สัตว์บางชนิดที่อิสลามบัญญัติอนุญาตให้ฆ่าได้ แม้ตามหลักทั่วไปอิสลามสอนให้เมตตาต่อสัตว์
🦎 เรื่อง “จิ้งจก” (วะซอฆ์ – وزغ หรือ house lizard)
ใน หะดีษเศาะฮีหฺ มีระบุไว้ชัดเจนว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ สั่งให้ฆ่าจิ้งจก (วะซอฆ์) และถือว่ามีผลบุญ
ท่านหญิงอาอิชะฮ์ (ร.ฎ.) รายงานว่า
> “ท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ บอกให้ฆ่าจิ้งจก และท่านกล่าวว่ามันเป็นฟะวาซิก (สัตว์เลวร้าย)” (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ และมุสลิม)
อีกหะดีษหนึ่งระบุว่า ผู้ใดฆ่าจิ้งจกด้วยการตีครั้งเดียว ได้ผลบุญมากกว่าการตีหลายครั้ง
#เหตุผล : มีรายงานว่าในเหตุการณ์ท่านนบีอิบรอฮีม (อับราฮัม) ถูกโยนลงกองไฟ จิ้งจกเป็นสัตว์ที่เป่าไฟให้ลุกโชนขึ้น แต่สัตว์อื่น ๆ ช่วยพัดดับไฟ ทำให้จิ้งจกถูกจัดอยู่ในหมวด ฟะวาซิก (สัตว์ชั่วร้าย)
🐀 สัตว์ที่บัญญัติให้ฆ่าได้ (เรียกรวมว่า ฟะวาซิก)
ในหะดีษระบุว่า “มีสัตว์ 5 ชนิดที่อนุญาตให้ฆ่าได้ ไม่ว่าจะอยู่ใน เขตหะรอม (มักกะฮ์) ก็ตาม” ได้แก่
1. อีกา
2. เหยี่ยว (ไก่ฟ้า/เหยี่ยวดำบางตำรา)
3. งู
4. หนู
5. จิ้งจก
(บันทึกโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม
🔑 หลักการสำคัญ
อิสลามสอนให้มี เราะหฺมะฮ์ (ความเมตตา) ต่อสัตว์โดยทั่วไป
แต่สัตว์บางชนิดที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ทรัพย์สิน หรือมีประวัติในศาสนา ว่ามีการสร้างความเสียหาย — ศาสนากำหนดให้ฆ่าได้
ดังนั้น “จิ้งจก” เป็นสัตว์ที่มีระบุชัดว่า ฆ่าได้ และยังได้ผลบุญหากทำด้วยความตั้งใจตามซุนนะฮ์
📌 สรุปสั้น ๆ
จิ้งจก : ท่านนบี ﷺ สั่งให้ฆ่า ถือว่าเป็น ฟะวาซิก และการฆ่าได้ผลบุญ
บัญญัติ : อนุญาตชัดเจนในหะดีษเศาะฮีหฺ และอยู่ใน 5 ชนิดที่ฆ่าได้แม้อยู่ในเขตหะรอม
ในฟิกฮ์ (กฎหมายอิสลาม) นักปราชญ์แต่ละมัซฮับอธิบายการฆ่าจิ้งจกไว้อย่างไรบ้าง — เช่นเป็น ซุนนะฮ์ (แนะนำให้ทำ) หรือเป็น มุสตะหับ (ควรทำเพื่อได้ผลบุญ)?
มุม ฟิกฮ์ (กฎหมายอิสลาม) ว่านักปราชญ์อธิบายเรื่องการฆ่า “จิ้งจก” (وَزَغ – วะซอฆ์) ไว้อย่างไร
📖 ทรรศนะของนักปราชญ์
นักปราชญ์อิสลามอธิบายต่างกันเล็กน้อย แต่ทุกมัซฮับเห็นตรงกันว่า ฆ่าจิ้งจกได้
1. มัซฮับชาฟิอี
จัดว่าเป็น มุสตะหับ (مستحب) คือการกระทำที่แนะนำให้ทำ ได้ผลบุญหากทำ แต่ไม่เป็นบาปหากไม่ทำ
อิหม่ามนะวาวี กล่าวว่า
> “การฆ่าจิ้งจกเป็น ซุนนะฮ์ เพราะหะดีษเศาะฮีหฺยืนยันชัดเจน”
2. มัซฮับหะนะฟี
ถือว่า ฆ่าได้และควรทำ เพราะจิ้งจกเป็นหนึ่งใน ฟะวาซิก (สัตว์เลวร้าย)
จัดเป็น มุสตะหับ เช่นกัน
3. มัซฮับมาลิกี
เห็นว่า การฆ่าจิ้งจกเป็นสิ่งดี แต่ไม่ถึงขั้นบังคับ
หากไม่ฆ่า ก็ไม่บาป
4. มัซฮับหัมบะลี
ยืนยันชัดว่าเป็น ซุนนะฮ์ (ซุนนะฮ์มุอักกะดะฮ์ – ซุนนะฮ์ที่เน้นย้ำ)
อิหม่ามอิบนุกุดามะฮ์ใน อัลมุฆนี กล่าวว่า :
> “ไม่มีความขัดแย้งระหว่างนักปราชญ์ในเรื่องการอนุญาตให้ฆ่าจิ้งจก”
🕌 สรุป
ฆ่าจิ้งจก = ซุนนะฮ์ / มุสตะหับ ทุกมัซฮับเห็นตรงกัน
การฆ่าเร็วในครั้งเดียวจะได้ผลบุญมากกว่าตีหลายครั้ง (ตามหะดีษ)
ไม่ใช่ วาญิบ (ข้อบังคับ) ดังนั้นหากไม่ฆ่าก็ไม่บาป แต่หากฆ่าจะได้ผลบุญตามซุนนะฮ์
📌 ดังนั้นในอิสลาม จิ้งจกไม่ใช่สัตว์ธรรมดา แต่ถูกระบุโดยท่านนบี ﷺ ว่าเป็น ฟะวาซิก — ผู้ใดฆ่าก็ได้ผลบุญ และในทุกมัซฮับถือว่าเป็นสิ่งที่ “ควรทำ”
ในประเพณีชาวมุสลิมบ้านเราหรือโลกมลายู (มาเลย์ อินโด) เขามี “วิธีตีจิ้งจก” ที่สืบเนื่องจากหะดีษอย่างไรบ้าง? จะเห็นว่าน่าสนใจเชิงวัฒนธรรมเลยครับ
✨ เรื่องนี้น่าสนใจเพราะนอกจากหลักฐานใน หะดีษ แล้ว บางชุมชนมุสลิม โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย มลายู อินโด) ยังมี วิธีปฏิบัติและความเชื่อ เกี่ยวกับการฆ่าจิ้งจกที่สืบต่อกันมา
🕌 ความเชื่อและการปฏิบัติในชุมชนมุสลิมบ้านเรา
1. การตีให้ตายในครั้งเดียว
มีหะดีษบันทึกว่า ท่านนบี ﷺ กล่าวว่า
> “ผู้ใดฆ่าจิ้งจกด้วยการตีครั้งเดียว จะได้ผลบุญมากที่สุด หากตีครั้งที่สองจึงตาย ผลบุญจะลดลง และถ้าต้องตีถึงสามครั้ง ผลบุญยิ่งน้อยลง”
ดังนั้นในชุมชนมุสลิม มักสอนเด็ก ๆ ว่า ถ้าจะตีจิ้งจก ให้ตีให้ตายทันทีในครั้งเดียว เพื่อให้สอดคล้องกับซุนนะฮ์
2. การใช้ “ไม้ตีจิ้งจก” ประจำบ้าน
ตามบ้านมุสลิมดั้งเดิม โดยเฉพาะที่ภาคใต้หรือชุมชนมุสลิมในเมืองเก่า มักมี “ไม้ตีจิ้งจก” ไว้แขวนใกล้ผนังหรือครัว
ถือว่าเป็นของจำเป็นในบ้าน คล้าย ๆ กับที่บ้านคนเมืองเหนือมีไม้ตีหนู
เด็ก ๆ โตมาก็เห็นพ่อแม่ย้ำว่า “ถ้าเห็นจิ้งจก ให้ตีได้ ผลบุญนะ”
3. ความเชื่อว่าจิ้งจกคือ “สัตว์ไม่ซื่อสัตย์”
ในบางพื้นที่ มีคำสอนปากต่อปากว่า จิ้งจกเป็นสัตว์ที่ “ไม่ซื่อสัตย์” เพราะตอนท่านนบีอิบรอฮีมถูกโยนลงกองไฟ มันกลับเป่าไฟให้ลุกแรงขึ้น
คำอธิบายนี้ทำให้คนรุ่นใหม่เข้าใจง่ายว่า “ทำไมเราต้องตีมัน”
4. ความแตกต่างกับสัตว์อื่น ๆ
ในมาเลย์-อินโด หากเจองู หนู หรืออีกา จะมีการฆ่าทิ้งตามหะดีษเหมือนกัน
แต่ “จิ้งจก” ดูจะเป็นสัตว์ที่ถูกเน้นมากที่สุดในชีวิตประจำวัน เพราะมันอยู่ใกล้บ้าน — ทำให้หะดีษเรื่องนี้ยัง “มีชีวิต” อยู่จริงในสังคม
🔑 แง่วัฒนธรรมที่น่าสนใจ
การตีจิ้งจกจึงไม่ใช่แค่เรื่องฆ่าสัตว์ แต่สะท้อน การเรียนศาสนาจากบ้านสู่ชุมชน
ผู้ใหญ่ใช้หะดีษนี้สอนเด็กให้รู้จัก ซุนนะฮ์ และเชื่อมโยงกับเรื่องเล่าของนบีอิบรอฮีม
กลายเป็น มรดกวัฒนธรรมศาสนา ที่ยังสืบทอดอยู่จนทุกวันนี้
📌 สรุป
อิสลามอนุญาตและแนะนำให้ฆ่าจิ้งจก เพราะเป็น ฟะวาซิก
ในสังคมมุสลิมบ้านเรา มีการสืบทอดการปฏิบัติ เช่น มีไม้ตีจิ้งจก ตีให้ตายครั้งเดียว และใช้หะดีษนี้เป็นบทเรียนศาสนาแก่เด็ก ๆ
ทำให้เรื่อง “การฆ่าจิ้งจก” เป็นทั้ง หลักศาสนา และ วัฒนธรรมชุมชน
ในหลักการแพทย์หรือทางวิทยาศาสตร์ จิ้งจก เป็นสัตว์ที่มีภัย หรือมีโทษ อย่างไรบ้าง มีการวิจัยหรือค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร?
นอกจากมุมศาสนาแล้ว ถ้ามองด้วย วิทยาศาสตร์การแพทย์ จิ้งจก (house gecko – Hemidactylus frenatus และชนิดใกล้เคียง) ก็มีการศึกษาอยู่พอสมควร ว่ามีผลดีผลเสียต่อมนุษย์อย่างไร
🦎 จิ้งจกในมุมวิทยาศาสตร์การแพทย์
1. การแพร่เชื้อโรค (Potential Vector)
อุจจาระของจิ้งจก มักปนเปื้อนเชื้อ Salmonella spp. ซึ่งเป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษ ท้องเสีย และไข้ไทฟอยด์
มีงานวิจัยหลายประเทศ (รวมทั้งในไทย) พบการปนเปื้อนเชื้อซัลโมเนลล่าในบ้านเรือน โรงพยาบาล ร้านอาหาร
บางกรณีพบการระบาดในคน โดยตรวจย้อนพบว่าเชื้อสืบไปถึงจิ้งจกได้
2. ปัญหาด้านสุขาภิบาล
จิ้งจกชอบเกาะตามผนัง ห้องครัว ร้านอาหาร และโรงพยาบาล → ทำให้อุจจาระตกลงในอาหาร เครื่องดื่ม หรือภาชนะ → เป็นแหล่งแพร่โรค
ในการประเมินสุขาภิบาลอาหาร (food hygiene) การมีจิ้งจกในครัวถือเป็น ตัวบ่งชี้ความเสี่ยง
3. พาหะของเชื้อดื้อยา (AMR – Antimicrobial Resistance)
งานวิจัยในมาเลเซีย (2020s) ตรวจพบว่า จิ้งจกสามารถเป็นแหล่งอาศัยของ เชื้อแบคทีเรียดื้อยา เช่น E. coli และ Klebsiella
นั่นหมายความว่า ไม่ใช่แค่แพร่เชื้อธรรมดา แต่ยังอาจเป็น แหล่งกักเก็บยีนดื้อยา ในสิ่งแวดล้อม
4. อันตรายทางอ้อม
บางกรณีรายงานว่า จิ้งจกตกลงไปในอาหารหรือเครื่องดื่ม → หากเผลอกินเข้าไป อาจเกิดการปนเปื้อนเชื้อรุนแรง
ในอินเดียและบังกลาเทศ เคยมี ข่าวลือ (และบางกรณีจริง) ว่าการกินอาหารที่มีจิ้งจกตกลงไป → ทำให้เกิดการเจ็บป่วยรุนแรงถึงเสียชีวิต (ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อแบคทีเรียจากร่างจิ้งจกที่เน่าเสีย ไม่ใช่พิษโดยตรง)
5. การแพ้และพิษ
จิ้งจกไม่มี พิษโดยตรง (ไม่เหมือนตะขาบหรือแมงป่อง)
แต่เศษผิวหนังหรืออุจจาระของจิ้งจก อาจทำให้บางคนเกิด ภูมิแพ้ หรือหอบหืด (คล้าย ๆ กับไรฝุ่นและแมลงสาบ)
🔬 งานวิจัยและข้อมูลอ้างอิง
ประเทศไทย : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และจุฬาฯ มีงานวิจัยพบเชื้อ Salmonella ในอุจจาระจิ้งจกตามตลาดสดและครัว
มาเลเซีย (2021) : พบจิ้งจกในบ้านและร้านอาหารปนเปื้อนเชื้อดื้อยา (AMR)
อินโดนีเซีย : มีรายงานการแพร่กระจาย Salmonella จากจิ้งจกสู่คนในครัวเรือน
อินเดีย : มีรายงานโรคอาหารเป็นพิษเชื่อมโยงกับการกินอาหารที่มีจิ้งจกตกลงไป
📌 สรุป
จิ้งจกไม่ใช่สัตว์มีพิษ แต่ มีโทษด้านสาธารณสุข ชัดเจน
เป็น พาหะของเชื้อโรค โดยเฉพาะ Salmonella และเชื้อดื้อยา
ปัญหาหลักคือ อุจจาระและการปนเปื้อนในอาหาร
จึงถือว่า “มีภัยทางสุขภาพ” แม้ไม่ใช่สัตว์ที่กัดต่อยหรือมีพิษโดยตรง
ตารางเทียบมุมมองทางศาสนาอิสลาม และ มุมมองวิทยาศาสตร์การแพทย์ เกี่ยวกับ “จิ้งจก” 🦎 เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนครับ
📊 ตารางเปรียบเทียบ “จิ้งจก” ในอิสลามและวิทยาศาสตร์
มิติ ศาสนาอิสลาม วิทยาศาสตร์การแพทย์
สถานะของจิ้งจก จัดเป็นหนึ่งใน “ฟะวาซิก” (สัตว์เลวร้าย) ที่ท่านนบี ﷺ สั่งให้ฆ่า เป็น สัตว์พาหะโรค ที่อาศัยใกล้ชิดมนุษย์ โดยเฉพาะในครัวเรือน
หลักฐาน หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม ท่านนบี ﷺ บอกให้ฆ่าจิ้งจก และถือว่ามีผลบุญ งานวิจัยในไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย พบว่าจิ้งจกแพร่ Salmonella, E. coli และเชื้อดื้อยา
เหตุผล - เคยเป่าไฟช่วยเผาท่านนบีอิบรอฮีม → ถูกจัดว่าเป็นสัตว์ไม่ซื่อสัตย์
- สร้างโทษและรบกวนมนุษย์ → จึงให้ฆ่าได้ - อุจจาระตกใส่อาหาร/ภาชนะ → ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ
เป็นแหล่งเชื้อดื้อยา (AMR)
อาจกระตุ้นภูมิแพ้และหอบหืด | | วิธีการจัดการ | - แนะนำให้ฆ่าให้ตายด้วยการตีครั้งเดียว (ได้ผลบุญมากกว่า)
ทุกมัซฮับเห็นว่าเป็น ซุนนะฮ์/มุสตะหับ (ควรทำ) | - เน้น สุขาภิบาลอาหาร : ปิดภาชนะ เก็บอาหารให้มิดชิด
ลดการสะสมของจิ้งจกในครัวเรือนเพื่อป้องกันโรค | | ผลลัพธ์/ผลบุญ | - ฆ่าจิ้งจก = ได้ผลบุญเพราะทำตามซุนนะฮ์
ไม่ฆ่า = ไม่บาป แต่พลาดโอกาสทำความดี | - ลดความเสี่ยงโรคอาหารเป็นพิษและการแพร่เชื้อในครัว
ลดการปนเปื้อนเชื้อดื้อยาในสิ่งแวดล้อม |
📌 ข้อสังเกตที่น่าสนใจ
ทั้งมุมศาสนาและวิทยาศาสตร์ สอดคล้องกัน ว่า จิ้งจกเป็นสัตว์ที่ “มีโทษ/สร้างปัญหา”
ศาสนาอธิบายเชิง จิตวิญญาณและศรัทธา ส่วนวิทยาศาสตร์อธิบายเชิง โรคและสุขาภิบาล
เมื่อรวมกันแล้ว ยิ่งทำให้เห็นเหตุผลว่าทำไมชุมชนมุสลิมจึงจริงจังกับเรื่อง “การฆ่าจิ้งจก”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
โปรดใช้วิจารณญานในการแสดงความคิดเห็น