การรวมละหมาดในเวลาปกติตามแนวทางกลุ่มซนุนะห์ และทรรศนะของซีอะห์

การละหมาดรวม (ญะเมาะอ์) โดยไม่มีเหตุจำเป็น เช่น การเดินทางหรือเจ็บป่วย เป็นประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างกันระหว่างมัซฮับ (สำนักคิดทางนิติศาสตร์อิสลาม) และระหว่างมัซฮับสุหนี่และชีอะห์ครับ ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างก็มีหลักฐานจากอัลกุรอานและหะดีษ (วจนะและการกระทำของท่านศาสดามูฮัมมัด) มาสนับสนุนทัศนะของตน

ทัศนะของนิกายซุนหนี่
​       นักวิชาการซุนหนี่ส่วนใหญ่มีทัศนะว่า ไม่อนุญาตให้ละหมาดรวมโดยไม่มีเหตุจำเป็น และถือว่าการรวมละหมาดนั้นเป็นสิ่งเฉพาะสำหรับบางกรณีเท่านั้น ได้แก่:
​       การเดินทาง (ซะฟัร): อนุญาตให้รวมละหมาดซุฮ์ริ-อัศริ และมัฆริบ-อีชา โดยจะรวมในเวลาแรก (ญะเมาะอ์ ตักดีม) หรือเวลาหลัง (ญะเมาะอ์ ตะอ์คีร) ก็ได้
      ​การเจ็บป่วย (มะรีย์): อนุญาตให้รวมละหมาดเพื่อบรรเทาความยากลำบาก
      ​ฝนตกหนัก: ในบางมัซฮับ เช่น มัซฮับฮัมบะลี และมัซฮับชาฟิอีย์ อนุญาตให้รวมละหมาดในกรณีที่ฝนตกหนักจนเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางไปมัสยิด
หลักฐานของฝ่ายซุนหนี่:
หลักฐานสำคัญที่ใช้คือ หะดีษจากท่านอิบนุ อับบาส ที่บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม (หะดีษที่ 705a) ที่ว่า:
​"ท่านนบี (ศ็อลฯ) ได้รวมละหมาดซุฮ์ริและอัศริเข้าด้วยกัน และรวมมัฆริบและอีชาเข้าด้วยกันที่นครมะดีนะฮ์ โดยที่ไม่ได้อยู่ในภาวะหวาดกลัวหรืออยู่ในการเดินทาง"

      ​นักวิชาการซุนหนี่ตีความหะดีษบทนี้แตกต่างกันไป บางส่วนมองว่าเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเฉพาะกิจ หรือเป็นข้อยกเว้นในสถานการณ์ที่มีความยากลำบากบางอย่าง เช่น ฝนตกหนัก หรือมีความจำเป็นเร่งด่วนอื่น ๆ แต่ไม่ใช่การอนุญาตให้กระทำเป็นกิจวัตรตามความสะดวกของแต่ละบุคคล เพราะการรักษาสิ่งที่ดีที่สุดคือการละหมาดในเวลาที่กำหนดไว้

ทัศนะของนิกายชีอะห์
       ​นักวิชาการชีอะห์มีทัศนะว่า อนุญาตให้ละหมาดรวมได้ในเวลาปกติโดยไม่มีเหตุจำเป็น เช่น การเดินทางหรือเจ็บป่วย โดยสามารถละหมาดซุฮ์ริและอัศริรวมกันได้ และละหมาดมัฆริบและอีชารวมกันได้

หลักฐานของฝ่ายชีอะห์:
      หลักฐานสำคัญที่ใช้คือหะดีษบทเดียวกันจากท่านอิบนุ อับบาส ที่บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม (หะดีษที่ 705a) ที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งชีอะห์ตีความหะดีษนี้ตามความหมายตรงตัวว่า ท่านศาสดาได้ทำเช่นนั้นเพื่อไม่ให้ประชาชาติของท่านต้องประสบกับความยากลำบาก และเชื่อว่าการละหมาดรวมนั้นเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม
​นอกจากนี้ ชีอะห์ยังอ้างถึงโองการในอัลกุรอานที่ว่า:
​“แท้จริงการละหมาดนั้นเป็นบัญญัติที่ถูกกำหนดเวลาไว้แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย” (อัน-นิซาอฺ 4:103)

     ​พวกเขาตีความว่าคำว่า "เวลา" (วะกัต) ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงช่วงเวลาที่แยกขาดกันโดยสิ้นเชิง แต่ละหมาดซุฮ์ริและอัศริมีช่วงเวลาที่ทับซ้อนกันอยู่ เช่นเดียวกับมัฆริบและอีชา

สรุป
​      ความแตกต่างระหว่างสองนิกายนี้ไม่ได้อยู่ที่การยอมรับหรือไม่ยอมรับหะดีษบทดังกล่าว แต่เป็นการตีความหะดีษนั้นว่าเป็นการกระทำที่อนุญาตให้ทำได้ในทุกสถานการณ์หรือไม่
​ซุนหนี่: ส่วนใหญ่ถือว่าการรวมละหมาดโดยไม่มีเหตุจำเป็นเป็นสิ่งที่ ไม่อนุญาต และหะดีษบทนี้ถูกตีความว่าเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในสถานการณ์พิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดความยากลำบากแก่ประชาชาติ

     ​ชีอะห์: ถือว่าการรวมละหมาดโดยไม่มีเหตุจำเป็นเป็นสิ่งที่ อนุญาต และตีความหะดีษตามความหมายที่เปิดกว้าง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ศรัทธาในชีวิตประจำวัน
​ดังนั้น การจะเลือกปฏิบัติแบบใดนั้น ขึ้นอยู่กับความเชื่อและแนวทางการศึกษาศาสนาของแต่ละบุคคลครับ

โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน ข้อมูลสืบค้นจาก Ai

ความคิดเห็น