวมถึงการตีความโดยนักวิชาการศาสนา
การปฏิบัติ: ยึดถือสำนักนิติศาสตร์ (มัซฮับ) ที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมถือเป็นกลุ่มที่มีแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานและสอดคล้องกับประชาคมส่วนใหญ่
นิกายชีอะฮ์
ผู้นำ: เชื่อในระบบ "อิมามัต" โดยถือว่าผู้นำศาสนา (อิมาม) ที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าเท่านั้นที่มีอำนาจในการตีความและชี้นำศาสนาได้อย่างถูกต้อง อิมามมี 12 ท่านและคนสุดท้ายยังคงมีชีวิตอยู่แต่ "เร้นกาย" รอการกลับมาในวันสิ้นโลก
แหล่งอ้างอิงทางศาสนา: ให้ความสำคัญกับการตีความของอิมามที่สืบเชื้อสายจากอาลีเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากซุนหนี่ที่ให้ความสำคัญกับคำบอกเล่าจากสหายของศาสดา
การปฏิบัติ: มีพิธีกรรมบางอย่างที่แตกต่างออกไป เช่น การละหมาดโดยบางครั้งสามารถรวมละหมาดเข้าด้วยกันได้ และการจัดพิธีรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของชีอะฮ์อย่าง "วันอาชูรอ" ซึ่งเป็นการไว้อาลัยการเสียชีวิตของฮุเซน หลานชายของศาสดา
ในส่วนของกลุ่มย่อย ยกตัวอย่างเช่น ซูฟี และอื่นๆ มีหลักศรัทธาและความเชื่อเช่นไร
นอกเหนือจากนิกายหลักอย่างสุหนี่และชีอะฮ์แล้ว ยังมีกลุ่มย่อยและสำนักคิดอื่น ๆ ที่มีแนวทางปฏิบัติและความเชื่อเฉพาะตัวแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านปรัชญาและจิตวิญญาณ
1. ซูฟี (Sufism)
ซูฟี เป็นสำนักคิดที่เน้นแนวทางจิตวิญญาณหรือการเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาอิสลามอย่างลึกซึ้ง ไม่ได้จัดเป็นนิกายแยกต่างหาก แต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่พบได้ทั้งในนิกายสุหนี่และชีอะฮ์
หลักความเชื่อ: เน้นการพัฒนาจิตใจและจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์เพื่อเข้าถึง "ความรัก" และ "ความใกล้ชิด" กับพระเจ้าโดยตรง เป้าหมายสูงสุดของซูฟีคือการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้เป็นเจ้า
การปฏิบัติ: เน้นการทำ ซิกร์ (Dhikr) หรือการรำลึกถึงพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง การทำสมาธิ (มุรอกอบะฮ์) และการใช้ชีวิตอย่างสมถะ การสละความต้องการทางโลก และการเดินทางแสวงหาครูสอนจิตวิญญาณ (ชีค)
2. อะห์มาดียะฮ์ (Ahmadiyya)
กลุ่ม อะห์มาดียะฮ์ เป็นกลุ่มที่มีความเชื่อที่แตกต่างจากชาวมุสลิมส่วนใหญ่
หลักความเชื่อ: เชื่อว่า มิรซา ฆูลาม อะห์มัด (Mirza Ghulam Ahmad) ผู้ก่อตั้งกลุ่ม เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้ปฏิรูปและเป็นผู้ได้รับวิวรณ์จากพระเจ้า ซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อหลักของศาสนาอิสลามที่ว่า ศาสดามุฮัมมัด เป็นศาสดาองค์สุดท้าย
การปฏิบัติ: ยึดถือหลักการของอัลกุรอานอย่างเคร่งครัดและเน้นการเผยแผ่ศาสนาอย่างสันติวิธี
3. คอวาริจญ์ (Kharijites)
กลุ่ม คอวาริจญ์ เป็นกลุ่มแรกที่แยกตัวออกจากกระแสหลักของชาวมุสลิม
หลักความเชื่อ: เชื่อว่าผู้นำศาสนา (เคาะลีฟะฮ์) จะต้องเป็นผู้ที่บริสุทธิ์และปราศจากบาปเท่านั้น พวกเขาไม่ยอมรับการตัดสินของอาลีและผู้ปกครองคนอื่น ๆ ที่พวกเขาเห็นว่าไม่ยุติธรรม
การปฏิบัติ: ยึดถือหลักการที่รุนแรงและสุดโต่งมาก และเป็นที่มาของการก่อกบฏและการลอบสังหารผู้นำในยุคแรก ๆ ของอิสลาม แม้ว่ากลุ่มนี้จะไม่ได้มีอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ในปัจจุบัน แต่แนวคิดบางส่วนของพวกเขาก็ยังคงส่งอิทธิพลต่อกลุ่มหัวรุนแรงบางกลุ่มในโลกสมัยใหม่
กลุ่มฟาฏิมียะฮ์ มีความเชื่อ และมีการปฏิบัติเช่นไร?
กลุ่ม ฟาฏิมียะฮ์ (Fatimids) คือ ราชวงศ์ชีอะฮ์ อิสมาอีลี ที่ปกครองรัฐเคาะลีฟะฮ์ขนาดใหญ่ในแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลางเป็นเวลาหลายศตวรรษ (ค.ศ. 909-1171) ชื่อของกลุ่มนี้มาจากความเชื่อที่ว่าพวกเขาเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากท่านหญิง ฟาฏิมะฮ์ (Fatima) บุตรีของศาสดามุฮัมมัด ซึ่งเป็นจุดยืนสำคัญที่พวกเขาใช้เพื่ออ้างสิทธิ์ในการเป็นผู้นำของประชาชาติอิสลาม
หลักความเชื่อ
กลุ่มฟาฏิมียะฮ์เป็นส่วนหนึ่งของนิกาย ชีอะฮ์ อิสมาอีลี (Isma'ili Shia) ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของนิกายชีอะฮ์ พวกเขามีหลักความเชื่อที่สำคัญดังนี้:
ความเป็นผู้นำ (อิมามัต): เชื่อว่าผู้นำ (อิมาม) ควรเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์และอะลีเท่านั้น และมีเพียง 7 อิมาม ที่ได้รับการยอมรับ (ซึ่งแตกต่างจากชีอะฮ์สายหลักที่ยอมรับ 12 อิมาม)
การปกครองแบบเทวนิยม: สถาปนาการปกครองแบบรัฐเคาะลีฟะฮ์ในอียิปต์และแอฟริกาเหนือ โดยเชื่อว่าผู้นำ (เคาะลีฟะฮ์) เป็นตัวแทนของพระเจ้าบนโลกและมีอำนาจทางศาสนาสูงสุด
พิธีกรรม: มีพิธีกรรมบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากนิกายสุหนี่และชีอะฮ์สายหลัก โดยเน้นที่การตีความหลักคำสอนที่ลึกลับและเชิงปรัชญา
กลุ่มฟาฏิมียะฮ์มีบทบาทสำคัญทางประวัติศาสตร์ โดยสามารถสถาปนาอำนาจทางการเมืองและศาสนาในหลายพื้นที่ และสร้างเมืองไคโรให้เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและการศึกษาของโลกอิสลามในยุคนั้น
ความเชื่อต่าง จากชีอะห์ 12 อิหม่ามอย่างไร ถือเป็นกลุ่มที่มีแนวคิดเดียวกันได้หรือไม่
ชีอะฮ์ อิสมาอีลี และชีอะฮ์ 12 อิมาม เป็นกลุ่มที่แยกออกจากกันและมีหลักความเชื่อที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องของการสืบทอดตำแหน่งผู้นำสูงสุดทางศาสนา (อิมาม) พวกเขาไม่ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีแนวคิดเดียวกัน
จุดที่แตกต่างกัน
จุดแตกหักที่สำคัญระหว่างสองกลุ่มนี้เกิดขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของ อิมามญะอ์ฟัร อัศศอดิก อิมามคนที่ 6
ชีอะฮ์ 12 อิมาม (Twelver Shia): เชื่อว่า มูซา อัลกาซิม บุตรชายคนรองของอิมามญะอ์ฟัร เป็นอิมามคนที่ 7 และสืบต่อไปจนถึงอิมามคนที่ 12 ซึ่งเชื่อว่ายังคงมีชีวิตอยู่แต่ "เร้นกาย" รอการกลับมาในวันสิ้นโลก
ชีอะฮ์ อิสมาอีลี (Isma'ili Shia): เชื่อว่า อิสมาอีล บิน ญะอ์ฟัร บุตรชายคนโตของอิมามญะอ์ฟัร คืออิมามคนที่ 7 และถือว่าสายการสืบทอดอิมามยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปัจจุบัน โดยมีผู้นำที่มีตัวตนจริง
โดยสรุปแล้ว แม้ทั้งสองกลุ่มจะอยู่ในนิกายชีอะฮ์เหมือนกัน แต่ความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์เรื่องการสืบทอดผู้นำได้นำไปสู่การพัฒนาหลักความเชื่อและพิธีกรรมที่แตกต่างกันอย่างมาก ทำให้ทั้งสองกลุ่มไม่สามารถถือว่าเป็นกลุ่มที่มีแนวคิดเดียวกันได้
คำว่า แขกโบรา ในอินเดีย จัดอยู่ในกลุ่มใดของชีอะห์
คำว่า "แขกโบรา" หรือ "โบห์รา" (Bohra) ในอินเดีย หมายถึงกลุ่มย่อยของมุสลิมนิกาย ชีอะฮ์ อิสมาอีลี (Isma'ili Shia) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่เรียกว่า ดาวูดี โบห์รา (Dawoodi Bohra)
คำว่า "โบห์รา" มาจากภาษาคุชราต แปลว่า "พ่อค้า" เนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่ของกลุ่มนี้มีอาชีพเป็นพ่อค้าวาณิชย์ และเป็นที่รู้จักในนาม "แขกตึกขาว" ในประเทศไทย
ความเชื่อของกลุ่มดาวูดี โบห์รา
กลุ่มนี้มีความเชื่อหลักที่แตกต่างจากชีอะฮ์สายหลัก (12 อิมาม) และมีความคล้ายคลึงกับฟาฏิมียะฮ์ เนื่องจากสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ฟาฏิมียะฮ์ในอียิปต์
การสืบทอดผู้นำ: เชื่อว่าการสืบทอดตำแหน่งอิมามนั้นสืบทอดมาจากอิสมาอีล บิน ญะอ์ฟัร และอิมามที่ 21 ของพวกเขาได้หายตัวไป (เร้นกาย) โดยเชื่อว่าอำนาจการปกครองประชาคมได้ถูกส่งผ่านไปยังผู้นำที่เรียกว่า ไดอี อัล-มุตลัก (Da'i al-Mutlaq) ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนของอิมามที่ยังคงเร้นกายอยู่
ความเชื่อทางจิตวิญญาณ: ให้ความสำคัญกับการตีความคัมภีร์และคำสอนในเชิงปรัชญาและจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้ง
พิธีกรรม: มีแนวปฏิบัติที่เฉพาะตัว เช่น การแต่งกายที่มีเอกลักษณ์ ผู้ชายสวมหมวกสีทอง และผู้หญิงสวมชุด "ริดา" (rida) ที่มีลวดลายดอกไม้
กลุ่มดาวูดี โบห์รา เป็นหนึ่งในกลุ่มมุสลิมที่มีความโดดเด่นทางวัฒนธรรมและมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจของอินเดียและประเทศอื่น ๆ ที่พวกเขาเข้าไปตั้งรกราก รวมถึงประเทศไทยด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
โปรดใช้วิจารณญานในการแสดงความคิดเห็น