ซาอุดิกับอิหร่าน มีความขัดแย้งใด ที่นำไปสู่การเป็นศัตรูกัน แต่ละประเทศมีท่าทีต่อกันอย่างไร

ความขัดแย้งระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่านเป็นเรื่องซับซ้อนที่มีรากฐานมาจากหลายปัจจัย ทั้งทางด้านศาสนา การเมือง และภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งนำไปสู่การเป็นศัตรูกันอย่างยาวนานและมีอิทธิพลอย่างมากต่อความมั่นคงในตะวันออกกลาง

สาเหตุหลักที่นำไปสู่ความขัดแย้งและเป็นศัตรูกัน มีดังนี้:
 * ความขัดแย้งทางศาสนาและนิกาย: ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่ปกครองโดยราชวงศ์อัล-ซะอูด ซึ่งเป็นนิกายสุหนี่ (Sunni) ที่เข้มงวด ในขณะที่อิหร่านเป็นสาธารณรัฐอิสลามที่ปกครองโดยผู้นำศาสนานิกายชีอะห์ (Shia) ที่มีอำนาจสูงสุด ความแตกต่างทางนิกายนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องความเชื่อเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อแนวคิดทางการเมืองและอุดมการณ์ของทั้งสองประเทศ ซาอุดีอาระเบียมองว่าตนเองเป็นผู้นำของโลกมุสลิมนิกายสุหนี่ ส่วนอิหร่านก็พยายามเผยแพร่อุดมการณ์การปฏิวัติอิสลามของตนในหมู่ชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ทั่วโลก ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับซาอุดีอาระเบียอย่างมาก

 * การปฏิวัติอิหร่านในปี 1979: เหตุการณ์นี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศแย่ลงอย่างมาก การปฏิวัติอิหร่านโค่นล้มระบอบกษัตริย์ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และสถาปนาระบบการปกครองแบบสาธารณรัฐอิสลามขึ้นมา ซึ่งมีผู้นำศาสนาเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ทำให้อิหร่านกลายเป็นภัยคุกคามต่อระบอบกษัตริย์ของซาอุดีอาระเบียและประเทศอาหรับอื่นๆ ที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ

 * การแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำในภูมิภาค: ทั้งซาอุดีอาระเบียและอิหร่านต่างแข่งขันกันเพื่อขยายอิทธิพลและเป็นมหาอำนาจในตะวันออกกลาง โดยใช้สงครามตัวแทน (Proxy war) เป็นเครื่องมือ เช่น การเข้าไปมีส่วนร่วมในสงครามกลางเมืองในเยเมน ซีเรีย เลบานอน และอิรัก โดยซาอุดีอาระเบียจะสนับสนุนฝ่ายที่เป็นนิกายสุหนี่ ส่วนอิหร่านจะสนับสนุนฝ่ายที่เป็นนิกายชีอะห์

 * ประเด็นด้านพลังงานและเศรษฐกิจ: ทั้งสองประเทศเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกและเป็นสมาชิกของกลุ่มโอเปก (OPEC) การแข่งขันกันในตลาดน้ำมันและการกำหนดนโยบายการผลิตก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ความสัมพันธ์ไม่ราบรื่น

 * ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ: ซาอุดีอาระเบียเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน ในขณะที่อิหร่านมีนโยบายต่อต้านสหรัฐฯ และถือว่าสหรัฐฯ เป็นศัตรูหลักในภูมิภาค ซึ่งทำให้ซาอุดีอาระเบียมองว่าสหรัฐฯ เป็นเกราะป้องกันจากภัยคุกคามของอิหร่าน

ความขัดแย้งเหล่านี้ได้นำไปสู่เหตุการณ์สำคัญหลายครั้ง เช่น การตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน การเผชิญหน้ากันในพิธีฮัจญ์ที่นครมักกะฮ์ และล่าสุดคือการที่ซาอุดีอาระเบียได้ประหารนักวิชาการศาสนานิกายชีอะห์คนสำคัญในปี 2016 ซึ่งทำให้อิหร่านโกรธเคืองและนำไปสู่การประท้วงที่สถานทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงเตหะราน และซาอุดีอาระเบียได้ตอบโต้ด้วยการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านในที่สุด


นโยบายของซาอุดิ ต่อ อิหร่าน เป็นเช่นไรทั้งอดีตและปัจจุบัน

นโยบายของซาอุดีอาระเบียต่ออิหร่านมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านปี 1979 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเปลี่ยนจากความร่วมมือไปสู่ความเป็นศัตรู

อดีต (ก่อนปี 1979)
ในยุคก่อนการปฏิวัติอิหร่าน ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่านค่อนข้างราบรื่น แม้จะมีความตึงเครียดบ้างเป็นครั้งคราว โดยนโยบายของซาอุดีอาระเบียในช่วงนี้คือ:

 * การเป็นพันธมิตรกับอิหร่าน: ทั้งสองประเทศมองว่าตนเองเป็นผู้พิทักษ์ความมั่นคงในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย (Persian Gulf) และต่างเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในช่วงสงครามเย็น

 * ความร่วมมือด้านพลังงาน: ในฐานะผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือกันในกรอบของกลุ่ม OPEC

     แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านในปี 1979 นโยบายของซาอุดีอาระเบียก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
อดีต (หลังปี 1979)

หลังการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน                 นโยบายของซาอุดีอาระเบียมุ่งเน้นไปที่การควบคุมและต่อต้านอิทธิพลของอิหร่าน โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้:

 * การมองอิหร่านเป็นภัยคุกคาม: ซาอุดีอาระเบียมองว่าอุดมการณ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่านเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของตนและประเทศในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบอบกษัตริย์

 * การทำสงครามตัวแทน (Proxy Wars): ซาอุดีอาระเบียและอิหร่านได้เข้าไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้งต่างๆ ในภูมิภาค โดยสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามเพื่อแย่งชิงอิทธิพล เช่น:

   * สงครามอิรัก-อิหร่าน (1980-1988): ซาอุดีอาระเบียให้การสนับสนุนทางการเงินและอาวุธแก่อิรักเพื่อต่อต้านอิหร่านอย่างลับๆ

   * สงครามกลางเมืองในเยเมน ซีเรีย และเลบานอน: ซาอุดีอาระเบียสนับสนุนฝ่ายที่เป็นนิกายสุหนี่ ในขณะที่อิหร่านสนับสนุนกลุ่มชีอะห์ เช่น กลุ่มฮูตีในเยเมน และกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน

 * การใช้มาตรการทางการทูตและเศรษฐกิจ: ซาอุดีอาระเบียใช้มาตรการกดดันอิหร่านผ่านการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตหลายครั้ง และพยายามโน้มน้าวให้ประเทศพันธมิตรในภูมิภาคดำเนินนโยบายเช่นเดียวกัน

 * การสร้างพันธมิตรเพื่อปิดล้อมอิหร่าน: ซาอุดีอาระเบียร่วมกับประเทศอาหรับอื่นๆ จัดตั้งสภาความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council - GCC) เพื่อเป็นแนวร่วมในการรับมือกับภัยคุกคามจากอิหร่าน
ปัจจุบัน

ในระยะหลัง นโยบายของซาอุดีอาระเบียเริ่มมีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเข้าสู่อำนาจของมกุฎราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมาน (MBS) และการเข้ามามีบทบาทของจีนในการเป็นคนกลาง ทำให้เกิดการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศขึ้นมาอีกครั้ง:

 * การกลับมาฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต: ในเดือนมีนาคม 2023 ซาอุดีอาระเบียและอิหร่านได้บรรลุข้อตกลงในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต โดยมีจีนเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

 * การลดความตึงเครียด: นโยบายปัจจุบันของซาอุดีอาระเบียมีเป้าหมายที่จะลดความขัดแย้งในภูมิภาคและหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศตามแผน Vision 2030 มากขึ้น โดยเชื่อว่าการลดความตึงเครียดกับอิหร่านจะส่งผลดีต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาค

 * การรักษาสมดุลกับมหาอำนาจ: ซาอุดีอาระเบียพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่สมดุลกับมหาอำนาจโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ จีน หรือรัสเซีย เพื่อไม่ให้ต้องพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป ซึ่งการกระชับความสัมพันธ์กับจีนและรัสเซียก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อิหร่านเปิดใจที่จะเจรจาด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการฟื้นฟูความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ แต่ความขัดแย้งในเชิงอุดมการณ์และผลประโยชน์ยังคงมีอยู่ ซาอุดีอาระเบียยังคงเฝ้าระวังการขยายอิทธิพลของอิหร่านในภูมิภาค และยังคงจับตามองโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างใกล้ชิด นโยบายในปัจจุบันจึงเป็นเสมือน "การผ่อนคลายความขัดแย้ง" มากกว่า "การเป็นมิตรที่แนบแน่น" เพื่อให้ซาอุดีอาระเบียสามารถมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายทางเศรษฐกิจและสังคมของตนได้มากขึ้น

ในส่วนของอิหร่าน มีนโยบาย หรือท่าทีต่อซาอุดิเช่นไร

      นโยบายและท่าทีของอิหร่านต่อซาอุดีอาระเบียมีพลวัตที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางประวัติศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน

อดีต (ก่อนปี 1979)
     ในช่วงเวลาก่อนการปฏิวัติอิสลามในปี 1979 นโยบายของอิหร่านต่อซาอุดีอาระเบียเป็นไปในทิศทางของความร่วมมือในฐานะพันธมิตรของสหรัฐฯ ในช่วงสงครามเย็น ทั้งสองประเทศต่างเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่และมีความร่วมมือกันในกลุ่มโอเปก (OPEC)

อดีต (หลังปี 1979)
       หลังการปฏิวัติอิสลามในปี 1979 อิหร่านได้เปลี่ยนระบอบการปกครองไปสู่สาธารณรัฐอิสลาม และมีนโยบายที่มุ่งเน้นการ "ส่งออกการปฏิวัติอิสลาม" (exporting the revolution) ไปยังประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศมุสลิม นโยบายของอิหร่านต่อซาอุดีอาระเบียจึงเปลี่ยนไปเป็น:

 * การท้าทายอำนาจนำของซาอุดีอาระเบีย: อิหร่านมองว่าระบอบกษัตริย์ของซาอุดีอาระเบียไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นผู้พิทักษ์ศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม (นครมักกะฮ์และมะดีนะฮ์) และพยายามที่จะขยายอิทธิพลของนิกายชีอะห์เพื่อท้าทายอำนาจของนิกายสุหนี่ที่ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้นำ

 * การสนับสนุนกลุ่มชีอะห์ในภูมิภาค: อิหร่านได้ให้การสนับสนุนกลุ่มการเมืองและกองกำลังติดอาวุธนิกายชีอะห์ในประเทศต่างๆ เช่น กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน กลุ่มฮูตีในเยเมน และกลุ่มชีอะห์ในอิรัก ซึ่งถือเป็นการทำสงครามตัวแทนกับซาอุดีอาระเบียและพันธมิตร
 * การโจมตีซาอุดีอาระเบียในสงครามตัวแทน: อิหร่านมีบทบาทสำคัญในการให้การสนับสนุนทางทหารและการเงินแก่กลุ่มฮูตีในเยเมน ซึ่งได้ทำการโจมตีเป้าหมายทางทหารและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในซาอุดีอาระเบียหลายครั้ง

 * ความตึงเครียดด้านพิธีฮัจญ์:                  อิหร่านและซาอุดีอาระเบียมีความขัดแย้งกันหลายครั้งในประเด็นการบริหารจัดการพิธีฮัจญ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์นองเลือดในปี 1987 ที่ทำให้ความสัมพันธ์เลวร้ายลงถึงขั้นตัดความสัมพันธ์ทางการทูต

ปัจจุบัน
ในปัจจุบัน นโยบายและท่าทีของอิหร่านเริ่มมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการบรรลุข้อตกลงฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2023 โดยมีจีนเป็นคนกลาง นโยบายของอิหร่านในช่วงนี้มุ่งเน้นไปที่:

 * การแสวงหาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ: อิหร่านพยายามที่จะเปิดกว้างทางเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางและเอเชีย การลดความตึงเครียดกับซาอุดีอาระเบียจึงเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายนี้ เพื่อให้สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรได้

 * การลดความโดดเดี่ยวทางการเมือง: การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียช่วยให้อิหร่านสามารถลดความโดดเดี่ยวทางการเมืองในเวทีระหว่างประเทศและภูมิภาคได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศอาหรับอื่นๆ

 * การสร้างความสมดุลกับมหาอำนาจโลก: อิหร่านพยายามที่จะลดการพึ่งพามหาอำนาจใดอำนาจหนึ่ง โดยการกระชับความสัมพันธ์กับจีนและรัสเซีย ซึ่งทั้งสองประเทศมีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในภูมิภาค

 * การรักษาสถานะทางภูมิรัฐศาสตร์:          แม้จะมีการฟื้นฟูความสัมพันธ์ แต่อิหร่านยังคงรักษาสถานะของตนในฐานะมหาอำนาจในตะวันออกกลางและยังคงสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธพันธมิตรในภูมิภาค การฟื้นฟูความสัมพันธ์จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของอิหร่านเองในการรักษาสมดุลทางอำนาจ

สรุปได้ว่า นโยบายของอิหร่านต่อซาอุดีอาระเบียในปัจจุบันเป็นไปในแนวทางที่ระมัดระวัง โดยมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและลดความตึงเครียดทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แต่ยังคงรักษาอิทธิพลในภูมิภาคไว้เป็นสำคัญ

ความคิดเห็น