กำเนิดราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย" และการเข้ายึด หิญาซ


เรื่อง "กำเนิดราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย" และการเข้ายึด หิญาซ (Hijaz) ซึ่งรวมถึง เมืองศักดิ์สิทธิ์มักกะฮ์และมะดีนะฮ์ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกมุสลิมในศตวรรษที่ 20


📍 1. ซาอุดีอาระเบียมีที่มาอย่างไร?

⚔️ จุดเริ่มต้น:

ราชวงศ์ซะอูด (Āl Saʿūd) เริ่มปรากฏบทบาทตั้งแต่ กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยจับมือกับนักวิชาการศาสนาแนวทางซะลัฟีย์/วะฮาบีย์ คือ:

✳️ เชคมุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ (เสียชีวิตปี ค.ศ. 1792)
ร่วมอุดมการณ์กับ มุฮัมมัด อิบนุ ซะอูด ปกครองเมืองอัดดิริยะห์ (ใกล้กรุงริยาฎปัจจุบัน)

➤ อุดมการณ์นี้เน้น "ความบริสุทธิ์ของเตาฮีด" ต่อต้านการกราบไหว้กุโบร์ สิ่งงมงาย และซูฟีย์แบบเก่า


🏰 2. ซาอูดียึดหิญาซและมักกะฮ์ได้อย่างไร?

📆 ย้อนสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914–1918):

บริเวณหิญาซ อยู่ภายใต้การปกครองของ จักรวรรดิออตโตมัน (เติร์กอุษมานียะฮ์) แต่มี “ผู้ว่าราชการ” ซึ่งเป็น ชารีฟฮุเซน อัล-ฮาชิมี (Sharif Ḥusayn), เชื้อสายของนบีมุฮัมมัด ﷺ


🎯 จุดเปลี่ยน:

🇬🇧 อังกฤษให้การสนับสนุน:

  • อังกฤษ ใช้ชารีฟฮุเซนเป็นพันธมิตร ต่อต้านออตโตมัน โดยให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนให้ตั้งประเทศอาหรับ (Arab Revolt)
  • แต่เบื้องหลัง อังกฤษ ก็จับมือกับอัลซะอูด ด้วยเช่นกัน

✅ อังกฤษหนุนราชวงศ์ซะอูดด้วยอาวุธ เงิน และการเมือง
โดยมองว่าซาอูดเป็นพันธมิตรที่ “ควบคุมได้” และช่วยขัดอิทธิพลเติร์ก


⚔️ กลยุทธ์ของอิบนุซะอูด:

อับดุลอะซีซ อิบนุซะอูด (ผู้ก่อตั้งซาอุดีอาระเบียยุคใหม่)

  • เริ่มจากควบรวมเขต Najd (ศูนย์กลางของวะฮาบีย์)
  • สร้างกองทัพ "อิคนอาน์" (Ikhwān) คือ นักรบมุสลิมชนบทผู้จงรักภักดีต่อแนวทางวะฮาบีย์
  • บุกตีเมืองต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

🕋 การเข้ายึดมักกะฮ์และหิญาซ:

  • ปี 1924–1925:
    • อิบนุซะอูดยกทัพเข้าตีเมือง ฏออิฟ, มักกะฮ์ และมะดีนะฮ์
    • ชารีฟฮุเซน (ฮาชิมี) ถูกขับออกจากหิญาซ
    • ราชวงศ์ฮาชิมีต้องลี้ภัยไปยังจอร์แดน
    • อังกฤษ "นิ่งเฉย" เพราะประเมินว่าซาอูดจะควบคุมสถานการณ์ได้ง่ายกว่า

🕌 การเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ:

ปี 1932:

  • อิบนุซะอูดประกาศรวมดินแดนทั้งหมด → ตั้งประเทศชื่อว่า
    👉 ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย (Kingdom of Saudi Arabia)

🧭 สรุป: ใครสนับสนุนซาอูด และใช้วิธีการใด

ปัจจัย รายละเอียด
🧠 อุดมการณ์ ร่วมมือกับนักวิชาการวะฮาบีย์ เพื่อสร้าง "รัฐอิสลามบริสุทธิ์"
🔫 วิธีการ ใช้กำลังทหาร + นักรบ Ikhwān ตีเมืองต่อเมือง
🇬🇧 การสนับสนุน อังกฤษให้การสนับสนุนเบื้องหลัง (อาวุธ/การทูต/การเงิน)
🕌 เป้าหมาย ยึดเมืองมักกะฮ์ มะดีนะฮ์ และไล่ชารีฟฮุเซนออก
🏁 ผลลัพธ์ ก่อตั้งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียในปี 1932

ราชวงศ์ซาอูดและขบวนการวะฮาบีย์ (Salafi-Wahhabi) ที่ร่วมมือกันตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ใช้หลักการทางศาสนาเป็นเหตุผลหลักในการต่อสู้—even ถึงขั้นเข่นฆ่ามุสลิมที่ไม่เห็นพ้องกับแนวทางของตน โดยเฉพาะในช่วงก่อตั้งอาณาจักรซาอุดีอาระเบียช่วงต้น มีเหตุผลและแนวคิดสำคัญที่ใช้เป็นข้ออ้างหลักดังนี้

🛡️ เหตุผลทางอุดมการณ์ศาสนา:

1. “ชะริก” (การตั้งภาคี) และ “บิดอะฮ์” (สิ่งใหม่ในศาสนา)

ขบวนการวะฮาบีย์เห็นว่ามุสลิมจำนวนมากในยุคนั้น "หลงทาง" เช่น

-เคารพกุโบร์ (สุสานนักวิชาการ/นักบุญ)

-ขอพรจากผู้ตาย (ตะวัสสุล)

-มีพิธีกรรมซูฟีที่พวกเขาเห็นว่าเป็น "สิ่งงมงาย"

➡️ พวกเขาจึงประกาศว่า การกระทำเหล่านี้คือ “ชะริก” และผู้ที่ไม่ละทิ้งสิ่งเหล่านี้ อาจกลายเป็น “กาเฟร” (ผู้ปฏิเสธศรัทธา)

> ❗ นี่คือฐานอุดมการณ์ที่นำไปสู่การ อนุญาตให้ต่อสู้กับมุสลิมคนอื่น ๆ


🏇 2. การญิฮาด (อ้างว่าเพื่อการปฏิรูปอิสลาม)

-พวกเขาถือว่าการ “กำจัดความเชื่อผิด” เป็นการ ญิฮาดฟีสะบีลิลลาห์

เช่น การยึดเมืองมักกะฮ์จากฮาชิมี

-การโจมตีเผ่าอาหรับอื่น ๆ ที่ปฏิเสธการเข้าร่วมแนวทางซะอูด/วะฮาบีย์

> ➤ คนที่ไม่ยอมเข้าร่วมกับอิบนุซะอูด บางกลุ่มถูกเรียกว่า มุชริกีน (ตั้งภาคี), ซึ่งกลายเป็น "ศัตรูที่ชอบธรรมในการต่อสู้"

🕌 ตัวอย่างจริงในประวัติศาสตร์:


🔥 เหตุการณ์ “การสังหารหมู่ที่ฏออิฟ” (Ta’if Massacre) ปี 1924

หลังจากอิคนอาน์ (Ikhwān – กองทัพของอิบนุซะอูด) บุกเมืองฏออิฟ

-พวกเขาเข่นฆ่าประชาชนที่เห็นต่าง โดยกล่าวหาว่าเป็น มุชริกีน

-ชาวเมืองส่วนมากเป็นมุสลิมซุนนี แต่มีแนวโน้มไปทางซูฟีย์แบบดั้งเดิม

➡️ เหตุการณ์นี้ทำให้โลกมุสลิมหลายฝ่าย "ตกตะลึงและไม่ยอมรับ"


📜 คำวิจารณ์จากนักวิชาการยุคนั้น:

🔹 อัลอัซฮัร (อียิปต์) และนักวิชาการจากอินเดีย เช่น อิหม่ามอะหมัด ริฎอ ข่าน

ออก ฟัตวา ว่าการกล่าวหามุสลิมว่าเป็นกาเฟร หรือฆ่าพวกเขา

➡️ เป็นสิ่งต้องห้าม และเป็นการทำลายเอกภาพของอุมัฮ์

🧠 สรุปแนวคิดที่ราชวงศ์ซาอูดใช้:

แนวคิด คำอธิบาย

🔥 ชะริก/บิดอะฮ์ กล่าวหามุสลิมกลุ่มอื่นว่าตั้งภาคี ทำสิ่งใหม่ที่ไม่ถูกต้องในศาสนา

⚔️ ญิฮาด อ้างว่าเป็นญิฮาดเพื่อฟื้นฟูศาสนา

🧱 ฟัตวาและหลักฐาน มีนักวิชาการแนววะฮาบีย์ออกฟัตวารับรองการต่อสู้กับมุสลิมที่ไม่เข้าร่วม

🔄 ขยายดินแดน ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการรวบอำนาจและรวมเผ่าอาหรับ

ยอดเยี่ยมครับ! ต่อไปนี้คือสรุปประวัติศาสตร์โดยละเอียดของ ราชวงศ์ซาอูด และขบวนการ วะฮาบีย์ ที่ส่งผลต่อภูมิภาคอาหรับและโลกมุสลิม

🏰 ราชวงศ์ซาอูด และขบวนการวะฮาบีย์: จากเผ่าทะเลทรายสู่ผู้ครองหิญาซและน้ำมัน

⚔️ จุดเริ่มต้น: การรวมตัวระหว่างศาสนาและอำนาจ

ปี 1744: มี สนธิสัญญาทางศาสนาและการเมือง ระหว่าง

มุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ (นักปฏิรูปศาสนา) กับ มุฮัมมัด อิบนุ ซาอูด (ผู้นำเผ่าแห่งอัด-ดิริยะฮ์)

-เป้าหมาย: "ฟื้นฟูอิสลามบริสุทธิ์" ตามแนวทาง ซะละฟีย์ และ ต่อต้าน "บิดอะฮ์" (การเพิ่มเติมในศาสนา)

-แนวคิดวะฮาบีย์ถือว่า สุฟีย์, ชีอะฮ์, และการเคารพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บางประเภทเป็น "ชิริก" (การตั้งภาคี)


🏇 ระลอกแรก: รัฐซาอุดีที่ 1 (1744–1818)

ใช้กองทัพและแนวคิดทางศาสนา ยึดพื้นที่ในคาบสมุทรอาหรับ, รวมถึง มักกะฮ์–มะดีนะฮ์

พฤติกรรม:

-ทำลาย สุสานและโดม ของบรรดานบีและเศาะหาบะฮ์

-ประหารมุสลิมที่ไม่เห็นด้วย ด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็น "มุชริก"

-ปี 1818: กองทัพออตโตมัน (นำโดยอิบราฮิม ปาชา บุตรของมุฮัมมัด อะลีกษัตริย์อียิปต์) เข้ายึดริยาดและทำลายรัฐนี้

🏹 ระลอกที่สอง: รัฐซาอุดีที่ 2 (1824–1891)

ก่อตั้งใหม่ที่เมือง ริยาด

เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างสายตระกูลซาอูด → ล่มสลายอีกครั้งเมื่อถูกเผ่า อัรรอชีด โค่น

🌍 ระลอกที่สาม: ราชวงศ์ซาอุดีที่ 3 และกำเนิดซาอุดิอาระเบีย

อับดุลอะซีซ อิบนุ ซาอูด (Ibn Saud) คือผู้ก่อตั้งซาอุดิอาระเบียยุคใหม่

-ปี 1902: ยึดคืนริยาดด้วยกำลังทหาร

-ปี 1925: ยึด หิญาซ (มักกะฮ์และมะดีนะฮ์) จากราชวงศ์ฮาชิมีย์ (ผู้ดูแลเมืองศักดิ์สิทธิ์ในนามของออตโตมัน)

-ปี 1932: ประกาศจัดตั้งประเทศ "ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย" อย่างเป็นทางการ

🛢️ การสนับสนุนจากตะวันตก

-ซาอูดร่วมมือกับ อังกฤษ ในช่วงสงครามโลก เพื่อโค่นอำนาจออตโตมัน

-บริษัทน้ำมันสหรัฐฯ (Aramco) เข้ามาสำรวจและพบน้ำมันในปี 1938 → ทำให้ซาอุดิอาระเบียกลายเป็น “ขุมพลังทางเศรษฐกิจ” ทันที

💣 เหตุผลในการสู้รบและฆ่ามุสลิมด้วยกัน

    1. แนวคิด "ตักฟีร": กล่าวหามุสลิมคนอื่นว่าเป็น กุฟฟาร หากไม่ปฏิบัติตามแนวทางวะฮาบีย์

   2. การทำลายสุสาน-โดม: เห็นว่าการให้ความสำคัญกับหลุมฝังศพคือ “ชิริก”

   3. แนวทางแข็งกร้าว: ต่อสู้ทั้งเผ่าต่าง ๆ ในคาบสมุทรอาหรับ รวมถึงชีอะฮ์ สุฟีย์ และแม้แต่มุสลิมซุนนีอื่น ๆ ที่ไม่เห็นด้วย

    4. ใช้ “อิคนอาน์” (Ikhwan): ทหารนักบวชผู้ศรัทธารุนแรง → ทำสงครามศาสนา

🔥 เหตุการณ์สำคัญที่กระทบโลกมุสลิม

ปี เหตุการณ์ ผลกระทบ

-1803–1806 ยึดหิญาซครั้งแรก ทำลายสุสานหลายแห่ง

-1925 ยึดมักกะฮ์จากราชวงศ์ฮาชิมีย์ ราชวงศ์ฮาชิมีย์หนีไปตั้งรัฐในจอร์แดน

-1979 การยึดมัสยิดหะรอมโดยกลุ่มก่อการร้ายอิสลามในซาอุฯ กระตุ้นการปิดกั้นเสรีภาพทางศาสนา

-2000 การแพร่แนวคิดวะฮาบีย์ทั่วโลกโดยผ่านทุนจากซาอุฯ ส่งผลให้แนวคิดสุดโต่งกระจายไปยังหลายประเทศ

🕊️ ปัจจุบัน: การเปลี่ยนแปลงในยุคมกุริน

โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน (MBS) พยายามลดบทบาทแนวทางวะฮาบีย์แบบเดิม

เปิดประเทศ ปฏิรูปเศรษฐกิจ และสร้าง "นีโอม" เมืองอนาคต

มีความร่วมมือกับตะวันตกมากขึ้น และพยายามลดความขัดแย้งทางศาสนา


 การก่อตั้งราชวงศ์ซาอูด, ขบวนการวะฮาบีย์, และ การเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์ของโลกมุสลิม โดยแบ่งเป็นหัวข้อสำคัญดังนี้:

🏜️ 1. จุดเริ่มต้น: พันธมิตรระหว่างอิบนุซาอูดกับมุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ

-ปี ค.ศ. 1744 (ฮ.ศ. 1157): มุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ (นักปฏิรูปศาสนา) ทำสัญญากับ มุฮัมมัด อิบนุ ซาอูด (ผู้นำเมืองอัด-ดิริยะฮ์)

ข้อตกลง: อิบนุซาอูดให้การสนับสนุนทางทหารและการเมือง / อิบนุอับดุลวะฮาบให้การชอบธรรมทางศาสนา


แนวคิดหลักของวะฮาบีย์: ต่อต้าน “ชิรก” (การตั้งภาคี), ต่อต้านสิ่งที่เห็นว่าเป็น “บิดอะฮ์” เช่น การขอความช่วยเหลือจากนักบุญ การเยี่ยมกุบูร์ ฯลฯ

⚔️ 2. การขยายอำนาจและความขัดแย้ง

-ราชวงศ์ซาอูดรุ่นแรก (1744–1818): ยึดครองนัจญ์ และในปี 1803–1806 ยึด มักกะฮ์และมะดีนะฮ์

-แนวทางรุนแรง: ทำลายกุบูร์ของบุคคลสำคัญ, สังหารมุสลิมที่ไม่ยอมรับวะฮาบีย์ว่าเป็น “มุชริกีน” หรือ “มุรตัด”

-ออตโตมันตอบโต้: ใช้กองทัพจากอียิปต์ นำโดย มุฮัมมัด อะลี ปาชา บุกตีจนราชวงศ์ซาอูดรุ่นแรกพังทลายในปี 1818


🏛️ 3. ราชวงศ์ซาอูดรุ่นสอง (1824–1891)

ฟื้นตัวที่ริยาด โดย ตุรกี อิบนุ อับดุลลอฮ์ อัซซาอูด

    ต่อมาเกิดศึกภายในและแพ้ให้แก่ ราชวงศ์อัรรอชีด แห่งหิละล (Hail) ทำให้ต้องลี้ภัย

🌍 4. การก่อตั้งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย (1932)

อับดุลอะซีซ อิบนุซาอูด (หรืออิบนุซาอูด) ยึดริยาดกลับคืนในปี 1902

ค่อย ๆ รวมอำนาจทั้ง นัจญ์–หิญาซ โดย:

ใช้กำลังของชนเผ่าเบดูอิน ที่ถูกอบรมโดยแนวคิดวะฮาบีย์ (กลุ่มนี้เรียกว่า “อิคนอาน์”)

ในปี 1924–1925: ยึด มักกะฮ์–มะดีนะฮ์ จากราชวงศ์ฮาชิมแห่งเฮาะญาซ

-1927: ได้รับการรับรองอิสรภาพจากอังกฤษ (Treaty of Jeddah)

-1932: ประกาศจัดตั้งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบี

⚙️ 5. เหตุผลของการใช้ความรุนแรงต่อมุสลิมด้วยกัน

อ้างหลักศาสนา (วะฮาบีย์):

     ใครที่ปฏิบัติ “ชิรก” หรือ “บิดอะฮ์” ถือว่าเป็นมุชริก ต้องถูกเตือน – หากดื้อรั้น อาจถึงกับถูกตัดสินว่า ฆ่าหรือยึดทรัพย์ได้

-การโจมตีเมืองศักดิ์สิทธิ์หรือหมู่บ้านของมุสลิมอื่น ๆ จึงถูก “ให้ความชอบธรรม” ว่าเป็นการ ชำระล้างศาสนา

ผลจริง: สร้างความแตกแยกรุนแรงในโลกมุสลิม จนหลายฝ่ายมองว่าแนวคิดนี้เป็นการบิดเบือนหลักอิสลาม

🛢️ 6. ความร่วมมือกับตะวันตก

ช่วงสงครามโลก: อังกฤษให้การสนับสนุนราชวงศ์ซาอูดเพื่อถ่วงดุลกับราชวงศ์ฮาชิม

    หลังปี 1938: ค้นพบน้ำมันในดะฮ์รอน ร่วมมือกับบริษัทอเมริกัน (ARAMCO)

ซาอุดีอาระเบียกลายเป็นพันธมิตรใหญ่ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในยุคสงครามเย็น

🔄 7. ผลกระทบต่อโลกมุสลิม

แนวคิดวะฮาบีย์ถูกส่งออกผ่านเงินสนับสนุนมัสยิด มหาวิทยาลัย และนักวิชาการ

-ถูกวิจารณ์ว่าเป็นรากฐานของความสุดโต่งในบางกลุ่ม

-แต่ในอีกด้าน มีผู้สนับสนุนว่าเป็นการกลับสู่ “อิสลามบริสุทธิ์” และ “ต่อต้านความคลั่งไคล้”

📌 บทสรุป:

> ราชวงศ์ซาอูดสามารถยึดครองเมืองศักดิ์สิทธิ์ด้วยพลังของอุดมการณ์ทางศาสนาและกำลังอาวุธ

แต่การให้ความชอบธรรมต่อการฆ่ามุสลิมด้วยกันเอง ได้สร้างรอยร้าวที่โลกมุสลิมยังคงถกเถียงและได้รับผลกระทบถึงปัจจุบัน

เยี่ยมครับ! ต่อกันที่บทสรุปสำคัญในยุคปัจจุบันของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย




💰🌍  น้ำมัน ศาสนา และโลกาภิวัตน์: บทบาทของซาอุดีอาระเบียบนเวทีโลกยุคใหม่

เมื่อทะเลทรายกลายเป็นขุมทรัพย์ ซาอุฯ ก้าวจาก “รัฐศาสนาเคร่งครัด” สู่ “ศูนย์กลางพลังงานโลก”


🛢️ ค้นพบน้ำมัน – จุดเปลี่ยนแห่งโชคชะตา (1938)

  • ปี 1938 บริษัท Standard Oil of California (SoCal) ค้นพบน้ำมันที่ ดัมมาม (Dammam Well No.7)
  • รัฐบาลซาอุฯ ร่วมมือกับบริษัทน้ำมันสหรัฐก่อตั้ง ARAMCO (Arabian American Oil Company)
  • กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นมหาอำนาจด้านน้ำมัน

📌 รายได้จากน้ำมันทำให้รัฐสามารถควบรวมอำนาจ เพิ่มระบบราชการ-ความมั่งคั่ง ขยายอิทธิพลศาสนาไปทั่วโลก


⛪️ การส่งออกแนวคิดวะฮาบีย์

  • ซาอุฯ ใช้รายได้จากน้ำมันเพื่อ:
    • สร้างมัสยิด มหาวิทยาลัยอิสลาม
    • แจกคัมภีร์อัลกุรอานฉบับซาอุฯ
    • สนับสนุนกลุ่มนักวิชาการที่ยึดแนวทางวะฮาบีย์
  • บทบาทนี้ขยายอิทธิพล แนวคิดอิสลามแบบอนุรักษ์สุดโต่ง ไปทั่วโลกมุสลิม

❗️ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่างมุสลิมสายอื่น เช่น ซูฟี ชีอะฮ์ และสายปฏิรูป


🇸🇦🛡️ ความเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา

  • ข้อตกลงยุทธศาสตร์: "น้ำมันแลกความมั่นคง"
  • สหรัฐคุ้มครองราชวงศ์ซาอูด แลกกับการเข้าถึงน้ำมันอย่างมั่นคง
  • ซาอุฯ ให้ฐานทัพและความร่วมมือด้านข่าวกรอง

📌 ความสัมพันธ์นี้ชัดเจนมากในช่วงสงครามอ่าว (1991) และสงครามต่อต้านการก่อการร้ายหลัง 9/11


⚖️ ความตึงเครียดจากภายใน

  1. ฝ่ายศาสนา:

    • เรียกร้องให้รัฐบาลรักษาศีลธรรมตามหลักอิสลามอย่างเคร่งครัด
    • ต่อต้านความสัมพันธ์กับตะวันตก และความบันเทิงแบบโลกวิสัย
  2. ฝ่ายสมัยใหม่:

    • ต้องการเปิดประเทศ พัฒนาเศรษฐกิจ-สังคม
    • เรียกร้องสิทธิสตรี การปฏิรูปการศึกษา เสรีภาพสื่อ

จุดตึงเครียดเหล่านี้ปะทุในเหตุการณ์ใหญ่ เช่น เหตุการณ์ ยึดมัสยิดอัลฮะรอม (1979)


🏙️ มกุฎราชกุมารมุฮัมมัด บินซัลมาน (MBS) และซาอุฯ ยุคใหม่

  • เปิดตัว “วิสัยทัศน์ 2030” (Vision 2030):

    • ลดการพึ่งพาน้ำมัน
    • ดึงดูดนักลงทุน
    • พัฒนาเมืองแห่งอนาคต เช่น NEOM
    • ส่งเสริมความบันเทิง, ท่องเที่ยว และสิทธิสตรี
  • เปิดทางให้:

    • ผู้หญิงขับรถ
    • คอนเสิร์ตและภาพยนตร์
    • นักท่องเที่ยวต่างชาติวีซ่าท่องเที่ยว

🤝 ซาอุฯ ยังขยายบทบาทในระดับภูมิภาค เช่น เจรจาไกล่เกลี่ย, เข้าร่วม BRICS และจัดงานกีฬาใหญ่ระดับโลก


🔍 บทสรุป 3 แกนหลักของซาอุฯ ยุคใหม่:

ด้าน รายละเอียด
💵 เศรษฐกิจ เปลี่ยนจากน้ำมันสู่การพัฒนาเทคโนโลยี-ท่องเที่ยว
🕌 ศาสนา พยายามปรับสมดุลระหว่างวะฮาบีย์กับการเปิดกว้าง
🌐 การทูต เดินสายกลาง พูดคุยกับทุกฝ่าย แม้กับอิหร่านหรืออิสราเอล

📘 สาระที่เราเรียนรู้

  1. ราชวงศ์ซาอูด เกิดจากพันธมิตรทางศาสนา (วะฮาบีย์) และการเมือง (ราชวงศ์)
  2. การสร้างรัฐและขยายอำนาจผ่าน อิคนอาน์ คือยุทธศาสตร์ทางศาสนา-การทหาร
  3. ซาอุฯ ก้าวขึ้นมาด้วย ทรัพยากร (น้ำมัน) และ การทูต (กับอังกฤษ-สหรัฐ)
  4. แนวคิดวะฮาบีย์ถูกส่งออกไปทั่วโลก ส่งผลทั้งด้านบวกและลบ
  5. ปัจจุบันซาอุฯ กำลัง “แปลงโฉม” เพื่อความอยู่รอดในโลกสมัยใหม่


ความคิดเห็น