เมื่อศรัทธาถูกตีกรอบ: ทางออกของความสุดโต่งในสังคมมุสลิมคืออะไร?

เมื่อศรัทธาถูกตีกรอบ: ทางออกของความสุดโต่งในสังคมมุสลิมคืออะไร?

โดย อบู สุเบร ณ หลังศาล

“หรือว่าศรัทธาจะกลายเป็นสิ่งที่ถูกผูกขาดโดยคนบางกลุ่ม?”
“เราจะจัดการกับแนวคิดสุดโต่งในศาสนาอย่างไร โดยไม่กลายเป็นอีกฝั่งที่สุดโต่งกว่า?”

บทนำ: เมื่อความต่างกลายเป็นภัยคุกคาม

ในหลายพื้นที่ของโลกมุสลิม รวมถึงบางส่วนในประเทศไทย เราเริ่มเห็นการถกเถียงอย่างรุนแรงในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ไม่ว่าจะเป็นคำว่า “เตาฮีด”, “บิดอะฮ์”, “ชิรก”, หรือแม้แต่การตีความบทหนึ่งในอัลกุรอานก็สามารถกลายเป็นชนวนของความขัดแย้ง

คำถามสำคัญคือ:
ทำไมการเข้าใจศาสนา “ต่างกัน” ถึงกลายเป็นเรื่องที่ยอมกันไม่ได้?
และ เราจะหาทางอยู่ร่วมกันในความหลากหลายนั้นได้อย่างไร โดยไม่ลดทอนหลักการของศาสนาเอง?

1. ศรัทธา: ของใคร? เพื่อใคร?

ศาสนาอิสลามมีหัวใจคือ เตาฮีด—การยืนยันว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ
แต่น่าสังเกตว่า ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เตาฮีดถูกแบ่งย่อยออกเป็น 3 หมวด ได้แก่:

เตาฮีดอัรรุบูบียะฮ์ (การศรัทธาว่าอัลลอฮฺคือพระผู้อภิบาล)

เตาฮีดอุลูฮียะฮ์ (การศรัทธาว่าอัลลอฮฺเท่านั้นคือผู้ที่ควรได้รับการเคารพภักดี)

เตาฮีดอัสมาอ์วะสิฟาต (การศรัทธาในพระนามและคุณลักษณะของพระองค์)

แนวคิดนี้บางส่วนช่วยให้เข้าใจรายละเอียดลึกซึ้งขึ้น
แต่...คำถามคือ: จำเป็นแค่ไหนที่เราต้องยึดโครงสร้างนี้เพียงแบบเดียว?
และถ้าคนอื่นไม่ใช้แนวทางเดียวกัน เขาจำเป็นต้องถูกกล่าวหาว่า “ตั้งภาคี” หรือ “หลงผิด” หรือไม่?

2. เมื่อความรู้กลายเป็นเครื่องมือของการควบคุม

หลายชุมชนมุสลิมเริ่มเผชิญกับปรากฏการณ์ที่คล้ายคลึงกันอย่างน่าตกใจ
คือ “การผูกขาดความรู้” โดยกลุ่มที่อ้างว่า “ตนเท่านั้นที่ถือความจริงของอิสลาม”

รูปแบบที่เราเห็นบ่อยคือ:

ปิดกั้นไม่ให้ฟังนักวิชาการสายอื่น

ประณามคนที่ศึกษาแนวคิดอัลอัซฮัร หรือสุนนะฮ์แนวลึก

อ้างว่าเครื่องมือใหม่ๆ (เช่น AI หรือฐานข้อมูลออนไลน์) “เชื่อถือไม่ได้” หากไม่มาจากแหล่งที่ตนยอมรับ

คำถามคือ:
นี่คือการปกป้องศาสนา...หรือเป็นการใช้ศาสนาเพื่อควบคุมคน?
และที่สำคัญ:
เมื่อคนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้อย่างหลากหลาย...อิสลามจะยังคงมีชีวิตชีวาได้อย่างไร?

3. ปัญหาที่เราไม่พูดถึง: ความหวาดกลัวต่อความแตกต่าง

กลุ่มที่ใช้แนวคิดสุดโต่งมักพูดเสมอว่า “เราปกป้องเตาฮีด”
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นการกล่าวหาคนอื่นๆ อย่างง่ายดายว่า “เป็นบิดอะฮ์” หรือ “เป็นมุชริก”

คำถามที่สำคัญคือ:
อะไรคือเส้นแบ่งระหว่าง “การตักเตือน” กับ “การกล่าวหาที่ประมาท”?
เราจะยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งที่ผิดโดยไม่สูญเสียจริยธรรมแห่งอิสลามได้หรือไม่?

เพราะหากการปกป้องศาสนา นำไปสู่การทำร้ายกันในนามของพระเจ้า...
เราอาจต้องย้อนถามตัวเองว่า
“เราเข้าใจพระเจ้าอย่างไร?”

4. ทางออก: การสร้าง ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้ศรัทธา

คำถามที่สำคัญไม่ใช่เพียงว่า “เราควรห้ามแนวคิดสุดโต่งหรือไม่”
แต่คือ: เราจะสร้าง “ทางเลือกที่ปลอดภัย” ให้คนธรรมดาเรียนรู้ศาสนาอย่างมีสติได้อย่างไร?

แนวทางหนึ่งคือ:

🟩 เปิดพื้นที่แห่งความรู้ที่หลากหลาย

ส่งเสริมการเรียนรู้จากอุละมาอ์ต่างสำนัก

ส่งเสริมให้ถามอย่างมีมanners ไม่ใช่แค่ท่องจำ

ใช้เทคโนโลยีอย่างมีวิจารณญาณ ไม่ใช่ปฏิเสธโดยอัตโนมัติ

🟩 ยกระดับการสื่อสารในชุมชน

ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ข่มขู่

ปรับวิธีการเทศนาให้เน้นความเมตตา ความหวัง และความยืดหยุ่น

🟩 เปลี่ยนการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์

ให้เห็นว่าศาสนาอิสลามผ่านการเรียนรู้และการตีความที่หลากหลายมาตลอด

ชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งในอดีตไม่ได้มีเพียง “ถูก” หรือ “ผิด” แต่อยู่ท่ามกลางบริบทของมนุษย์

5. ข้อคิดส่งท้าย: เสียงแห่งความเมตตายังไม่ตายไป

“และจงอย่าอ่อนแอ หรือเศร้าใจ เพราะพวกเจ้าคือผู้สูงส่ง หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา” (อาละอิมรอน 3:139)

คำพูดนี้ไม่ใช่แค่กำลังใจสำหรับคนถูกกดขี่จากภายนอก
แต่มันอาจหมายถึงคนที่กำลังต่อสู้กับ กระแสสุดโต่งจากภายในอุมมะฮ์ ด้วย

อย่ากลัวที่จะยืนหยัดกับแนวคิดที่เรียกร้องความเมตตา
อย่าหวั่นไหวที่จะพูดว่า “ฉันไม่เห็นด้วย...แต่ฉันยังเคารพในศรัทธาของคุณ”
และอย่าลืมว่า...
ศาสนาอิสลามไม่เคยถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้คนต้องเหมือนกันหมด

อิสลามเป็นศาสนาแห่งประชาธิปทุกเชื้อชาติทุกผิวสีทุกหมู่เหล่า เพื่ออดีตเพื่อปัจจุบันเพื่ออนาคต

ความคิดเห็น