สนธิสัญญาสันติภาพระหว่างอิหม่ามอัลหะซันกับมูอาวิยะฮ์

      
ในสมัยท่านอิมามอัลหะซัน อิบนุ อะลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ (บุตรของท่านอะลี) และท่านมูอาวิยะฮ์ อิบนุ อบีซุฟยาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ มีเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์อิสลามที่เรียกว่า "สนธิสัญญาสันติภาพระหว่างอิมามหะซันกับมูอาวิยะฮ์" ซึ่งมีผลทำให้อำนาจการปกครองตกไปอยู่ในมือของมูอาวิยะฮ์

เหตุการณ์โดยสรุป:
1. บริบทหลังการวาฟาตของท่านอะลี
      หลังจากการวาฟาต (เสียชีวิต) ของท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ ในปีฮ.ศ. 40 (ค.ศ. 661) ท่านอิมามหะซัน ลูกชายของท่านอะลี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเคาะลีฟะฮ์โดยชาวอิรัก (โดยเฉพาะจากเมืองกูฟะฮ์)

     ในขณะเดียวกัน ท่าน มูอาวิยะฮ์ ซึ่งเป็นผู้ว่าการซีเรีย (ชาม) และมีอำนาจทางทหารและการเมืองมาก ได้ปฏิเสธที่จะให้สัตยาบันต่อท่านหะซัน เพราะยังไม่ยอมรับว่าผู้ใดควรสืบทอดตำแหน่งหลังจากอะลี เนื่องจากยังมีปัญหาความขัดแย้งที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคสงครามศิฟฟีนระหว่างอะลีกับมูอาวิยะฮ์

2. เกือบเกิดสงครามกลางเมือง

      มีแนวโน้มจะเกิดสงครามระหว่างกองทัพของท่านหะซัน (จากอิรัก) และมูอาวิยะฮ์ (จากชาม) แต่กองทัพของท่านหะซันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน บางคนทรยศ บางคนไม่เต็มใจรบ ในขณะที่กองทัพของมูอาวิยะฮ์มีความพร้อมและมีอำนาจมากกว่า

3. การเจรจาและการลงนามสันติภาพ

      ท่านอิมามหะซันผู้ยึดมั่นในความสงบและเกลียดสงครามระหว่างมุสลิมด้วยกัน จึงตัดสินใจยอมยกตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ให้กับมูอาวิยะฮ์ ภายใต้เงื่อนไขบางประการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการนองเลือดในหมู่ประชาคมมุสลิม

4. สนธิสัญญาสันติภาพที่สำคัญ

สาระสำคัญของข้อตกลง ได้แก่:

มูอาวิยะฮ์จะต้องปกครองตามคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะฮ์

จะไม่แต่งตั้งผู้สืบทอดตำแหน่งในขณะมีชีวิตอยู่ (ซึ่งหมายถึงหลังมูอาวิยะฮ์เสียชีวิตแล้ว ชาวมุสลิมจะเลือกผู้นำเอง)
-ไม่ละเมิดต่อท่านหะซันและครอบครัวท่านนบี
-ให้ความปลอดภัยแก่ชาวกูฟะฮ์และผู้ที่เคยร่วมอยู่กับอะลี

5. ผลลัพธ์ของข้อตกลง

      เกิด "ปีแห่งเอกภาพ" (ʿĀm al-Jamāʿah) ในปีฮ.ศ. 41 ซึ่งถือว่าเป็นปีที่มุสลิมกลับมามีเคาะลีฟะฮ์คนเดียวอีกครั้ง
อำนาจปกครองรวมศูนย์อยู่กับมูอาวิยะฮ์

       ท่านหะซันถอนตัวจากการเมืองและใช้ชีวิตอย่างสงบจนกระทั่งวาฟาตในอีกไม่กี่ปีต่อมา

บทเรียนจากเหตุการณ์นี้:

      ท่านอิมามหะซันแสดงให้เห็นถึง ความเสียสละเพื่อความสงบสุขของอุมมะฮ์ แม้จะสูญเสียอำนาจ แต่เพื่อรักษาความเป็นเอกภาพของมุสลิม

      นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของ การยึดมั่นในสันติภาพเหนือการเอาชนะด้วยกำลัง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของอิสลามที่แท้จริง

       หลังจากที่ ท่านมูอาวิยะฮ์ อิบนุ อบีซุฟยาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้รับการยอมรับให้เป็นเคาะลีฟะฮ์ตามข้อตกลงสันติภาพกับท่านอิมามหะซัน มีคำถามทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญว่า เขาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญานั้นหรือไม่ ซึ่งนักประวัติศาสตร์อิสลามมีการวิเคราะห์ไว้หลากหลายแนว โดยสรุปได้ดังนี้:

สิ่งที่ มูอาวิยะฮ์ปฏิบัติตามสัญญา

1. ไม่บีบบังคับหะซันหรือผู้ตามของอะลี
     -ท่านหะซันได้รับการดูแลอย่างปลอดภัย และมีชีวิตอยู่ต่อมาอีกหลายปีอย่างสงบ
     -ชาวกูฟะฮ์และผู้สนับสนุนอะลีส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกลงโทษหรือกวาดล้างอย่างเป็นระบบในช่วงแรก

มูอาวิยะฮ์มีบทบาทในการส่งเสริมการจัดการบ้านเมืองให้มั่นคง เช่นการสร้างระบบบริหาร ศาล และไปรษณีย์
    เขาปกครองด้วยหลักการอิสลามในระดับหนึ่ง และได้รับการยอมรับจากอุละมาอฺบางกลุ่มว่าเป็น “ผู้ปกครองแห่งอิสลาม”

สิ่งที่ถูกมองว่า มูอาวิยะฮ์ละเมิดหรือเบี่ยงเบนจากสัญญา

1. การแต่งตั้งบุตรชาย (ยาซีด) เป็นผู้สืบทอดอำนาจ

        นี่ถือว่าเป็นการละเมิดเงื่อนไขสำคัญของสัญญาที่ว่า “มูอาวิยะฮ์จะไม่แต่งตั้งผู้สืบทอด” แต่จะให้ประชาคมมุสลิมเลือกผู้นำเองหลังเขาเสียชีวิต

      การแต่งตั้งยาซีดนำไปสู่การแตกแยกครั้งใหม่ โดยเฉพาะในยุคของอิมามฮุเซน (บุตรของหะซัน)

2. การสาปแช่งอะลีบนมิมบัร (ธรรมาสน์)

      ในยุคของเขา มีธรรมเนียมที่ทางการสาปแช่งท่านอะลีบนมิมบัรในมัสยิดต่าง ๆ ซึ่งแม้จะมีข้อถกเถียงว่าเป็นคำสั่งจากตัวเขาหรือไม่ แต่เป็นที่ยอมรับว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในสมัยเขา

     แม้บางรายงานจะระบุว่าภายหลังมูอาวิยะฮ์ได้ห้ามเรื่องนี้ แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว และถูกวิพากษ์โดยกลุ่มผู้รักอะฮ์ลุลบัยต์ (ครอบครัวของท่านนบี)

3. ระบบกษัตริย์เริ่มปรากฏ

      การแต่งตั้งลูกตนเองให้สืบอำนาจเป็นต้นแบบของระบบราชาธิปไตยที่ขัดกับระบบ “ชูรอ” (ปรึกษาหารือ) แบบเคาะลีฟะฮ์เราะชิดีน

สรุปคำตอบ
      มูอาวิยะฮ์ปฏิบัติตามสัญญาบางส่วน โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัยของอิมามหะซันและชาวเมืองกูฟะฮ์ในระยะแรก และการไม่บิดเบือนหลักศาสนาโดยชัดแจ้ง
      แต่ เขาละเมิดสัญญาในจุดสำคัญ เช่น การแต่งตั้งยาซีดเป็นทายาท และการปล่อยให้มีการดูหมิ่นท่านอะลีอย่างเป็นระบบ ซึ่งสร้างบาดแผลลึกในอุมมะฮ์มุสลิมจนถึงปัจจุบัน

เหตุการณ์นี้ในเชิงเปรียบเปรยและบทเรียนศีลธรรม–การเมือง โดยตั้งชื่อเรื่องว่า:

🕊️ อำนาจ... กับการรักษาสัญญา: บทเรียนจากหะซันและมูอาวิยะฮ์

       ประวัติศาสตร์ของอิสลามไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวของสงคราม หรือการผลัดเปลี่ยนผู้นำเท่านั้น แต่ยังสะท้อน เจตจำนง และ คุณธรรม ของผู้นำแต่ละคน ในยุคของท่าน อิมามหะซัน และ มูอาวิยะฮ์ เราได้เห็นการเผชิญหน้าระหว่างสองกระแส: ความเสียสละเพื่อสันติภาพ กับความทะเยอทะยานในการรวมอำนาจ

หะซัน: การเสียสละเพื่อหลีกเลี่ยงเลือดมุสลิม

    ท่านอิมามหะซันคือผู้ที่มีสายเลือดของท่านนบี ﷺ เป็นลูกของอะลีและฟาฏิมะฮ์ ผู้คนจำนวนมากพร้อมจะยกเขาเป็นผู้นำสูงสุดของอิสลามในเวลานั้น แต่เขาเห็นว่า:

> “ชัยชนะที่ต้องแลกด้วยเลือดของมุสลิมจำนวนมาก... ไม่ใช่ชัยชนะที่อัลลอฮ์พึงพอใจ”

      เขาจึงยอมสละอำนาจ แม้ในขณะที่เขาสามารถใช้สิทธินั้นได้ตามความชอบธรรม แต่เขายอมประนีประนอมกับมูอาวิยะฮ์โดยตั้งเงื่อนไขเพื่อรักษาสัจจะและหลักการ

⚔️ มูอาวิยะฮ์: ความสำเร็จทางโลกที่มาพร้อมบททดสอบ

     ทเมื่อได้อำนาจแล้ว มูอาวิยะฮ์รักษาสัญญาบางประการ เช่น ไม่แตะต้องชีวิตของหะซันและไม่ทำร้ายชาวกูฟะฮ์ แต่เขาก็ ละเมิดจุดสำคัญ คือการแต่งตั้งลูกของตน (ยาซีด) เป็นผู้สืบทอด ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของระบบกษัตริย์ และทำลายแนวทางของชูรอ (ประชาสภาอิสลาม)

นอกจากนี้ การปล่อยให้มีการสาปแช่งอะลีบนมิมบัรทั่วแผ่นดินก็เป็นบาดแผลใหญ่ในจิตใจของผู้ศรัทธาหลายล้านคนมาจนถึงทุกวันนี้

🌱 บทเรียนสำคัญสำหรับผู้นำและผู้ตาม

1. อำนาจอาจยิ่งใหญ่... แต่การรักษาสัญญายิ่งใหญ่กว่า

      ท่านหะซันคือแบบอย่างของผู้ที่ยอมแพ้ในทางโลก แต่ชนะในสายตาของอัลลอฮ์

2. สันติภาพบางครั้งต้องใช้ความกล้าหาญมากกว่าสงคราม

หะซันกล้าที่จะยุติไฟของความขัดแย้ง แม้ต้องแลกด้วยตำแหน่ง

3. ผู้นำที่ดีต้องไม่ยอมให้ระบบเสียหายเพราะประโยชน์ของครอบครัว

       การแต่งตั้งยาซีดอาจดูเล็กในสายตาของมูอาวิยะฮ์ แต่สร้างหายนะใหญ่ในยุคของอิมามฮุเซน

🤲 สรุปส่งท้าย:

> “สัจจะสำคัญกว่าชัยชนะ”
“การครองใจประชาชน สำคัญกว่าการครองบัลลังก์”

      เหตุการณ์ระหว่างหะซันและมูอาวิยะฮ์ไม่ใช่แค่บทหนึ่งของประวัติศาสตร์อิสลาม แต่คือ กระจกสะท้อนจิตวิญญาณ ที่ผู้นำในทุกยุคทุกสมัยควรหยิบยกขึ้นมาทบทวน

       ท่าน อิมามหะซัน อิบนุ อะลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ (หลานของท่านนบี ﷺ บุตรของท่านอะลีและท่านหญิงฟาฏิมะฮ์) ได้วาฟาต (เสียชีวิต) ด้วยเหตุที่นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า:

> 🔥 ถูกวางยาพิษ (مسموم)

และนี่คือรายละเอียดโดยสรุป:

🕯️ การวาฟาตของอิมามหะซัน

📆 ปีที่เสียชีวิต:
ปีฮ.ศ. 50 (ประมาณ ค.ศ. 670)
อายุประมาณ 47–48 ปี
📍 สถานที่วาฟาต:

เมือง มะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย

📌 สาเหตุ:

      รายงานส่วนใหญ่ในตำราประวัติศาสตร์อิสลามทั้งสายสุนนีและชีอะฮ์ ระบุว่า อิมามหะซันเสียชีวิตเพราะ ถูกวางยาพิษ

     บางรายงานระบุว่า ภรรยาคนหนึ่งของท่านถูกชักจูงโดยกลุ่มการเมืองให้วางยา

      ว่ากันว่า กลุ่มที่ไม่พอใจในแนวทางสันติภาพของท่าน และต้องการเปิดทางให้อำนาจตกไปอยู่กับมูอาวิยะฮ์ ได้วางแผนสังหารเขาอย่างลับๆ

💬 รายละเอียดในบางรายงาน:

      มีรายงานว่า ภรรยาของอิมามหะซัน ชื่อ จุอ์ดะฮ์ บินติ อัล-อัชอัษ ถูกมูอาวิยะฮ์ล่อลวงด้วยคำมั่นว่า หากนางวางยาหะซัน เขาจะให้สินบนและแต่งงานกับนางให้กับยาซีด (ลูกชายเขา)

      หลังจากวางยา ท่านอิมามหะซันเริ่มอาเจียนเป็นเลือด และอวัยวะภายในมีเลือดไหล

ขณะใกล้เสียชีวิต ท่านกล่าวว่า:

> "ข้าพเจ้าถูกวางยาไม่ใช่ครั้งแรก แต่ครั้งนี้รุนแรงที่สุด และข้าพเจ้ารู้ว่าใครเป็นคนทำ"
(อ้างจากบางสายรายงาน)

🪦 การฝังศพ:
🕌 สถานที่:
       ท่านหะซันประสงค์ให้ฝังใกล้ กุโบร์ของท่านนบี ﷺ หากไม่มีการขัดขวาง

       แต่มีการขัดแย้งทางการเมือง จนในที่สุดท่านถูกฝังที่ สุสานอัลบะกีอฺ (Jannat al-Baqi') ใกล้มัสยิดนะบะวีย์

🧠 บทสรุป:

      การเสียชีวิตของอิมามหะซันสะท้อนถึง ความบอบช้ำทางการเมือง ในยุคนั้น แม้ว่าเขาจะยอมเสียสละตำแหน่งเพื่อสันติภาพ แต่เขากลับถูกหักหลังและกำจัดอย่างเงียบ ๆ

     นี่เป็นอีกหนึ่งตอนของ ความขัดแย้งระหว่างความจริงกับอำนาจ ที่ปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์อิสลาม

> ✅ ท่าน อิมามหะซัน (อิบนุอะลี) วาฟาตแล้วก่อนที่ ยาซีด อิบนุ มูอาวิยะฮ์ จะขึ้นปกครอง
✴️ ดังนั้น ยาซีดไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงกับ ตัว ท่านหะซันในแง่ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะท่านยังมีชีวิตอยู่

     แต่! เราสามารถพูดถึงผลกระทบ ต่อครอบครัวของท่านหะซัน และ อุดมการณ์ของท่านหะซัน ซึ่งสะท้อนผ่านเหตุการณ์ใหญ่ที่สุดในยุคของยาซีด นั่นคือ...

🔥 เหตุการณ์ กัรบาลาอ์ (Karbala)

     ในยุคการปกครองของ ยาซีด มีเหตุการณ์ใหญ่ที่ทำให้โลกมุสลิมสั่นสะเทือน คือ

📌 การลุกขึ้นต่อต้านของ อิมามฮุเซน (น้องชายของหะซัน)

     ยาซีดได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำโดยบิดาของเขา (มูอาวิยะฮ์) ซึ่งขัดกับสัญญาสันติภาพในยุคของอิมามหะซัน และขัดกับหลักการ ชูรอ ในการเลือกผู้นำของอิสลาม อีกทั้งยาซีดยังมีลักษณะที่หลายฝ่ายเห็นว่าไม่เหมาะสมทั้งในด้านศีลธรรมและความสามารถ

> อิมามฮุเซน ปฏิเสธที่จะให้สัตยาบัน (บัยอะฮ์) ต่อยาซีด โดยกล่าวว่า:
“เช่นข้าพเจ้า ย่อมไม่ให้สัตยาบันต่อเช่นเขา”

      เขาจึงเดินทางพร้อมครอบครัวจากมะดีนะฮ์ไปยังกูฟะฮ์ แต่กลับถูกสกัดและล้อมโดยกองทัพของยาซีด และถูกสังหารอย่างโหดร้าย ณ ที่ราบกัรบาลาอ์ ปี ฮ.ศ. 61

📍 แล้วเกี่ยวอะไรกับ อิมามหะซัน?

1. แนวทางของหะซัน กับ ฮุเซน ตรงกันในเป้าหมาย ต่างกันในวิธี

-หะซันเลือก "สันติภาพ" เพราะรู้ว่าชีวิตประชาชนและสัจธรรมสำคัญกว่าการครองบัลลังก์

-ฮุเซนเลือก "ยืนหยัด" เพราะเห็นว่า ยาซีดคุกคามศาสนาและทำลายหลักการอิสลาม → ทั้งสองเป็นการ เสียสละ คนละรูปแบบเพื่อ รักษาอิสลาม


2. มรดกของหะซัน คือการสั่งสมจิตวิญญาณแห่งความอดทนและไม่ประนีประนอมกับบาตรหลวง

การลุกขึ้นของฮุเซนคือ ผลสะท้อนของสัญญาที่ถูกหักหลัง

     เป็นบทพิสูจน์ว่า เมื่อสันติภาพไม่ได้ผล ก็ต้องมีผู้ลุกขึ้นยืนหยัดอย่างมีเกียรติ

🕯️ บทเรียนสำคัญ

หะซัน ฮุเซน
-เสียสละอำนาจ เพื่อปกป้องเลือดมุสลิม เสียสละชีวิต เพื่อปกป้องหลักการศาสนา
-ยุติสงครามเพื่อรวมอุมมะฮ์ เผชิญหน้ากับอธรรมเพื่อรักษาอิสลาม
สร้างสนธิสัญญา ทลายความเงียบ

🔚 สรุป:

แม้ อิมามหะซันจะวาฟาตก่อนยาซีดขึ้นปกครอง แต่การขึ้นสู่อำนาจของยาซีดคือ การหักหลังสัญญาสันติภาพ ที่หะซันเคยเสียสละไว้

และความอยุติธรรมในยุคยาซีด ได้ จุดประกายการลุกขึ้นของอิมามฮุเซน ซึ่งสืบทอดเจตจำนงของพี่ชาย ในอีกรูปแบบหนึ่ง

> ✨ หะซันสอนเราให้อดกลั้นเพื่อสันติ
✨ ฮุเซนสอนเราให้ยืนหยัดเพื่อความจริง

การขึ้นสู่อำนาจของ ยาซีด อิบนุ มูอาวิยะฮ์ ถือเป็น จุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์อิสลาม ที่ส่งผลกระทบในหลายระดับ ทั้งในเชิงพฤติกรรมผู้นำและโครงสร้างของสังคมมุสลิมโดยรวม

🧨 1. พฤติกรรมส่วนตัวของยาซีด: สะท้อนวิกฤตคุณธรรมของผู้นำ

-รายงานหลายสายทั้งสุนนีและชีอะฮ์ (โดยเฉพาะฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับราชวงศ์อุมัยยะฮ์) ระบุว่า ยาซีดมีพฤติกรรมส่วนตัวที่ขัดกับคุณธรรมของผู้นำอิสลามอย่างรุนแรง เช่น:

🔺 ข้อกล่าวหาหลัก:

-ดื่มสุราอย่างเปิดเผย

-เลี้ยงสุนัขและลิงในวัง ถือเป็นเรื่องไร้สาระในสายตานักวิชาการยุคนั้น

-หลงใหลการละเล่น ดนตรี การล่าสัตว์ และความบันเทิง

-ไม่ใส่ใจในละหมาดและหน้าที่ศาสนา

> 📚 อิหม่ามอะฮฺมัด อิบนุ ฮัมบัล (อุละมาอฺสุนนีระดับสูง) เคยกล่าวว่า
❝ ใครที่บอกว่ายาซีดเป็นคนดี ย่อมไม่มีความเข้าใจศาสนา ❞

สิ่งเหล่านี้สร้างความไม่พอใจในหมู่นักวิชาการ ศ่อหาบะฮ์ และครอบครัวของท่านนบีอย่างมาก

💥 2. ผลกระทบต่อสังคมมุสลิมในยุคนั้น

2.1 📉 เสื่อมศรัทธาในผู้นำ

-ผู้คนจำนวนมากเริ่ม เสื่อมศรัทธาในระบบการสืบทอดอำนาจ ที่มาจากตระกูล ไม่ใช่ชูรอ
     โดยเฉพาะในฮิญาซ (มักกะฮ์-มะดีนะฮ์) และอิรักที่ยังรักครอบครัวของท่านนบี ﷺ อยู่

2.2 🩸 โศกนาฏกรรมกัรบาลาอ์

ยาซีดสั่งให้กองทัพสกัดและสังหาร อิมามฮุเซน และครอบครัวของเขาในปีฮ.ศ. 61. ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของผู้นำอิสลามยิ่งเสื่อมถอย

เหตุการณ์นี้กลายเป็น สัญลักษณ์ของการลุกขึ้นต่อต้านความอธรรม

2.3 🕌 การจู่โจมเมืองมะดีนะฮ์ (เหตุการณ์ Harrah)

-ชาวมะดีนะฮ์ลุกฮือต่อต้านยาซีดในปีฮ.ศ. 63  ยาซีดส่งกองทัพเข้าล้อมเมือง ฆ่าประชาชน ล่วงละเมิดสตรี และปล้นสะดม ทำให้เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางแห่งเราะหฺมะฮ์ กลายเป็นสนามรบ

2.4 🕋 การล้อมและยิงกะอฺบะฮ์ด้วยเครื่องยิงหิน (Manjaniq)

      -ในปีเดียวกัน ชาวมักกะฮ์ภายใต้การนำของอับดุลลอฮ์ อิบนุซุเบียร์ ก็ลุกขึ้นต่อต้าน

      -กองทัพของยาซีด ล้อมนครมักกะฮ์ และยิงหินใส่กะอฺบะฮ์ จนโครงสร้างบางส่วนเสียหาย
ถือเป็นเหตุการณ์สะเทือนใจที่สุดในยุคต้นอิสลาม

🧠 3. ผลกระทบทางความคิดและการเมืองในระยะยาว

✳️ กำเนิดกระแส “ต่อต้านราชวงศ์” และ “ยืนหยัดเพื่ออัลหัก”

เหตุการณ์ในยุคยาซีด จุดประกายให้ผู้คนเชื่อว่า ไม่ควรยอมจำนนต่อผู้นำที่ไม่ยุติธรรม. เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดขบวนการต่าง ๆ เช่น ชีอะฮ์, ซัยดียะฮ์, อบาสิด, และนักวิชาการสายอิสลามการเมือง (เช่น อิบนุ เตามิยะฮ์ ในภายหลัง)

✳️ เกิด ภาพจำ ว่า ผู้นำทางโลกไม่เท่ากับผู้นำทางศาสนา

-แยก “ผู้ปกครอง” ออกจาก “อิหม่ามแห่งความจริง”

-ยาซีดกลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำที่มีอำนาจแต่ ไร้คุณธรรม

🕊️ สรุปบทเรียนจากยุคยาซีด:

 สิ่งที่เกิดขึ้น

💔 ผู้นำไร้ศีลธรรม ทำลายภาพลักษณ์รัฐอิสลามที่เคยมีในยุคเราะชิดูน
🔥 ความรุนแรงต่อประชาชน กัรบาลาอ์, ล้อมมะดีนะฮ์, ยิงกะอฺบะฮ์
🧭 ขบวนการต่อต้านเริ่มขยาย สังคมเริ่มแยก “อำนาจ” ออกจาก “ความชอบธรรม”
🌿 ความจริงยืนยง อิมามฮุเซนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดเหนือความตาย

การปกครองของยาซีด ไม่เพียงแต่สร้างความสั่นคลอนแก่สังคมอิสลามเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบระยะยาวจนราชวงศ์อุมัยยะฮ์ (Banū Umayyah) ต้องเปลี่ยนทิศทาง และจบลงในที่สุด

🏛️ ราชวงศ์ของยาซีด: สั้น และปั่นป่วน

📌 ยาซีดปกครองนานแค่ไหน?

ปกครองเพียง 3 ปี (ฮ.ศ. 60–64)
      ตายด้วยโรคลึกลับหรือโรคภัย (บางรายงานว่าดื่มหนัก) ตอนอายุประมาณ 36 ปี

> ❝ ชีวิตการปกครองของเขาสั้น…แต่ผลกระทบยาวนาน ❞

🔥 เหตุการณ์สำคัญใน 3 ปีของยาซีด:

📍 ปีฮ.ศ. 61 – โศกนาฏกรรมกัรบาลาอ์
-สังหาร อิมามฮุเซน และครอบครัวอย่างโหดร้าย

-จุดไฟโกรธแค้นในหมู่ผู้ศรัทธาทั่วโลกมุสลิม
→ กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “การยืนหยัดต่อความอธรรม”

📍 ปีฮ.ศ. 63 – เหตุการณ์ Harrah (การล้อมเมืองมะดีนะฮ์)

ชาวมะดีนะฮ์ลุกฮือประกาศถอนสัตยาบันต่อยาซีด

-ยาซีดส่งกองทัพไปล้อมเมือง:
-สังหารชาวเมืองหลายพัน
-ข่มขืนสตรี
-ปล้นสะดมแม้ในบริเวณใกล้มัสยิดนะบะวีย์

> 📚 อิหม่ามมาลิก กล่าวว่า “หลังเหตุการณ์ Harrah ไม่มีความดีในการปกครองของยาซีด”

📍 ปีฮ.ศ. 64 – การยิงกะอฺบะฮ์

-ชาวมักกะฮ์ภายใต้การนำของ อับดุลลอฮ์ อิบนุซุเบียร์ ต่อต้านยาซีด

-ยาซีดส่งกองทัพล้อมเมืองมักกะฮ์

-กองทัพยิงหินด้วย เครื่องยิง (Manjaniq) ใส่กะอฺบะฮ์ จนโครงสร้างเสียหายบางส่วน

ก่อนที่กองทัพจะเข้าเมือง ยาซีดก็ตายเสียก่อน

🧯 หลังการตายของยาซีด:

🔻 ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ตกอยู่ในภาวะโกลาหล:
-ลูกชายของยาซีดคือ มุอาวียะฮ์ที่ 2 ขึ้นครองราชย์แต่ ปฏิเสธอำนาจ และวาฟาตอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่เดือน

-ไม่มีผู้นำชัดเจน → ราชวงศ์เกือบล่ม

🔺 การลุกขึ้นของอิบนุซุเบียร์:

     อับดุลลอฮ์ อิบนุซุเบียร์ ควบคุมฮิญาซ (มักกะฮ์ มะดีนะฮ์) และหลายพื้นที่และได้ชื่อว่าเป็น เคาะลีฟะฮ์โดยประชาชน (Bayʿah)

👑 ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ยังไม่จบ ณ จุดนั้น
🔁 หลังจากนั้น:

แกนนำราชวงศ์อุมัยยะฮ์ในดามัสกัสยังคงรวบรวมอำนาจ

-มะรฺวาน อิบนุ หะกัม สืบทอดอำนาจในฐานะผู้ปกครองคนใหม่
และฟื้นฟูราชวงศ์อุมัยยะฮ์ในปีฮ.ศ. 65

🧬 ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ปกครองต่ออีก:

ยาวถึง ประมาณ 90 ปี นับจากสมัยมูอาวิยะฮ์ ก่อนจะถูกล้มโดย ราชวงศ์อับบาสียะฮ์ (Banū al-ʿAbbās) ในปีฮ.ศ. 132

📉 บทสรุปผลกระทบของยาซีดต่อราชวงศ์:

หัวข้อ ผลกระทบ

🩸 การฆ่าอิมามฮุเซน ทำให้ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ถูกตราหน้าว่ากดขี่
🕌 ล้อมมะดีนะฮ์–ยิงกะอฺบะฮ์ สูญเสียศรัทธาจากประชาคมมุสลิม
👥 ขาดผู้นำต่อจากยาซีด เกือบทำให้ราชวงศ์ล่มภายใน 3 ปี
🔥 จุดไฟการลุกฮือทั่วโลกอิสลาม ส่งผลให้ราชวงศ์อยู่ในภาวะ “ปกครองด้วยกำลัง” มากกว่า “ความศรัทธา”

ความคิดเห็น