บทเรียนการให้อภัยของท่านนบี ศ๊อลฯ ในเหตุการณ์เมืองตออีฟ

    
 #ท่านนบีคือแบบอย่างของอุมมะห์ 

#เมืองตออีฟ
ตออีฟเป็นเมืองหนึ่งของประเทศซาอุดิอาราเบีย อยู่ทางด้านตะวันตกของประเทศ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงทางทิศตะวันออกของเทือกเขาซัรวาต อยู่บนภูเขาที่ชื่อ ฆอซวาน สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ1700-2500เมตร ขึ้นอยู่ตามสภาพความสูงต่ำของพื้นที่  อุณหภูมิโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 20-22 องศาเซลเซียส เป็นเมืองตากอากาศ ที่มีอากาศดีตลอดปี  เมืองตออีฟอยู่ห่างจากเมืองมักกะห์ประมาณ100กิโลเมตร  และห่างจากเมืองมาดีนะห์ประมาณ470กิโลเมตร

เมืองตออีฟเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยต้นไม้ สวนองุ่น อินทผาลัม และผลไม้อีกนานาชนิด ผลไม้ของเมืองนี้มีรสหวานต่างจากผมไม้เมืองอื่น  เเละเป็นเมืองที่มีลำธารน้ำไหลผ่าน

เผ่าใหญ่ๆที่อยู่ในเมืองตออีฟในสมัยก่อน คือ เผ่าซากีฟ เผ่าฮูเมร บางส่วนของเผ่ากุเรช และเผ่าฮูซัยล์

ท่านอิบนุอับบาส กล่าวว่า : ที่เมืองนี้ ถูกขานเรียกว่าเมืองตออีฟ เพราะท่านนบีอิบรอฮีม อลัยฮิสสลาม  เมื่อท่านได้ให้ลูกหลานของท่านพำนักอาศัยอยู่ที่เมืองมักกะห์  ท่านก็ได้วอนขอจากอัลลอฮ์ตาอาลา  ให้ประทานริสกีให้กับครอบครัวของท่านจากผลไม้นานาชนิด  ดังนั้นอัลลอฮ์จึงได้บัญชาให้แผ่นดินผืนหนึ่ง พร้อมกับต้นไม้ที่งอกเงยอยู่บนแผ่นดินผืนนั้น ให้มันเคลื่อนย้ายไปยังแผ่นดินตออีฟในปัจจุบัน  แผ่นดินผืนนั้นได้น้อมรับตามคำบัญชาของอัลลอฮ์  และได้ไปตอวาฟรอบบัยตุ้ลลอฮ์   จากนั้นได้เคลื่อนย้ายไปตามคำบัญชา  เมืองนี้จึงได้ชื่อว่า  “ตออีฟ” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา    
( คำว่า ตออีฟ แปลว่า ผู้ที่ทำการตอวาฟ )

#เหตุการทางด้านประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับเมืองตออีฟ

หลังจากที่พระนางคอดียะห์ และอบูตอลิบเสียชีวิต  ท่านนบีมูฮัมหมัดได้สูญเสียคนที่คอยปกป้องท่านจากพวกมุชรีกีน จากการที่ท่านได้เรียกร้องผู้คนในมักกะห์ไปสู่อิสลาม มุชรีกีนที่คอยกลั้นแกล้งและทำร้ายท่านยามเมื่ออบูตอลิบยังมีชีวิตอยู่  ก็ยิ่งทวีความรุนแรงในการทำร้ายท่านมากขึ้นไปอีกเมื่อบูตอลิบได้เสียชีวิตลง  ท่านนบีจึงต้องการผู้สนับสนุน และให้การช่วยเหลือท่านในการเผยแพร่ศาสนา  

#การเดินทางสู่เมืองตออีฟ

ดังนั้นในวันที่3 ของเดือนเชาวาล ปีที่10  ท่านนบีจึงได้เดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองตออีฟ พร้อมกับ เซด บิน ฮารีษะห์ คนที่คอยรับใช้ท่านนบี   เพื่อเข้าพบกับหัวหน้าเผ่าซากี๊ฟ ทั้ง3คน ที่เป็นพี่น้องกัน  คือ  อับดุลยาลี้ล   มัสอู้ด และ ฮาบี้บ  และท่านนบีได้ขอร้องให้ทั้ง3คน ให้ช่วยเหลือท่านในการเผยแพร่ศาสนา และปกป้องท่านจากคนที่ขัดแย้ง และ ต่อต้านท่าน  แต่ทั้ง3ไม่ตอบรับคำขอร้องของท่านนบี อีกทั้งยังพูดคำพูดเหยียดหยามท่าน  

คนหนึ่งกล่าวว่า : อัลลอฮ์ส่งท่านมาจริงๆหรือ?   คนที่สองกล่าวว่า : อัลลอฮ์ไม่รู้จะส่งใครมาเป็นรอซู้ลนอกจากเจ้าแล้วหรือ?   คนที่สามกล่าวว่า : หากท่านเป็นรอซู้ลจากอัลลอฮ์จริงตามที่ท่านกล่าว มันก็จะเป็นความผิดกับฉันที่จะไปกล่าวหาท่าน  แต่หากท่านพูกโกหกใส่อัลลอฮ์ ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆกับฉันที่จะต้องมาพูดคุยกับท่าน

ท่านนบีหมดหวัง จากการที่จะเชิญชวนพวกเขาให้มาช่วยเหลือท่าน  ท่านนบีจึงได้ลุกขึ้น และบอกกับพวกเขาว่า : หากว่าท่านไม่ช่วยเหลือฉัน ดังนั้นได้โปรดอย่าเอาเรื่องของฉันไปบอกกับใคร ( ท่านนบีพูดกับพวกเขาแบบนี้ เพื่อที่ท่านจะสามารถไปดะวะห์คนในเมืองตออีฟต่อ หลังจากพวกเขา ) แต่ทว่าพวกเขาไม่มีทีท่าที่จะทำตามที่ท่านนบีได้ร้องขอ  และยังนำเรื่องราวของท่านนบีไปบอกกับคนในเมือง  และได้บอกให้บรรดาคนโง่เขลา และบรรดาทาส ให้ตะโกนด่า และโห่ร้องใส่ท่านนบี 

จนกระทั้งผู้คนจำนวนมากได้มาล้อมท่านนบี  และพวกเขาก็จะนั่งเป็น2แถวข้างทางที่ท่านนบีเดิน และเมื่อท่านนบีเดินผ่านไปที่ใด ไม่มีครั้งใดที่ท่านนบียกเท้าขึ้น หรือวางเท้าลงพื้นเพื่อก้าวเดิน  นอกจากพวกเขาจะเอาก้อนหินมาทุบ ขว้างปาที่เท้าของท่านนบี  จนกระทั้งเลือดของท่านนบีได้ไหลโซรมลงเท้า  และเมื่อใดที่ท่านนบีล้มนั่งลง เพราะความเจ็บจากการโดนหินขว้างปา  พวกเขาก็จะจับท่านนบีให้ยืนขึ้นอีก และเมื่อท่านนบีเดินต่อ พวกเขาก็จะเอาหินขว้างปาท่าน โดยหัวเราะเย้ยหยันกันอย่างสนุกสนาน  และเซด บิน ฮารีซะห์ เป็นคนที่คอยปกป้องท่านนบี จะคอยเอาตัวของเขาเป็นโล่กระบังให้ท่านนบี และคอยรับก้อนหินที่ถูกขว้างปามาอย่างมากมาย จนหัวเขาแตกมีเลือดไหลโซรม  

หลังจากที่ท่านนบีได้เดินจนรอดพ้นจากคนเหล่านี้ โดยที่ตัวและเท้าของท่านอาบไปด้วยเลือด  ท่านนบีก็ได้เดินไปจนไปหยุดพักที่สวนองุ่นแห่งหนึ่ง เพื่อที่จะอาศัยกำแพงของสวนนี้เป็นร่มเงากำบังแดด โดยที่ในขณะนั้นท่านนบีโศกเศร้าอย่างมาก

และปรากฏว่า สวนองุ่นนี้ เป็นสวนของ อุตบะห์ และ ชัยบะห์ บินรอบีอะห์ ซึ่งทั้ง2เป็นศัตรูตัวฉกาจของอิสลาม  หลังจากที่ท่านนบีได้เข้าไปที่สวนแห่งนี้แล้ว  ทั้ง2ได้เห็นสิ่งที่ท่านนบีต้องพบเจอ ทั้ง2จึงเกิดความสงสารต่อท่านนบี

........ #พี่น้องลองคิดดู ว่าสภาพของท่านนบีในตอนนั้นเป็นอย่างไร  อุตบะห์ และ ชัยบะห์ เป็นคนที่ต้องการฆ่าท่านนบี  แต่เมื่อเขาทั้ง2เห็นสภาพของท่านนบีในตอนนั้น กลับยังสงสารท่านนบี  พี่น้องลองคิดดูว่า หากคนคนนึงอยากฆ่าอีกคนหนึ่งมาก พยายามหาทางที่จะฆ่าอยู่ตลอด แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่คนที่เขาอยากฆ่าโดนกระทำ ความรู้สึกเครียดแค้นกลับกลายเป็นสงสาร  พี่น้องคิดดูว่า ท่านนบีของเราสภาพตอนนั้นเป็นอย่างไร ท่านนบีโดนชาวเมืองตออิฟทำร้ายขนาดไหน..!!! 

หลังจากที่อุตบะห์ และ ชัยบะห์ เห็นสภาพของท่านนบี และเกิดความรู้สึกสงสาร  ทั้ง2จึงสั่งทาสคนนึง ที่เป็นชาวคริสเตียน ชื่อ อัดดาส ว่า : เจ้าจงไปเอาองุ่นมาพวงหนึ่ง แล้วเอาใส่ในจานไปให้กับชายคนนั้น  และจงบอกเขาว่า ให้กินองุ่นนี้ซะ  หลังจากนั้น อัดดาส ก็ได้ทำตามที่เจ้านายสั่ง  และเอาองุ่นมาวางไว้หน้าท่านนบี  และเมื่อท่านนบีได้เอามือเอื่อมไปหยิบองุ่น ท่านนบีกล่าวว่า : บิสมิลลาฮ์  แล้วท่านนบีก็กินองุ่น    

และอัดดาสได้ยินคำพูดที่ท่านนบีกล่าว  เขาจึงจ้องมองไปที่ใบหน้าของท่านนบี และกล่าวว่า : ขอสาบานต่ออัลลอฮ์  คำพูดที่เจ้าพูดเมื่อกี้ คนในเมืองนี้ไม่เคยกล่าวมาก่อน  ท่านนบีจึงถามเขาว่า : แล้วเจ้ามาจากเมืองไหน และเจ้านับถือศาสนาอะไรหรือ อัดดาส ?   เขาตอบว่า : ฉันนับถือศาสนาคริสเตียน และมาจากเมืองนัยนาวา  ท่านนบีจึงได้กล่าวว่า :  ชายคนหนึ่งที่เป็นคนดี ชื่อ ยุนุส บิน มัตตา ก็มาจากเมืองนี้   อัดดาส จึงถามว่า : ท่านรู้จัก ยุนุส บิน มัตตา ได้อย่างไร ?  ท่านนบีตอบว่า : เขาเป็นพี่ชายของฉัน เขาเป็นนบี และ ฉันก็เป็นนบี และท่านนบีก็ได้เล่าเล่าเรื่องราวของนบียูนุสให้เขาฟัง  

เมื่อได้ยินเช่นนั้น อัดดาส จึงก้มลงจูบ ศรีษะ จูบมือ จูบเท้าของท่านนบี โดยที่ในขณะนั้นเท้าของท่านนบีก็ยังมีเลือดไหลอยู่  และเมื่ออัดดาส เดินกลับมาหา อุตบะห์ กับ ชัยบะห์  ทั้ง2ก็กล่าวกับเขาว่า : ให้ตายสิ  ทำไมเจ้าถึงไปจูบศรีษะ จูบมือ จูบเท้าคนคนนั้น ทั้งๆที่เจ้าไม่เคยทำกับเราเช่นนี้  เขาตอบว่า : โอ้นายของฉัน  ไม่มีใครบนหน้าแผ่นดินนี้แล้วที่จะดียิ่งไปกว่าชายคนนี้ แท้จริงเขาได้บอกฉันเรื่องหนึ่ง ที่ไม่มีใครรู้นอกจากคนที่เป็นนบีเท่านั้น  ทั้ง2จึงบอกกับอัดดาสว่า : เจ้าห้ามทิ้งศาสนาของเจ้า เพราะศาสนาของเจ้าดีกว่าศาสนาของเขา

และในเหตุการณ์ครั้งนี้เอง ที่ญิบรีลได้มาหาท่านนบี และกล่าวว่า :  อัลลอฮ์ทรงได้ยิน และรู้คำพูดของท่าน และสิ่งที่กลุ่มชนเหล่านั้นทำกับท่าน  และอัลลอฮ์ได้ส่ง มลาอิกัตแห่งขุนเขามา เพื่อให้ท่านสั่งเขา ตามที่ท่านต้องการ  แล้วมลาอิกัตแห่งขุนเขาก็ได้มา และให้สล่ามกับท่านนบี  และกล่าวว่า : โอ้มูฮัมหมัด ท่านต้องการอย่างไร  หากท่านต้องการ ฉันก็จะเอาหุบเขา2ลูกนี้ ประกบเข้าด้วยกับ และให้ชาวเมืองนี้ตายไปให้หมด  แต่ท่านบีกลับกล่าวว่า : ฉันหวังว่า ต่อไปในอนาคต อัลลอฮ์จะให้มีออกมาจากลูกหลานของพวกเขา เป็นคนที่อิบาดะห์ต่อพระองค์

และในการเดินทางกลับจากเมืองตออีฟ ท่านนบีก็ได้กล่าวดุอาว่า

اللَّهمّ إليك أشكو ضعف قوتي وهو انى عَلَى النَّاسِ يَا أَرْحَمَ الرَّاحِمِينَ، أَنْتَ رَبُّ الْمُسْتَضْعَفِينَ، وَأَنْتَ رَبِّي إِلَى مَنْ تَكِلُنِي؟، إِلَى بِعِيدٍ يَتَجَهَّمُنِي؟ أَمْ إِلَى عَدُوٍّ مَلَّكْتَهُ أَمْرِي؟. إِنْ لَمْ يَكُنْ بِكَ غَضَبٌ عَلَيَّ فَلَا أُبَالِي وَلَكِنَّ عَافِيَتَكَ هِيَ أَوْسَعُ لِي، أَعُوذُ بِنُورِ وَجْهِكَ الَّذِي أَشْرَقَتْ لَهُ الظُّلُمَاتُ، وَصَلَحَ عَلَيْهِ أَمْرُ الدُّنْيَا وَالْآخِرَةِ مِنْ أَنْ تُنْزِلَ بِي غَضَبَكَ أَوْ تُحِلَّ عَلَيَّ سَخَطَكَ لَكَ العتبى حتى ترضى لَا حَوْلَ وَلَا قُوَّةَ إِلَّا بِكَ

.....พี่น้องลองมองดูซิว่า  ความรักของท่านบีที่มีให้อุมมะฮฺนั้นมากมายเพียงใด เมื่อเผชิญกับความเครียดแค้นท่านตอบโต้ด้วยความสงบ และหวังว่าพวกเขาจะกลับตัว เมื่อยามที่เลือดอาบโซมกายของท่าน ท่านกลับยกมือขอต่ออัลลอฮ์ผู้ทรงเมตตา ให้เมตตาคนเหล่านั้น  ท่านนบีไม่เคยเลย ที่จะโทษพวกเขาที่ไม่ศรัทธา 

#แต่ท่านกลับโทษในความอ่อนแอของตัวเอง.....มาชาอัลลอฮ ..!!

❤️اللهم صلّ وسلمْ على سيدنا ومولانا محمد❤️

😭😭😭😭😭😭
 __วัลลอหุอะลัม__

เครดิต : Nut Radinghin

ความคิดเห็น