รู้ทัน วงจรของ ซาตาน ในมุมมองใหม่ แฉเบื้องหลังซาตาน
มาร หรือมารร้าย หรือที่เรียกกันว่า ซาตาน เป็นที่กล่าวถึง และเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า เป็นผู้ชั่วร้าย ผู้คอยทำร้ายผู้คนให้ตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน แต่น้อยคนนักที่จะรู้จัก มาร หรือ มารร้ายอย่างถ่องแท้ แน่นอนที่สุด เมื่อไม่รู้จักหรือไม่เข้าใจ โอกาสที่จะถูกล่อลวงโดยมารร้ายย่อมจะมีมาก และการตกเป็นเหยื่อของมารร้าย ก็จะนำความทุกข์หรือปัญหาของชีวิตที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
ในคำสอนของศาสนาต่างๆ มักจะกล่าวถึงมาร หรือมารร้ายในหลายๆรูปแบบ แต่ที่จะยกมากล่าวถึง ณ ที่นี้เป็นเพียงบทบาทหรือลักษณะโดยรวมที่พอจะทำให้เราได้สามารถ ปกป้องตัวเราและคนใกล้ชิดให้ระมัดระวังหลีกห่างหรือปลอดภัยจากการล่อลวงหรือการทำร้ายจากมารได้
ลักษณะของมารร้ายที่พอสรุปได้ ดังนี้
1 มารร้ายที่อยู่ในจำพวก ภูต ผี ปีศาจ หรือ อมนุษย์
2 มารร้ายที่ อยู่ในจิตใจของเราทุกคน
3 มารร้ายที่เป็นระบบหรือกระบวนการทั้งหลายของสังคมมนุษย์
4 มารร้ายที่เป็นบุคคล หรือกลุ่มบุคคล
และอาจจะมีรูปแบบอื่นๆอีก ขึ้นอยู่กับการจำแนกแยกแยะ แต่ถึงแม้จะมีหลายรูปแบบ แต่หากพิจารณาถึงเป้าหมาย การกระทำ ผลงาน ลักษณะนิสัยของมารทุกจำพวกข้างต้นแล้วจะพบว่า การทำงานหรือจุดประสงค์ของมารทั้งหลาย นั้นอยู่ในแนวเดียวกันคือการนำพาผู้คนสู่ความทุกข์ ปัญหา และหายนะ ของชีวิต ขึ้นอยู่กับรูปแบบของแต่ละคนที่ต้องเผชิญ ที่สำคัญอีกประการก็คือ มารร้ายในรูปแบบต่างๆข้างต้น มีส่วนเกี่ยวข้อง เชื่อมโยง และบางทีก็ทำงานประสานกันเป็นขบวนเดียวกันอย่างแยกไม่ออก
สิ่งที่จะกล่าวถึงมารร้าย ดังต่อไปนี้นั้น ท่านผู้อ่านต้องเปิดใจพิจารณาด้วยเหตุและผล ท่านจึงจะได้ชื่อว่าเป็น ผู้มีปัญญา เพราะเรื่องราวของมารร้ายนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเราโดยตรง ทุกคน และอย่างน้อยที่สุดยังมีมารร้ายที่อยู่กับตัวเราตลอดเวลา เป็นสิ่งที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มันอยู่ในใจของเราอยู่ตลอด เพียงแต่เราสามารถควบคุมมันได้หรือไม่เท่านั้น แต่อย่างไรก็ดี สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้นั้นคือกลวิธีที่เราจะปราบมันลงได้ และเมื่อใดที่เราสามารถชนะมารทั้งหลายได้แล้ว เราก็จะพบว่า เราจะมีชีวิตที่ดีขึ้น หรือความเป็น “มนุษย์” ของเราจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ลักษณะของมารร้าย
ประเภทที่ 1 ภูต ผี ปีศาจ หรือ อมนุษย์
ซึ่งอยู่ในจำพวกที่เรียกว่า “โอปปาติกะ” หรือสิ่งมีชีวิตเหมือนมนุษย์ แต่ไม่ใช่มนุษย์ ภาษาอาหรับเรียกว่า “ญิน” เราคงเคยได้ยินเรื่อง ของ “ผี” มาทุกคน เกือบทุกคนเชื่อว่า ผีมีจริง อาจจะมีคนบางคน ไม่เชื่อว่า ภูตผี เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แต่คงจะน้อยมาก เมื่อพูดถึงคำว่า ภูต ผี ปีศาจ โดยเฉพาะสมัยก่อน ผู้คนจำนวนไม่น้อยคงได้ยินเรื่องเล่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ในรูปแบบของ ผี วิญญาณ ภูต ปีศาจ อสูรกาย แต่เกือบทุกคนกลับไม่รู้เลยว่า ตัวตนที่แท้จริงของ ภูต ผี ปีศาจ นั้นเป็นอย่างไร มันคืออะไร และมันมีอำนาจมากน้อยเพียงใด หลายคนได้เคยพยายาม พิสูจน์ เรื่องนี้เราคงได้เห็นมามากเกี่ยวกับความพยายามที่จะพิสูจน์ เรื่องภาพถ่ายวิญญาณ คือการพยายามด้วยวิธีที่เรียกว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ที่จะพิสูจน์เรื่องวิญญาณ หรือ เรื่องผี ดังกล่าว
ภูต ผี ปีศาจ คือสิ่งที่มีคุณลักษณ์ คล้ายมนุษย์ คือมีความคิด มีความรู้ มีภูมิปัญญา มีเพศชาย เพศหญิง มีการสืบพันธุ์ มีสังคม มีรูปลักษณ์เมื่อปรากฏตน จะคล้ายมนุษย์ หรือ เหมือนมนุษย์เลยก็ว่าได้ แต่คุณสมบัติพิเศษ ที่เหนือมนุษย์ก็คือ
-สามารถปรากฏกายให้คนเห็นได้ และหายตัวได้
-ร่างกายไม่ได้ถูกสร้างจากสสารแบบร่างกายมนุษย์ แต่เป็นลักษณะคล้ายกับคลื่น หรือพลังงานชนิดหนึ่ง
-สามารถเข้าไปสิงสถิตอยู่ในวัตถุได้ คล้ายกับพลังงานความร้อนที่สามารถแทรกซึมอยู่ในวัตถุชนิดต่างๆได้
-สามารถปรากฏกายเลียนแบบหน้าตาคนได้
-สามารถสื่อกับจิตของมนุษย์ได้ เช่นการเข้าฝัน หรือ การปรากฏตัวในภวังค์หรือภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่อน ของคนได้
-มีความรู้ มีความคิด มีปัญญา ใกล้เคียงกับมนุษย์ และบางกลุ่มสามารถพัฒนาเทคโนโลยีอาจจะก้าวหน้ากว่ามนุษย์ก็มี
ภูต ผี ปีศาจ หรือ อมนุษย์ มีหลายจำพวก หลายเผ่าพันธุ์ หลายลักษณะ บางพวกก็เป็นพวกที่ก้าวหน้า บางพวกก็หล้าหลัง บางพวกอาศัยอยู่ในป่า บางพวกอาศัยอยู่ในเมือง และบางพวก มีเมืองเป็นของตนเอง เมืองของพวกเขาอาจอยู่บนภูเขา หรือในทะเลมหาสมุทร
ในอดีตที่ผ่านมา กลุ่มภูตผีปีศาจ หรือเรียกสั้นว่า ผี ได้อาศัยอยู่อยู่บนโลก และเกี่ยวข้องกับมนุษย์ อย่างยาวนาน พวกเขาไม่ได้จัดเป็นมารร้ายไปเสียทั้งหมด แต่ที่กล่าวถึงว่า ภูต ผี ปีศาจ เป็นมารร้าย เนื่องจาก พฤติกรรมของพวกเขาบางจำพวก ที่มีนิสัยในทางชั่วร้าย และหลอกลวงทำร้ายมนุษย์ และก็มีจำนวนหนึ่งที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ และไม่ได้มีพฤติกรรมในทางชั่วร้าย แต่โอกาสที่ผู้คนจะเจอกลุ่มนี้น้อยมาก คนอาหรับเรียกอมนุษย์จำพวก “ญินมุมิน” แปลว่า “อมนุษย์ผู้มีศรัทธา” หรือที่บ้านเราเรียกว่า “คนธรรพ์”
ตัวอย่างที่ลักษณะของ อมนุษย์ ที่เกี่ยวข้องกับผู้คนอย่างยาวนาน และมีการกระทำที่เป็นมารร้ายหลอกหลอนหลอกลวงมนุษย์ให้หลงผิดจากอดีตจนถึงปัจจุบัน พอสรุปได้คือ
1.1-ปรากฏกายเป็นคนที่ตายไปแล้ว ให้ญาติหรือผู้ใกล้ชิอผู้ตายให้เห็น จนคนเข้าใจว่า “วิญญาณผู้ตาย” มาปรากฏตัวให้เห็น หรืออาศัยสิงสถิตอยู่ในบ้านเช่นที่เราเรียกกันว่า “ผีบ้านผีเรือน” หรือปรากฏตัวมาหลอกหลอน เช่น ผี ทั้งหลาย ในป่าช้า บ้านร้าง หรือที่คนตายเแบบไม่ปกติเช่น อุบัติเหตุ ฆ่าตัวตาย หรือถูกฆาตกรรม ที่เราเรียกกันว่า “วิญญาณ คนตาย” มาวนเวียนหลอกหลอน สาเหตุที่“อมนุษย์” พวกนี้ปรากฏเป็นวิญญาณ ผู้ตายให้เห็น เนื่องจากว่า พวกเขา อาศัยอยู่กับผู้คน หรือคนตายนั้นๆ มายาวนาน สามารถเลียนแบบรูปร่างหน้าตาท่าทางให้เหมือนกับคนที่ตายไปแล้วได้ บางทีแม้ว่าคนคนนั้นยังไม่ตายแต่ มันก็ปรากฏกายให้เห็นเป็นคนคนนั้นได้ ซึ่งเขาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “มิติคู่ขนาน” คือการที่มีคนอีกคนหนึ่งอยู่ในอีกโลกหนึ่งหรืออีกมิติหนึ่งแต่มีรูปร่างหน้ากริยาท่าทางเหมือนคนที่อยู่ในโลกนี้ มาปรากฏให้เห็น เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใดหากเรารู้จัก “อมนุษย์”เหล่านี้
1.2-เข้ามาสิงอยู่ในสมองหรือจิตของคนบางคน ให้คนคนนั้นแสดงอาการที่ไม่เป็นปกติ ลักษณะที่เรียก “เจ้าเข้าทรง” หรือ “ผีเข้าสิง”
1.3-ปรากฏกายเป็นสัตว์บางชนิดเช่น งู ตัวใหญ่ยักษ์ ที่เรียกว่า “งูเจ้าที่” หรืออาจจะเป็นสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น “หมาดำ”ส่วนใหญ่จะพบเห็นในป่าเขาลำเนาไพร เป็นต้น
1.4-เข้ามาสิงอยู่ในจิตของคน และบอกกับคนคนนั้นให้รู้เรื่องราวที่อยู่ไกลๆหรือเรื่องส่วนตัวของคนบางคนได้ เป็นปรากฏการณ์แบบ “หมอดู” หรือ “จิตสัมผัส” ที่สามารถล่วงรู้สิ่งอยู่ไกลๆ หรือที่ลับตาได้ ในอดีตเรียกลักษณะนี้ว่า “พรายกระซิบ”
1.5-เนื่องจาก อมนุษย์เป็นสิ่งที่สายตามนุษย์ไม่สามารถเห็นได้ในภาวะปกติ การกระทำของพวกเขาจึงกลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ดังนั้นการที่คนบางคนสามารถติดต่อกับพวกเขาและร่วมมือกันทำการบางอย่างได้จึงเกิดเป็น “คาถาอาคม ไสยศาสตร์ มนต์ดำ” คนที่ฝึกการติดต่อกับ “ผี” หรือ “อมนุษย์”ได้ และสามารถใช้งานหรือร่วมงานกับพวกเขาได้ คนคนนั้น ก็จะกลายเป็น ผู้ที่เรามักเรียกกันว่า “หมอผี” หรือ “พ่อมดจอมขมังเวทย์” สิ่งที่อมนุษย์เหล่านี้ทำในลักษณะนี้ซึ่งเรียกว่า “ไสยศาสตร์มนต์ดำ”นั้นไม่ได้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด หากแต่เป็นเรื่องที่คล้ายกับ “มายากล” แต่ที่แตกต่างกันก็เพราะเป็นการกระทำของ “อมนุษย์” เท่านั้นเอง แต่ทั้งนี้หมายถึงสิ่งที่ ไสยศาสตร์ทำได้ และบางทีเป็นเพียงการหลอกลวงของ หมอผีเท่านั้นคือไม่สามารถทำได้จริงตามที่อ้าง
1.6-เข้ามาสิงอยู่ในจิตของคน และกระซิบกระซาบในจิตใจ และบางครั้งก็ปรากฏในความฝันของคนคนนั้น เพื่อหลอกหลอน ให้เชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงเช่น เรื่องของ “ความอาถรรพ์”ของ “เจ้าป่าเจ้าเขา” “เจ้าพ่อเจ้าแม่” รวมไปถึงการสื่อไปยังจิตของผู้คนบางคนและสร้างเรื่องราวในจิตของคนนั้นในเรื่องของเทพเจ้าต่างๆให้เคารพบูชาและให้ผู้คนสร้างรูปตัวแทนขึ้นมาเพื่อการเคารพกราบไหว้ อาทิเช่น รูปปั้น รูปเคารพ หรือเทวรูปทั้งหลาย สร้างเรื่องราวให้ผู้คนหลงไหลในเรื่องอิทฤทธิ์ปาฏิหารย์ เช่น เครื่องรางของขลัง ตะกรุด น้ำมันพราย ยันตร์กันภัยทั้งหลาย หรือจำพวกคาถาอาคม จนทำให้ผู้คนที่เชื่อในเรื่องดังกล่าว กลายเป็นคนที่มืดมนต์เพราะเป็นเหมือนคนที่ถูกหลอกโดยนักมายากลทำให้จิตใจอ่อนแอไม่สามารถรับรู้ความจริงหรือสัจธรรมได้
1.7-ปรากฏเข้ามาสิงอยู่ในคนคนหนึ่งซึ่งก่อนหน้านั้นได้อยู่กับอีกคนหนึ่ง เมื่อคนแรกได้สิ้นชีวิตลง มันจะออกจากคนนั้นและเข้าไปสิงอยู่กับอีกคนถัดไป ดังที่บอกว่า พวกมันมีสติปัญญา การที่มันได้รับรู้เรื่องราวทั้งชีวิตของคนคนหนึ่งแน่นอนที่สุดความลับหรือการรับรู้ในชีวิตของคนดังกล่าวย่อมเป็นที่รู้ดีสำหรับมัน และเมื่อใดที่มันเข้าไปสิงสถิตอยู่ในคนใหม่ มันจึงบอกได้ว่าเมื่อก่อนชีวิตของคนที่มันอยู่ด้วยนั้นเป็นอย่างไร บ้านอยู่ที่ไหนพ่อแม่พี่น้องเขาเป็นใคร เขาเคยทำอะไร เคยเห็นอะไรก่อนตายมันสามารถเล่าให้คนรู้ได้โดยผ่านร่างใหม่ จนเป็นที่น่าประหลาดแก่ผู้คนทั้งหลายจนกลายเป็นเรื่องของการ “ระลึกชาติ”ไป และจากเรื่องนี้เองจนกลายเป็นเรื่องถกเถียงกันไม่รู้จบว่า การระลึกมีจริง หรือเป็นเรื่องหลอกลวง คนที่ไม่เคยพบเห็นเรื่องราวเช่นนี้ก็อาจคิดว่า การระลึกชาติไม่มีจริง แต่คนที่ได้เห็นกับตา หรือมีคนเล่ามาว่า มีบางคนที่ตายไปแล้ว และเมื่อมีอีกคนหนึ่งเกิดมาสามารถเล่าเรื่องราวของคนที่ตายไปก่อนดังกล่าวได้ราวกับเป็นชีวิตของตน แต่อันที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเพียงการเข้าสิงของ อมนุษย์ที่เคยอยู่กับคนอื่นมาก่อนเท่านั้น คนส่วนใหญ่ที่ไม่รู้จักอมนุษย์และการเข้าสิงของมันนั้น เมื่อเห็นกับตาตนเองก็ประหลาด อดที่จะไม่เชื่อไม่ได้ นี่คือรูปแบบหนึ่งของการล่อลวงของมาร อมนุษย์พวกหนึ่ง ภาษาอาหรับเรียกอมนุษย์เหล่านี้ว่า “ญิน กอรีน” แปลว่า “อมนุษย์ที่เป็นเพื่อนสนิท”
1.8-ปรากฏกายให้เห็นเป็นรูปร่าง ตัวผอมยาว ตาโต หัวโต ที่เราเรียกว่า “เปรต” ภาษาอาหรับเรียกว่า “อิฟรีด”ซึ่งเป็นคำที่มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า “เปรต”นั่นเอง และอมนุษย์ ตระกูล “เปรต” นี้เอง บางพวกมีปัญญาความรู้ความฉลาด สามารถพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวหน้า สามารถสร้าง “ยานพาหนะ” ที่อาจจะก้าวหน้ากว่ามนุษย์เราได้ ซึ่งยานพาหนะของพวกเขา เป็น “ยานบินลึกลับ”(ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Unidentified Flying Object หรือ UFO นั่นเอง) จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ภาพที่เราเห็น “เอเลี่ยน” หรือมนุษย์ต่างดาวที่คนเล่าลือกันว่าหน้าตาเป็นเช่นไร แล้วนำภาพถ่ายหรือภาพวาดมาให้ดูปรากฏว่า “เอเลี่ยน” ที่แท้จริง หน้าตาไม่ต่างจาก “เปรต” ของบ้านเราเลยคำว่า “เอเลี่ยน” ที่เราแปลกันว่า “มนุษย์ต่างดาว” น่าจะเรียกว่า “มนุษย์ต่างโลก” (ต่างมิติ)น่าจะถูกกว่า
เหล่านี้คือตัวอย่างของ อมนุษย์ ที่บางทีเราเรียกว่า เป็นภูตผีปีศาจ ภาษาพุทธเรียกว่า “โอปปาติกะ” ภาษาอาหรับเรียกว่า“ญิน” พวกเขาเหล่านั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกแตกต่างจากสัตว์และมนุษย์อย่างเราๆ คนทั่วไปน้อยคนนักที่จะได้สัมผัสหรือได้เห็นสิ่งที่เราเรียกว่า “ผี” ดังกล่าว การที่อมนุษย์เหล่านี้ เป็นมาร หรือมารร้าย เนื่องจากการหลอกลวง หลอกหลอนให้ผู้คนหลงผิดงมงายในเรื่องดังกล่าวข้างต้นคือ เรื่องของไสยศาสตร์ เวทย์มนตร์ คาถาอาคม เครื่องรางของขลัง การทำนายทายทักดูดวงโชคชะตา รวมถึงการสร้างเรื่องราวให้ผู้คนเลื่อมใส เช่น เรื่องของเทพนิยายต่างๆหรือ ปรากฏให้เห็นเป็นรูปของสัตว์ ที่ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็น “งู” ที่มีรูปแบบแตกต่างกันไปตามท้องที่ แต่มีที่มาอย่างเดียวกันนั่นคือ งู ที่เราเห็นเป็น “มังกร” นั่นคือภาพลักษณ์ ของมารร้ายที่เป็นโอปปาติกะ ที่ได้หลอกลวงมนุษย์ ยุคโบราณซึ่งเป็นที่มาของ การเคารพรูปปั้น รูปเคารพ รูปทวยเทพเทวาหรือ รูป งูที่เรียกว่า “มังกร” ทั้งหลายบางทีก็เอาภาพลักษณ์ของศาสนามาเกี่ยวข้อง ให้คนเลื่อมใสเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ โดยเข้าฝัน แล้วให้คนคนนั้นมาบอก มาสอนให้กราบไหว้บูชา (ทั้งๆที่ศาสดาทั้งหลายสอนมิให้ผู้คนยึดกับวัตถุ และห้ามการกราบไหว้บูชาวัตถุทุกชนิด เราจึงเห็นวิหารอาคารทางศาสนาหลายๆศาสนา มีรูปปั้น รูปเคารพมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้หลายศาสนาถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามและไม่มีคำสอนที่แท้จริงจากตัวศาสดาเองเลย) แน่นอนที่สุดเมื่อใดที่คนคนหนึ่งเคารพบูชาสิ่งใดเขาผู้นั้นก็ไม่อาจยอมรับเหตุและเรื่องในทางเลวร้ายของสิ่งที่ตนกราบไหว้บูชา(เหมือนเรารักใครสักคนจะมีผู้ใดมาบอกเราว่าคนที่เรารักนั้นไม่ดีตรงไหนอย่างไรเราก็มักจะไม่ฟังเหตุผลหรือคำทักท้วงใดๆเพราะเรารักเคารพบูชาเสียแล้ว)และหากว่าคำสอนที่ทำให้เราต้องกราบไหว้บูชาได้สืบทอดมายาวนานตั้งแต่บรรพบุรุษก็เป็นการยากที่เราจะสามารถเลิกการเคารพกราบไหว้ดังกล่าวนั้นได้ นี่คือช่องทางหนึ่งของ เหล่ามาร อมนุษย์พวกนั้นได้ทำการหลอกลวงหลอกหลอนจิตใจผู้คนมาอย่างยาวนาน จากอดีตแม้ปัจจุบันก็ยังมีให้เห็น นอกจากนี้บางทีก็แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ในรูปแบบ “การทรงเจ้า” แสดงอำนาจฟันแทงร่างกาย ลุยไฟ ลักษณะเช่นนี้คือการเข้าสิงหรือเข้าทรงใน “ร่างทรง” หรือ “ม้าทรง”อย่างที่เราเห็นได้ในการประกอบพิธีประเพณีบางอย่างเช่น “ประเพณีกินเจ” ในบางท้องที่ หรือการประกอบพิธีของ “แขกจ้าวเซ็น” คือกลุ่มศาสนาบางนิกายเป็นต้น
นี่คือลักษณะของ “มารร้าย”จำพวกที่ 1 ก่อนที่เราจะกล่าวถึงวิธีการต่อสู้หรือการปราบมารร้ายพวกนี้ จะกล่าวถึงมารร้ายลักษณะต่างๆข้างต้นทั้งหมดเสียก่อน
จำพวกที่ 2 มารร้ายที่อยู่ในจิตใจของเราทุกคน
มารร้าย ดังกล่าวนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน มันไม่ได้แปลกประหลาดแต่อย่างใด หากแต่มันใกล้ชิดกับเรามาก เพราะมันคือตัวของเราเอง ที่ว่า มันคือตัวเราก็เพราะว่า มันคือส่วนหนึ่งของ “จิต” ของเรานั่นเอง และมารร้ายดังกล่าวนี้แหละที่จะนำพาเราไปสู่ความทุกข์ สู่ความหายนะได้มากที่สุด
หากไม่บอกกล่าวเราอาจไม่รู้ว่า มันอยู่กับเราได้อย่างไร หรือว่ามันสิงอยู่ในตัวเรา อันที่จริงมันคือจิตส่วนหนึ่งของเรา ในภาษาธรรมะ เรียก “มารร้าย” ในจิตใจของเรานี้ว่า “กิเลส”นั่นเอง แต่นอกเหนือจากกิเลสแล้วยังมีคำว่า “ตัณหา” และ “ราคะ”อีกด้วย ในภาษาทั่วไปเรียก มารร้ายตัวนี้ว่า “จิตฝ่ายต่ำ” หรือ “จิตด้านมืด” นั่นเอง ลักษณะของ มารในจิต ของเรานั้นมีมากมายได้แก่
2.1 กิเลส ซึ่งประกอบด้วย
โลภะ หรือ ความละโมบโลภมาก คนจำนวนไม่น้อยที่ถูกความโลภครอบงำทำให้อยากมีอยากได้จนสามารถกระทำความชั่ว หรือความผิดทั้งหลายได้
โทสะ หรือความโกรธทั้งหลาย เราจะเห็นว่ามีไม่น้อยที่ผู้ที่มักจะระงับอารมณ์ตนเองไม่ได้แล้วบันดาลโทสะ ทำร้ายหรือฆ่าฟันผู้อื่นจนในที่สุดความเสียหายเกิดขึ้นแก่ตัวเอง
,โมหะ หรือความหลง ความไม่รู้แจ้ง เช่นหลงใน รูป รส กลิ่นเสียง ความหลงไหลคลั่งไคล้ หรือที่เรียกว่า “หน้ามืด”มัวเมาหัวปักหัวปำจนอยู่เหนือสติเหนือเหตุผล นำพาชีวิตสู่การกระทำผิดหรือสิ่งเลวร้ายได้
2.2 ตัณหา คือความอยากทั้งหลาย ซึ่งได้แก่
กามตัณหา หรือ ราคะ คือความอยากได้ อยากมี อยากสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องเพศอย่างเดียว หากแต่รวมความอยากได้ทั้งหลายทั้งปวง
ภวตัณหา คือความอยากเป็น อยากเด่น อยากดัง อยากมีชื่อเสียง อยากมีตำแหน่ง อยากให้คนให้เกียรติ เคารพนับถือ เป็นต้น
วิภวตัณหา คือความอยากหนี อยากหลบอยากหลีก ความไม่อยากจะเป็นหรือไม่พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่
2.3 นิสัย ประจำตัว
คือลักษณะนิสัยที่เป็นนิสัยที่ไม่ดีทั้งหลายที่อยู่กับคนเราทุกๆคน หากเราไม่รู้จัก ไม่ควบคุมมันให้ดีแล้วลักษณะนิสัยที่ไม่ดีทั้งหลายจะปรากฏออกมาจนกลายเป็นว่า “มารร้าย”กำลังเข้าควบคุมตัวเราในขณะนั้น
ลักษณะนิสัยที่เป็นมารประจำตัวของแต่คนอาจมีมากน้อยไม่เท่ากัน คนที่สามารถขัดเกลาและควบคุมตัวเองได้จึงสามารถชนะมารจำพวกนี้ได้ซึ่งได้แก่
-ความอิจฉาริษยา คือการไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้ดีในเรื่องใดๆก็ตาม มักจะเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว
-ความเย่อหยิ่ง ยโสโอหัง ลำพองจองหอง ดูถูกดูแคลน คิดว่าตนดีกว่าเหนือกว่าผู้อื่น เหล่านี้มักจะมีอยู่เกือบทุกคน
-การโอ้อวด คุยโว ชอบแสดงให้ผู้อื่นเห็นถึงความเด่นของตน ในเรื่องต่างๆทั้งหลาย
-การเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ ข่มเหง เห็นแก่ตัว
-ทุจริต ฉ้อโกง ปลิ้นปล้น ตลบตแลง โกหกหลอกลวง เจ้าเล่ห์ เพทุบาย
-การหลงไหลมัวเมาในอบายมุขทั้งหลาย ได้แก่ หลงสิ่งเสพของมึนเมา หลงการพนัน เสี่ยงทาย
-การฟุ่มเฟือนสุรุ่ยสุร่าย ในสิ่งไร้สาระ หลงมัวเมาในมหรสพ การละเล่นที่ฟุ่มเฟือย การเฉลิมฉลองที่สิ้นเปลืองเงินทอง สนุกสนานจนขาดสติ
-การฉกชิง ลักขโมย จี้ปล้น นักเลงอันธพาล ข่มขู่ ข่มเหงรีดไถ ทุจริต ฉ้อโกงทั้งหลาย
ลักษณะนิสัยเหล่านี้หากมีอยู่ที่ผู้ใด แล้วเขาควบคุมตัวเองหรือระงับอาการนิสัยเหล่านี้ไม่ได้ การเป็นมาร หรือ มารร้ายในตัวเขาก็ปรากฏมาให้เห็นและจะส่งผลเป็นพิษเป็นภัยต่อผู้อื่น จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการกระทำที่ได้แสดงออกมา
-ความอาฆาต พยาบาท นิสัยที่ชอบผูกใจเจ็บ เคียดแค้น จองล้างจองผลาญ
3 มารร้ายที่อยู่ในแบบของ ระบบ หรือ กระบวนการทั้งหลายของสังคมมนุษย์
ระบบ หรือกระบวนการทางสังคม มีอยู่หลายประเภท และระบบต่างๆเหล่านั้นจะกลายเป็นระบบของมารร้าย หรือเป็นตัวมารร้ายเอง อันเนื่องมาจากการกระทำหรือการจัดการของผู้ที่ครอบครองหรือดำเนินการในเรื่องดังกล่าวมีจิตใจที่เป็นมารร้ายแอบแฝงอยู่ในความคิด อยู่ในอุดมการณ์เป้าหมาย และนโยบายที่กระทำอยู่
และเมื่อระบบดังกล่าวเป็นระบบที่ใหญ่ขึ้นก็จะมีผลต่อผู้คนในวงกว้างขึ้น
แล้วระบบต่างๆเหล่านั้นหากนำไปสู่การเอารัดเอาเปรียบการทำร้ายหรือเป็นพิษภัยต่อผู้คน แน่นอนที่สุด
ระบบกลไกหรือกระบวนการทางสังคมดังกล่าวก็จะกลายเป็นมารร้ายที่จะมาทำร้ายผู้คนนั่นเองซึ่งได้แก่
3.1-ระบบความเชื่อ ลัทธิศาสนา
3.2-ระบบการศึกษา
3.3-สื่อสารมวลชน
3.4-ระบบเศรษฐกิจ
3.5-ระบบการเมืองการปกครอง
3.6-ระบบวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี
สิ่งที่เราจะสังเกตุได้ว่า ระบบต่างๆดังกล่าวข้างต้นจะเป็นระบบที่เป็นมารร้ายหรือไม่ให้เราสังเกตุรูปแบบอาการต่างๆดังต่อไปนี้
3.1-ระบบความเชื่อ เรื่องลัทธิ ศาสนา นิกาย หรือกลุ่มต่างๆด้านศาสนา ณ ที่นี้จะไม่กล่าวถึง ว่าเป็นศาสนาใด หรือลัทธิเป็นการเฉพาะ หากแต่ให้เรียนรู้หรือสังเกตุ ศาสนาหรือลัทธิทั้งหลาย ที่เราเองนับถือ และที่เราไม่ได้นับถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากลัทธิ หรือศาสนาที่เรานับถือ ได้ปรากฏให้เห็นถึง เรื่องต่อไปนี้ ให้ระมัดระวังให้ดี บางทีที่เรากำลังนับถืออยู่นั้นอาจเป็นมารร้ายที่แอบแฝงทำร้ายและหาผลประโยชน์จากเราอยู่ก็ได้
สิ่งที่น่าสังเกตุในเรื่องลัทธิศาสนาได้แก่
-องค์กรทางความเชื่อลัทธิศาสนาที่มักจะเรี่ยไรขอบริจาคอยู่เสมอเป็นประจำจนเป็นที่เอือมระอา และเรารู้สึกอึดอัดในเรื่องดังกล่าว
-องค์กรลัทธิศาสนาที่มักจะขายของ วิเศษ สิ่งมหัศจรรย์ อวดอ้างอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ ขายเครื่องรางของขลัง ขายเจว็ดเครื่องสักการะบูชาจนกลายเป็นศาสนพาณิชย์
-ลัทธิศาสนาที่มักจะสอนให้เคารพนับถือตัวบุคคลมากกว่าคำสอนหรือสัจธรรม สอนให้ยึดติดกับตัวบุคคลว่ามีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ช่วยเหลือตนได้มากกว่าที่จะสอนเรื่อง สัจธรรม คุณธรรม จริยธรรม
-ลัทธิศาสนาที่มีประเพณี หรือพิธีกรรมที่ โหดร้ายทารุณ สยดสยอง เช่น การฟันแทงร่างกาย ทรมานร่างกายแบบน่าขยะแขยงหรืออุดจาดสายตา
-ลัทธิศาสนาที่มักจะห้ามถาม ห้ามสงสัย ห้ามโต้แย้ง ต้องเชื่ออย่างเดียว แม้จะไม่เข้าใจก็ต้องเชื่อและสอนว่าอย่าไปอ่านไปศึกษาศาสนาลัทธิอื่นๆเป็นอันขาด ลัทธิศาสนาอื่นผิดหมด
-ลัทธิศาสนาที่สอนให้ใช้ความรุนแรง ตัดสินด้วยความรุนแรงเช่น คำสอนที่ว่า ฆ่าคนต่างศาสนาต่างนิกายไม่เป็นความผิด ไม่เป็นบาป หากทำผิดกฏศาสนาในเรื่องใดๆต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง
ลักษณะต่างๆเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อสังเกตุที่ว่า ลัทธิศาสนาหรือนิกายที่เรานับถืออยู่นั้นหากมีลักษณะต่างๆดังกล่าวข้างต้นให้ตั้งข้อสังเกตุได้เลยว่า ศาสนาลัทธิที่เรานับถืออาจกลายเป็นเครื่องมือของมารร้ายไปแล้วก็ได้
ทั้งๆที่แต่เดิมแล้วในคำสอนของศาสดาหรือในคัมภีร์ของศาสนาอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นแต่ดั้งเดิมเลย
แต่เมื่อเวลาผ่านมาอันยาวนานก็จะมีมารร้ายที่เป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคล เข้ามามีบทบาทในการสอน การเขียนตำรา การเปลี่ยนแปลงคัมภีร์เปลี่ยนแปลงคำสอนจาก คำสอนเดิมที่มาจากศาสดาให้เป็นคำสอนใหม่
หรือการสร้างพิธีกรรมทั้งหลายขึ้นและได้พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆจนกลายเป็นระบบความเชื่อ ระบบศาสนาลัทธิในรูปแบบใหม่ ที่อาจไม่เกี่ยวข้องหรือตรงกันข้ามกับคำสอนของศาสดาเลยก็ได้
ดังนั้นเราต้องสังเกตุให้ดีว่า ศาสนาหรือลัทธิที่เรานับถืออยู่นั้นตกเป็นเครื่องมือของมารร้ายหรือไม่ เพราะเราเองอาจตกเป็นเหยื่อของมารร้ายไปแล้วก็ได้
3.2-ระบบการศึกษา
การศึกษาคือสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตมาทุกยุคสมัย ชาติทั้งหลายต่างๆในโลกที่ได้พัฒนาขึ้นมาได้โดยเฉพาะชาติที่มีความก้าวหน้าในด้านต่างๆล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญกับการศึกษากับประชาชนของตนเสมอ ชาติใดหรือประเทศใด ไม่ให้ความสำคัญหรือไม่มีการพัฒนาระบบการศึกษาให้กับประชาชนแล้ว ก็กล่าวได้ว่า “เป็นไปไม่ได้”เลยที่ประเทศชาติเหล่านั้นจะพัฒนาความก้าวหน้าด้านต่างๆได้ แม้ว่าประเทศเหล่านั้นจะมีทรัพยากรณ์ธรรมชาติมากมายเพียงใดก็ตาม
แต่รู้หรือไม่ว่า ระบบการศึกษาทั้งหลายในปัจจุบันมีไม่น้อยที่กลายเป็นเครื่องมือของระบบมารร้ายหรือ ซาตานไปแล้ว
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้เป็นการกล่าวหาอย่างลอยๆ หากเป็นเรื่องที่เราสามารถสังเกตุพิจารณาว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระบบการศึกษาทั้งหลายไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายของผู้ที่ต้องการศึกษา หากแต่เป็นสิ่งที่นำพาชีวิตไปสู่ความทุกข์ยากที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นบนสิ่งที่เรียกว่า“การพัฒนาชีวิต”
มีตัวอย่างมากมายที่แสดงให้เห็นว่า ระบบการศึกษาทั่วๆไปตกอยู่ภายใต้ระบบการควบคุมของมารร้าย ซึ่งหากเราไม่สังเกตุหรือระวังให้ดี เราอาจตกเป็นเหยื่อของการขูดรีด หลอกลวง นำพาชีวิตไปสู่หลงไหลคลั่งไคล้ หลงทาง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเยาวชน ผู้ที่อยู่ในวัยแห่งการต้องศึกษาเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตเพื่อนำพาไปใช้ในการดำเนินชีวิตในอนาคต
ข้อสังเกตุที่ว่า ระบบการศึกษากำลังตกอยู่ภายใต้การครอบงำหรือการหลอกลวง หาผลประโยชน์ของเหล่ามารร้าย ชี้นำไปสู่การหลงผิด ได้แก่
-ระบบการศึกษา หรือสถานศึกษาที่ไม่สอนในเรื่อง คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศาสนาใดๆ หากแต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเรียนรู้และต้องปฏิบัติ ไม่ว่าจะถือศาสนาใด หรือจะไม่ถือศาสนาใดๆเลยก็ตาม ก็จำเป็นต้องมี คุณธรรม ศีลธรรม และจริยธรรม เพราะเมื่อใดที่สังคมขาดคำสอนเรื่องดังกล่าวแล้ว แน่นอนที่สุด ผู้คนในสังคมนั้นจะไม่มีทางที่จะปฏิบัติตนให้อยู่ในสังคมและชีวิต สงบสุขหรือผาสุกได้ เมื่อตอนที่กำลังเรียนอยู่เป็นเยาวชน ไม่ได้เรียนเรื่องคุณธรรมจริยธรรม เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นแต่กลับไม่รู้เลยว่าจะต้องทำตนอย่างไรให้ถูกต้องตามครรลองครองธรรม แน่นอนที่สุดแม้ว่าสังคมนั้นประกอบไปด้วยคนเก่ง มีความสามารถ หากแต่ขาดคุณธรรม สังคมก็จะเต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบ โกหกหลอกลวง ปลิ้นปล้นตลบตแลง ขาดศีลธรรม การแต่งกายที่ส่อไปในทางยั่วยุกามารมณ์ หรือ การสร้างกิจกรรม ในระบบการศึกษาที่นำพาผู้เรียนให้หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของ การเสื่อมโทรมทางศีลธรรม อาทิ เช่น การทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปนเป ระหว่างเพศ โดยธรรมชาติแล้วไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลายเมื่อถึงวัยแห่งการผสมพันธุ์หรือ วัยเจริญพันธ์ ย่อมมีความต้องการทางเพศเป็นเรื่องธรรมชาติขั้นพื้นฐาน หากแต่ การสร้างกิจกรรมในระบบของการศึกษาโดยอ้างเหตุผลใดก็ตามเพื่อให้เกิดการปนเประหว่างเพศของผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ย่อมเป็นการส่งเสริมให้มีความใคร่มากขึ้น และจะเป็นการนำไปสู่แนวทางที่นำไปสู่การมีความสัมพันธ์ ระหว่างเพศในระดับที่มากยิ่งขึ้น และในที่สุดก็มิอาจหยุดยั้งปัญหาที่มาจาก การมีเพศสัมพันธ์ได้ นอกจากนี้ยังมีอีกไม่น้อยในระบบของการศึกษา ที่มีระเบียบการแต่งกาย โดยเฉพาะการแต่งกายของสตรีที่มีลักษณะที่อาจจะกล่าวได้ว่า กึ่งโป๊เปลือยไปแล้ว จนไม่มีใครที่ปฏิเสธได้ว่าชุดแต่งกายดังกล่าวของนักศึกษาสตรี เป็นชุดแต่งกายที่ยั่วยวนทางเพศได้เป็นอันมาก เราไม่อาจรู้เลยว่า แนวคิดที่ทำให้เกิดรูปแบบต่างๆที่ซ่อนอยู่ในระบบการศึกษานั้น แฝงเร้นไปด้วยเป้าหมายในการยั่วยุกามารมณ์ โดยคาดไม่ถึงและในที่สุดปัญหาก็จะตามมามากมาย จากความสัมพันธ์ทางเพศที่ไม่เหมาะสมและปัญหาเหล่านั้น ก็จะทำลายชีวิตของผู้ที่ถูกหลอกล่อ ด้วยรูปแบบที่คาดไม่ถึง ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้ว่า การหลอกล่อของเหล่าซาตานมารร้ายที่แฝงเร้นอยู่ในระบบหรือกระบวนการ ทั้งหลายในชีวิตนั้นมันซ่อนเร้นและเป็นภัยเงียบซึ่ง ผู้คนส่วนใหญ่เห็นดีเห็นงามไปกับสิ่งเหล่านั้นด้วย เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่ ตรงกับต้องการของอารมณ์หรือ ตัณหาของเรานั่นเอง แต่มันคือเครื่องมือของซาตานที่จะนำพาคนที่ถูกหลอกล่อให้ตกหลุมพราง และจะสร้างปัญหาให้กับชีวิตของคนที่ตกหลุมพรางนั้น ให้จมอยู่ในปัญหาหรือความทุกข์ที่คาดไม่ถึง -ระบบการศึกษา ที่แฝงเร้นไปด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ เช่นสอนให้หลงไหลคลั่งไคล้ในเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ดูถูกเหยีดหยาม เกลียดชังอาฆาตมาดร้ายคนเผ่าพันธุ์อื่น หรือสอนหลงไหลในตัวบุคคลโดยการสร้างเรื่องราว เรื่องเล่าหรือประวัติศาสตร์ให้เยาวชนมืดบอดคลั่งไคล้ในตัวผู้นำ โดยไม่สอนถึงข้อเท็จจริง ซึ่งอาจเป็นเพียงการสร้างภาพหลอกตาขึ้น และในที่สุดเมื่อเยาวชนนั้นเติบใหญ่ขึ้นมาก็ถูก “ฝังหัว” ให้เชื่อเช่นนั้นโดยห้ามสงสัย ห้ามถาม ใครทำเช่นนั้นถือเป็นความผิดขั้นร้ายแรง และในที่สุดก็สอนลูกหลานให้เชื่อเช่นนั้นในรุ่นต่อไป เรื่องเหล่านี้ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลายประเทศ และระบบคำสอนเหล่านี้เองที่เคยนำพาชาติหลายๆชาติไปสู่ความหายนะมามากต่อมากแล้ว ดังตัวอย่างจากเหตุการณ์สงครามโลกที่ผ่านมาแต่ระบบคำสอนแบบดังกล่าวก็ยังคงมีอยู่จนปัจจุบัน
-ระบบการศึกษาที่สร้างภาระ เกินความจำเป็นต่อผู้ปกครองโดยไม่ได้คุณภาพด้านความรู้ เรื่องนี้หากไม่สังเกตุจะไม่รู้เลยว่าผู้ปกครองของเยาวชนที่กำลังทำการศึกษาจะต้องรับภาระที่ไม่จำเป็นซึ่งเป็นปัญหาและความกดดันต่อผู้ปกครองและเยาวชนผู้เรียนเอง หากไม่สังเกตุจะไม่รู้ว่าค่าใช้ที่ต้องจ่ายนอกเหนือจาก ค่าเล่าเรียน ค่าเครื่องแบบ ค่าบำรุงการศึกษา ค่าหนังสือ หรือตำราเสริม ค่าเดินทางไปกลับ ค่าที่พัก ค่าอาหารการกินประจำวัน ดังกล่าวข้างต้นแล้ว
ยังมี ค่ากิจกรรมทั้งหลายในแต่ละสัปดาห์อาจเป็นวัสดุอุปกรณ์ ค่าบริจาค ค่าเรียนพิเศษ และคนใดที่มีลูกที่กำลังเรียนอยู่หลายคนแน่นอนที่สุดภาระดังกล่าวก็เพิ่มเป็นทวีคูณ ภาระต่างๆเหล่านี้แตกต่างกันไปตามสถานศึกษาบางที่ก็มาก บางที่ก็น้อย แต่บทสรุปไม่น้อยที่ปรากฏให้เห็นว่า การเรียนรู้ไม่น้อยกลายเป็นเรื่องไร้ค่า จากการทุ่มเทเงินทองและเวลา เพราะเมื่อจบการศึกษามา มีไม่น้อยที่ไม่ได้ใช้ความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาประกอบอาชีพตามสายงานที่เรียนมา โดยเฉพาะคนที่อาศัยนอกเมือง สิ่งดังกล่าวเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายเพราะทุกคนเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นจึงเป็นเรื่องยอมรับกันได้ หากแต่ที่จะชี้ให้เห็นก็คือ ความทุกข์ยากที่ทุกคนที่รับผิดชอบ ต้องประสบอย่างเลี่ยงไม่ได้
ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเล็กๆน้อยๆที่เป็นข้อสังเกตุที่บ่งชี้ว่า ระบบการศึกษาบางส่วนตกอยู่ภายใต้การครอบงำของสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ที่ทำให้ผู้คนต้องตกเป็นเหยื่อที่ผู้ปกครองต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากกว่าที่บุตรของตนจะจบการศึกษามาได้นั้นผู้ปกครองต้องอยู่ในความทุกข์สาหัสสากรรจ์ และที่เป็นข่าวเคยมีนักเรียนบางคนถึงกับฆ่าตัวตายเพียงเพราะว่าไม่มีเงินค่าเทอม ก็มี
3.3-สื่อสารมวลชน
ระบบสื่อสารมวลชนคือระบบที่มีอิทธิพลต่อการดำรงชีพของคนทั่วโลก ความคิด โลกทัศน์ รสนิยม ความเชื่อ อุดมการณ์แห่งชีวิต ของประชากรโลกปัจจุบันล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้อิทธิพลของระบบสื่อสารมวลชนทั้งหมดเกือบร้อยเปอร์เซ็น สื่อทั้งหลายที่นำมาใช้อยู่ในปัจจุบันมีมากมายได้แก่
-สื่อวิทยุโทรทัศน์
-สื่อสิ่งพิมพ์
-สื่อภาพเคลื่อนไหว
-สื่อป้ายโฆษณา
นอกเหนือจากนี้ยังมีสื่อที่เป็นสื่อส่วนบุคคลแต่นำมาใช้เป็นสื่อสารมวลชนด้วยซึ่งได้แก่
-โทรศัพท์มือถือ และ อินเตอร์เน็ต
สื่อ คือเครื่องมือที่นำมาใช้ในการบอกในสิ่งที่ผู้บอกต้องการจะบอกแก่บุคคลเป้าหมาย ตลอดระยะเวลาเกือบร้อยปี ที่สื่อสมัยใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นซึ่งก่อนหน้านั้นการบอกหรือการสื่อสารทำได้เพียงการพิมพ์หรือการเขียน นอกนั้นก็เป็นเพียงการพูดธรรมดาเท่านั้น แต่ไม่นานมานี้สื่อได้พัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับ จากโทรเลข เป็นโทรศัพท์ สื่อมวลชนก็ได้กำเนิด วิทยุ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ กำเนิดโทรทัศน์ กำเนิดวีดิทัศน์ หรือวีดิโอ กำเนิดอินเตอร์เน็ต
การพัฒนาสื่อสารทำให้เกิดการปฏวัติวิถีชีวิต จากการพัฒนาสื่อก็มีการพัฒนาสิ่งที่สื่อนำเสนอซึ่งได้แก่ ภาพยนตร์ ละคร ข่าว เพลงและดนตรี สารคดี นวนิยาย สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดของผู้คนทั่วโลกในเวลารวดเร็ว และเป็นตัวชี้นำความคิด ทัศนคติ รสนิยม โดยที่ผู้คนทั่วไปส่วนใหญ่ไม่รู้เลยว่า สิ่งนำเสนอผ่าน สื่อมวลชนทั้งหลายแท้ที่จริงแล้ว คือเครื่องมือในการครอบงำความคิด ทัศนคติ ให้เป็นไปตามความต้องการหรือจุดประสงค์ของผู้ที่อยู่เบื้องหลังสื่อทั้งหลายเหล่านั้น
จากเรื่องที่สื่อนำเสนอนี่เองเมื่อสังเกตุให้ดีจะพบว่า สื่อทั้งหลายทั้งปวงส่วนใหญ่ในโลกล้วนนำพาชักจูงชี้นำผู้คนไปสู่สิ่งเลวร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ
สิ่งที่สื่อมวลชนนำเสนอโดยเฉพาะ รายการโทรทัศน์ ส่วนใหญ่ ล้วนแล้วแต่เป็น
-สิ่งบันเทิงไร้สาระสูญเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เช่น ดนตรี เพลงที่ไม่มีประโยชน์ใดๆ , เรื่องตลก, แฟชั่น
-สิ่งยั่วยุทางเพศ เช่น ละครเน้นในเรื่อง รักไคร่ๆ ผัวๆเมีย ตบตีแย่งชิงผู้ชาย แสดงการกอดจูบ แต่งกายเน้นสรีระ โชว์ส่วนสัดแฝงไปด้วยการยั่วยุอารมณ์ทางเพศ ให้เห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ฉายซ้ำๆวนไปวนมา
-นำเสนอภาพยนตร์ ที่เต็มไปด้วย ความรุนแรง การฆาตรกรรม ปล้นฆ่า ชิงทรัพย์ ทำร้าย ตลอดจนการก่ออาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ
-สิ่งงมงายไร้เหตุผล เช่นเรื่องการดูดวง ทำนายทายทักโชคชะตา ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน
-การนำเสนอข่าว ที่น่ากลัวหรือข่าวที่เป็นข่าวร้าย ตลอดเวลาที่ได้ดูข่าวทางโทรทัศน์เกือบทั้งหมดของข่าวเป็นข่าวในด้านลบ เช่น ข่าวอุบัติเหตุ ฉกชิงวิ่งราว จี้ปล้นฆ่า จริงอยู่ที่ว่าสิ่งเหล่านี้ ผู้นำเสนอต้องการให้ผู้คนได้รับทราบสิ่งที่เกิดขึ้น แต่น่าแปลกใจหรือไม่ว่า ทำไมข่าวเกือบทั้งหมดเป็นข่าวในเรื่องร้ายๆ ทั้งๆที่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเรื่องร้ายไปเสียทั้งหมด ข่าวที่ดีที่นำความพอใจ สบายใจหรือภาคภูมิใจ แก่ผู้คนที่ได้รับทราบ ส่วนใหญ่จะเป็นข่าวด้านร้ายๆเกือบทั้งสิ้น
รู้หรือไม่ว่า จิตของผู้คนที่ได้ซึมซับรับรู้ในเรื่องร้ายๆ ตลอดเวลาสภาพจิตจะกลายเป็นความเครียดโดยไม่รู้ตัว และหากผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมมีสภาพจิตเป็นเช่นนั้น แน่นอนที่สุดสังคมก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มีความเครียด
และที่สำคัญไม่นานมานี้ บ้านเมืองเราได้มี สถานีโทรทัศน์บางสถานีนำเสนอรายการ เพื่อต่อต้านและขับไล่ ผู้บริหารประเทศ ซึ่งนำเสนอมาเป็นเวลาหลายปี สิ่งจะกล่าวก็คือ โทรทัศน์ช่องดังกล่าว ในนำเสนอเรื่องราวที่เป็น การยุยง ปลุกปั่นใส่ร้ายป้ายสี ใช้วาจาหยาบคาย ยุแหย่ ตลอดวันตลอดคืน ณ ที่นี้จะไม่พูดถึงว่าสิ่งที่นำเสนอดังกล่าวเป็นจริงเท็จประการใด หากแต่จะบอกว่าตลอดระยะเวลาสี่ห้าปี ที่โทรทัศน์ช่องดังกล่าวนำเสนอสิ่งเหล่านี้ ปรากฏให้เห็นโดยชัดเจนก็คือ ผู้คนในสังคมเต็มไปด้วยความเครียด ทุกหนทุกแห่งมีแต่เรื่องขัดแย้งทางการเมือง แบ่งฝักแบ่งฝ่ายทะเลาะเบาะแว้งไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวเดียวกัน ญาติมิตรหรือคนสนิทกลับกลายเป็นศัตรูไม่คบค้าสมาคมกันอีกต่อไป
นอกเหนือจากนี้สื่อทั้งหลายโดยเฉพาะสถาโทรทัศน์ ยังมีการโหมโฆษณาชวนเชื่ออยู่ตลอดเวลา ทุกๆ 10 นาที บอกเรื่องราว น่าศรัทธา น่าเชื่อถือ น่าเคารพ น่าบูชา โดยที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยเรื่องที่นำมาเสนอนั้นเป็นเรื่องจริงเท็จแค่ไหน แต่อาศัยหลักจิตวิทยา การตอกย้ำจนฝังใจ แล้วกลายเป็นความเชื่อ
จะเห็นได้ว่า สื่อสารมวลชนโดยเฉพาะโทรทัศน์ ที่นำเสนอสิ่งต่างๆให้เราได้รู้ได้เห็นส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่นำพาเราไปสู่ความคิด ทัศนคติ อารมณ์ความรู้สึก และพฤติกรรมที่เป็นด้านลบ หากเราไม่สังเกตุให้ดี เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า เบื้องหลังของการนำเสนอเรื่องราวต่างๆข้างต้น ส่วนใหญ่คือสิ่งที่ “มารร้าย”ต้องการชี้นำให้ผู้คนให้คิด ปราถนา มุ่งมั่นไปในเรื่องดังกล่าว หากว่าผู้คน ทั้งหลายไม่รู้ตัว ไม่รู้เท่าทัน แน่นอนที่สุด มารร้ายจะใช้สื่อในการครอบงำทางความคิดของผู้คนในสังคมอย่างเบ็ดเสร็จ
และหากถามว่า แล้ว “มารร้าย”ดังกล่าวที่ควบคุมระบบสื่อสารมวลชน เป็นใคร อยู่ที่ไหน คำตอบก็คือ มันคือกลุ่มบุคคลที่มีความคิดจิตใจ ที่เป็น มาร ที่ครอบงำเกือบทุกองค์กรสื่อ ทั้งระดับประเทศและระดับโลก ทำงานประสานสอดคล้องกัน และมันมีทุนอย่างมหาศาล สามารถกำหนดกะเกณฑ์ให้เป็นไปตามความต้องการของมันได้ เป้าหมายของมันก็คือ การครอบงำความคิดของผู้คน ให้ได้มากที่สุด มันซ่อนตัวได้ อย่างดีเยี่ยมโดยผู้คนทั่วไปไม่อาจรู้เลยว่า นั่นคือเครื่องมือการครอบงำความคิด จิตวิญญาณของผู้คน ทั่วโลก เรา จะรู้ได้โดยการสังเกตุ พฤติกรรมการนำเสนอ แล้วจะพบว่าส่วนใหญ่ของเรื่องที่มันนำมาเสนอ นั้น นำพาจิตใจไปสู่ เรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น
นอกจากนี้ สื่ออื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน มากนักเพราะเป็นสื่อที่อยู่ในระบอบเดียวกัน ได้แก่
สื่อสิ่งพิมพ์ ทั้งหลาย
สื่อภาพเคลื่อนไหว ได้แก่ภาพยนต์ วีดิโอ
สื่อป้ายโฆษณา
สื่อ คอมพิวเตอร์ได้แก่ โทรศัพท์สมาร์ทโฟนทั้งหลาย เกมส์คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต
สื่อทั้งหลายทั้งปวงที่ได้นำเสนอต่อผู้คนตลอดเวลา นั้น มักจะเป็นตัวชี้นำความคิด ทัศนคติ รสนิยมของผู้คนซึ่งส่วนใหญ่จะนำพาความคิดของผู้คนให้ตกอยู่ ในห้วงแห่งความคิดที่มักจะนำพาไปสู่ สิ่งเลวร้าย อบายมุข หรือสิ่งไร้สาระ เป็นจำนวนไม่น้อย อาทิเช่น
สื่อสิ่งพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็น นิตยสาร ทั้งหลาย หรือสื่อสิ่งพิมพ์โฆษณา ที่สังเกตุเห็นได้ก็คือ เกือบทั้งหมดจะเหนี่ยวนำความสนใจของผู้คนด้วย ภาพอนาจาร หรือกึ่งอนาจาร ภาพโป๊เปลือย แน่นอนที่สุด ย่อมเป็นที่รู้กันว่า ภาพเหล่านี้คือสิ่งดึงดูดความสนใจได้มากที่สุด นอกจากนี้สื่อสิ่งพิมพ์ ก็มีลักษณะการนำเสนอที่ไม่ต่างจาก สื่อโทรทัศน์ ซึ่งไม่ได้หมายถึงเรื่องทั้งหมดที่สื่อดังกล่าว นำเสนอ หากแต่เป็นการสอดแทรก เรื่องราว รูปภาพที่นำไปสู่ การยั่วยุอารมณ์ การโฆษณชวนเชื่อ การเสนอข่าวสารที่สร้างความารู้สึกด้านลบ เรื่องงมงาย เช่น การดูดวง ไสยศาสตร์ ทั้งหลาย เรื่องราวของชีวิต หรือความเป็นไปในด้านลบของบุคคล หรือเรื่องราวต่างๆที่นำพาผู้คนไปสู่ความรู้สึกด้านลบ สยอง หดหู่ เกลียดชัง ซึ่งลักษณะการทำงานของ เหล่ามารร้ายเหล่านี้เป็นไปโดยการสร้าง การซึมซับ สู่ระบบความคิดหรือ จิตของ มนุษย์ ที่ค่อยๆเติมลงในจิต ซึ่งใช้เมื่อ เราได้เห็นได้อ่าน ได้รับรู้อยู่เป็นประจำทุกวัน
สื่อภาพเคลื่อนไหว ได้แก่ภาพยนต์ หรือวิดิโอ เราไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าสื่อชนิดนี้มีประโยชน์มากหากการนำเสนอนั้น นำเสนอในสิ่งที่ให้ความรู้หรือข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์จริงๆ แต่หากเราสังเกตุเราจะพบว่าเกือบทั้งหมดของ ภาพยนต์ ที่นำเสนอต่อผู้คนจะเป็นเรื่องที่ชักจูงความคิดหรือทัศนคติในทางลบหรือทางทำลาย เสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น ภาพยนต์ส่วนใหญ่จะ นำเสนอเรื่องของ อาชญากรรม การปล้นฆ่า, ยั่วยุกามารมณ์, การทำร้าย, การทุจริตคดโกง ,ทรยศ หักหลัง, การใช้เล่ห์เพทุบาย การมั่วสุมอบายมุข การพนัน สิ่งเสพติด และอื่นๆที่เป็นแบบอย่างที่เลวร้าย นั่นคือการทำงานของ “มารร้าย” ซึ่งหากเรามองผิวเผินก็จะไม่รู้ว่ามันมีผลอย่างไร มันเป็นเพียงสิ่งบันเทิงเพลิดเพลิน แต่หากเราเห็นหรือดูเป็นประจำ พฤติกรรมทั้งหลาย จะค่อยๆซึมซับสู่จิตใต้สำนึกโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกว่า พฤติกรรมที่เลวร้ายดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สังคมเขากระทำกัน แน่นอนที่สุดผลก็จะปรากฏขึ้นในสังคมทั่วไปนั่นคือ สังคมจะมีอาชญากรเพิ่มขึ้นเนื่องจากพฤติกรรมเลียนแบบ โดยไม่ได้รู้มาก่อนเลยว่า สิ่งเหล่าได้ถูกนำเสนอให้เป็นเยี่ยงอย่างจนเกิดความเคยชินและฝังลงในจิตใต้สำนึกของเราโดยที่เราไม่รู้ตัวมาก่อนเลย
สื่อคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต รวมถึงสมาร์ทโฟนทั้งหลาย โดยปกติแล้วเครื่องมือเหล่านี้คือสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล หากนำไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ แต่กระนั้นหากเทียบเป็นเปอร์เซ็นหรืออัตราส่วนแล้ว เราจะพบว่าส่วนใหญ่ของการนำสื่อหรือเครื่องมือดังกล่าวนี้ไปใช้ มักจะเป็นสิ่งนำพาไปสู่ความเสียหายหรืออบายมุขเป็นส่วนใหญ่ เช่น การใช้เล่นเกมส์ทั้งหลาย ซึ่งหากสังเกตุให้ดีเราจะพบว่า การผลิตวีดีโอเกมส์ทั้งหลาย มักจะเน้นในเนื้อหา ความรุนแรงเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น การฆ่าฟัน ยิงแทง อย่างดุเดือดเลือดพล่าน หรือความรุนแรงอื่นๆที่ค่อยๆซึมซับสู่จิตใต้สำนึกของผู้เล่นโดยไม่รู้ตัว จึงเห็นได้ว่า มีข่าวอยู่เป็นประจำที่มีเยาวชนก่อคดีฆาตกรรม เนื่องจากเลียนแบบเกมส์ที่เล่น
นอกจากนี้ สื่ออินเตอร์เน็ต เป็นสื่อที่มีบทบาทมากเพราะใช้สะดวกและสามารถช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว แต่เราคือรู้บ้างไหมว่า สื่ออินเตอร์เน็ต ได้ตกเป็นเครื่องมือของการชักจูงผู้คนสู่ความคิด ทัศนคติ และพฤติกรรมในทางเสียหายไม่น้อย เราอาจจะแย้งว่า สื่ออินเตอร์เน็ตสามารถทำให้เราได้รู้หลายสิ่งหลายอย่าง ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว แต่หากเราสังเกตุให้ดีจะพบว่า ไม่ว่าเราจะเปิดไปหน้าใดของเว็ปเพจ ไม่กี่ครั้งเราจะเจอการโฆษณา และการเชื่อมต่อไปสู่หน้า เว็ปที่เกี่ยวข้องกับภาพโป๊เปลือยอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ แน่นอนที่สุด เครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพและทรงพลังที่พวกมารร้ายนำมาใช้กับผู้คนตลอดเวลาอันยาวนานอย่างได้ผลนั่นคือ การชักจูงในเรื่องเพศ หรือ เรื่องกามารมณ์ และเมื่อถึงยุคของอินเตอร์เน็ต การนำเสนอเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งขึ้นกว่ายุคก่อนๆ เราจึงพบว่าการใช้อินเตอร์เน็ตของเราไม่อาจจะหลีกเลี่ยงภาพโป๊เปลือย การโฆษณาคลิปอนาจารเป็นเรื่องปกติ และอำนาจรัฐปัจจุบันก็ไม่อาจห้ามปรามหรือหยุดยั้งได้เลย แม้ว่ารัฐจะมีความตั้งใจจะปราบปรามหรือไม่ก็ตาม
เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างหรือส่วนหนึ่งของการทำงานของเหล่ามารร้ายผ่านระบบของสื่อสารที่พยายามจะชักจูงควบคุมระบบความคิดทัศนคติ ของผู้คนทั้งหลาย ให้หลงไหลไปกับการยั่วยุ ล่อลวง หลอกล่อ จนผู้คนไม่อาจจะรู้ตัวได้เลยว่า กำลังตกเป็นเหยื่อทางความคิด อารมณ์ ทัศนคติ โลกทัศน์ ที่นำไปสู่ความมืดมนทางจิตวิญญาณ ให้หลงไหลคลั่งไคล้อยู่กับ กิเลสตัณหาตลอดเวลา เราจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าเราจะหันไปทางไหน เราจะพบแต่ ภาพการโฆษณาสินค้า โฆษณาชวนเชื่อ วีดิโอคลิป ดนตรี เพลง ข่าวร้าย ความขัดแย้งทางการเมือง จากสื่อทั้งหลายข้างต้น ทั้งในบ้านและนอกบ้าน แน่นอนที่สุด สิ่งเหล่านี้ได้เข้าครอบงำ จิตใจของเราที่ละเล็กทีละน้อยจนเราไม่อาจรู้ตัวได้เลย ว่า จิตใจและความคิดทั้งหลายของเราได้ถูกครอบงำเรียบร้อยแล้ว
เราไม่อาจปฏิเสธได้เลย ว่า เราจะต้องพบเห็น ภาพ ข้อความ เรื่องราว ดังกล่าวทั่วไป จากสื่อทั้งหลายจนเห็นเป็นเรื่อง ปกติ ธรรมดา ของสังคมโลกยุคใหม่ และไม่มีใคร หรือ ผู้ใด องค์กรศาสนา ใดๆออกมาเตือนผู้คนว่า สื่อเหล่านี้คือ ส่วนหนึ่งของ กระบวนการการทำลายสภาพจิตของมนุษย์ ทำลายอย่างไร ก็คือ การสร้างและเพิ่มเติม กิเลส ตัณหา ในจิตของผู้คนนั่นเอง เมื่อจิตใจของเราถูก มอมเมาด้วย ความอยาก ความไคร่ ความโลภ ความต้องการเกินความพอดี หรือเกินความจำเป็น แน่นอนที่สุด จิตของเราจะค่อยๆ หมองมัว และจะค่อยๆก่อตัว เป็นกระบวนการการแสวงหา และเป็นที่มาของความโลภ เพื่อสนองความต้องการที่ได้พบเห็น จนก่อเกิดการแก่งแย่ง เห็นแก่ตัว ทรยศคดโกง ทุจริต และสภาพเหล่านี้นำพาผู้คนไปสู่ ปัญหาของชีวิต ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการเงิน ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาอาชญากรรม จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมผู้คนส่วนใหญ่ปัจจุบัน จะอยู่ในสภาพที่เครียดกดดัน เป็นทุกข์ และเต็มไปด้วยความอยากหรือกิเลสตัณหามากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นประเทศใด โดยเฉพาะประเทศที่ “เจริญแล้ว”ทั้งหลาย และเราไม่อาจจะหลบหลีก หรือหลีกเลี่ยง ให้ห่างไกลจากการเป็นเหยื่อของเหล่า มารร้าย ในเรื่องดังกล่าวนี้ได้เลย หากเราไม่รู้ทัน ระบบการทำงานของพวกมัน
ที่ยกมานี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆของสภาพการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหากเรามองรอบๆตัวเรา ก็จะพบว่า สิ่งที่กล่าวมานั้น ไม่อาจจะครอบคลุมเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น และเราก็มิอาจหลีกเลี่ยง การยั่วยุ มอมเมา หลอกลวง โดยแผนการณ์ที่เกิดจากน้ำมือของ เหล่าซาตานมารร้าย เหล่านี้ได้เลย ตราบใดที่เรายัง บริโภคข่าวสาร หรือเรื่องราวการนำเสนอ จากสื่อทั้งหลายเหล่านี้
เรายังคงต้องเผชิญกับ ความอยาก ความไคร่ ความต้องการ ที่เกินความจำเป็น เราต้องเผชิญกับปัญหาในครอบครัว ปัญหาเรื่องของลูกหลานที่จะต้องเป็นห่วงว่า พวกเขาเหล่านั้นจะมีปัญหาในชีวิตก่อนจะเข้าสู่ความผู้ใหญ่ ในเรื่องใดบ้าง ทั้งเรื่อง เพศ ยาเสพติด อบายมุข
เรายังต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งส่วนหนึ่งของสาเหตุก็คือ การใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการ หลอกลวง มอมเมา ใส่ร้ายป้ายสี เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลา มาพินิจพิเคราะห์เหตุการณ์บ้านเมืองมากนัก และจากการด้อยความรู้ ความคิด พวกมารทั้งหลาย ก็ใช้ สื่อทั้งหลายทั้งปวงเป็นเครื่องมือ ในการชักจูงความคิดของผู้คน ให้คล้อยตามที่ตนหลอกลวง มอมเมา และเกิดเป็นกระบวนการสร้างปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ให้เกิดขึ้น โดยหารู้ไม่ว่า ตนได้ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง ใส่ร้าย โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังสื่อทั้งหลาย เหล่านี้
เรายังต้องเผชิญกับ การหลอกลวง และตกเป็นเหยื่อของการค้า ที่ถูกนำเสนอโดยสื่อทั้งหลาย ที่เห็นได้ชัดมากในปัจจุบันก็คือ เรื่องของยา หรืออาหารเสริมทั้งหลายทั้งปวง ทั้งอาหารเสริม ลดน้ำหนัก หรือลดความอ้วนทั้งหลาย อาหารเสริม สุขภาพต่างๆ เสริมต่างๆในเรื่องทางเพศ แก้โรคสารพัด ที่กล่าวมานี้ ไม่ได้หมายความว่าทุกยี่ห้อ ทุกผลิตภัณฑ์จะไม่ดี หรือหลอกลวงเสียทั้งหมด หากแต่ ในยุคปัจจุบัน ยุคที่สื่อมีมากมายหลายทาง ยุคที่ข้อมูลข่าวสารสามารถเข้าถึงทุกคนทุกที่ ทุกเวลา นั่นจึงเป็นช่องทางของการหลอกลวง ได้ง่ายกว่าอดีตมากมายนัก ยกตัวอย่างเรื่องของ ยาลดน้ำหนัก หรือยาลดความอ้วน ที่มีอยู่มากมายกลาดเกลื่อน แต่หากคิดตามเปอร์เซ็นแล้ว ตัวยาที่นำมาเสนอขายเหล่านั้น อาจจะมีเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ได้ผลตามโฆษณาอ้างอิง และส่วนใหญ่มักเป็นการหลอกลวงเสียเกือบทั้ง หมด
ซึ่งการลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนที่ให้ได้ผลจริงๆ โดยไม่ต้องใช้ยาใดๆ และไม่ต้องอดอาหาร ก็คือ การควบคุม ปริมาณและชนิดของอาหารที่เรารับประทาน เท่านั้น
และการควบคุมอาหารที่สามารถลดน้ำหนักได้อย่างได้ผลที่สุด นั่นคือ การหยุดบริโภคข้าวจ้าว หรือ ข้าวสวย และ ผลิตภัณฑ์อาหารที่มากจากข้าวจ้าวทั้งหลาย ซึ่งได้แก่ ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ขนมทั้งหลาย ที่ทำจากแป้งข้าวจ้าว นอกเหนือจากนี้ต้องหยุดบริโภค อาหารที่ใช้น้ำมันเป็นส่วนประกอบหรือ ใช้ทอด หยุดบริโภค ของหวานที่มาจากน้ำตาลทั้งหลาย ทั้งขนม และเครื่องดื่มที่มีรสหวานทั้งหลาย นอกเหนือจากนี้ยังมี เนื้อไก่ หรือผลิตภัณฑ์ที่มาจากเนื้อไก่ทั้งหลายทั้งปวง
และลดการบริโภคอาหารที่เป็น แป้ง คือรับประทานให้น้อยที่สุด
แล้วหันไป บริโภค ผักสด อาหารทะเลสด ผลไม้ที่ไม่หวาน หรือไม่หวานมาก
เพียงเท่านี้ก็จะสามารถลดน้ำหนักอย่างไม่น่าเชื่อ และเป็นไปอย่างช้าๆ เห็นผลยิ่งกว่ายาลดน้ำหนักใดๆ ที่โฆษณาอยู่ตามสื่อทั้งหลาย
และที่สำคัญการออกกำลังกายไม่ได้ช่วยให้ลดน้ำหนัก หรือลดความอ้วนอย่างได้ผล เพราะเมื่อออกกำลังกายมาก ร่างกายก็อ่อนหล้า และเกิดความหิวมาก เมื่อหิวมากก็จะกินมาก จึงไม่สามารถลดน้ำหนักได้อย่างแท้จริง
ที่ยกมานี้เป็นเพียงตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างความเป็นจริง กับการหลอกลวงโดยใช้สื่อทั้งหลายที่เราพบเห็นอยู่ตลอดเวลา ในชีวิตประจำวันของเรา
หากเราไม่ได้ระวังตัว หรือรู้ไม่เท่าทัน แน่นอน เราจะต้องตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง โดยสื่อทั้งหลายเป็นเครื่องมือของมารร้ายในปัจจุบัน อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย
3.4-ระบบเศรษฐกิจ
สื่งที่เรียกว่า “มารร้าย” หรือ “ซาตาน” คือสิ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อมวลมนุษย์ นำพามนุษย์ไปสู่ “ความทุกข์” หรือ “ขุมนรก” ดังกล่าวข้างต้นนั้น ระบบที่มารร้ายนำมาใช้และเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์มากอีกประการหนึ่ง นั่นคือ ระบบเศรษฐกิจ คือระบบที่ว่าด้วย การกินอยู่หรือปากท้องของผู้คน นั่นคือการทำงาน การหารายได้ การเลี้ยงชีพ หรือเรื่องของปัจจัยยังชีพทั้งหลาย แน่นอนที่สุด ระบบที่ว่าคือระบบของ เศรษฐกิจ ที่มีองค์ประกอบหลายส่วน ได้แก่ ระบบการเงิน การผลิต การตลาด การให้บริการทั้งหลาย ซึ่งระบบดังกล่าว ส่วนใหญ่ ได้ตกอยู่ภายใต้ การครอบงำขององค์กรระดับต่างๆ เช่น บริษัท บรรษัท ทั้งหลาย ทั้งระดับประเทศและระดับโลก
ปัญหาของผู้คนทั่วไป ในโลกกว่า 90 เปอร์เซ็น คือเรื่องของปากท้องหรือ การหารายได้เลี้ยงชีพ เราจะเห็นว่า เกือบทุกครอบครัว ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศที่ก้าวหน้า หรือล้าหลัง ก็ต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงิน หรือ ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อการดำรงชีพ แต่ในขณะเดียวกัน เราจะเห็นผู้คนที่เป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่ง ปรากฏให้เห็นในหน้าสื่อทั้งหลาย ภาพที่ปรากฏของคนที่ร่ำรวย ไม่ว่าจะเป็น กิจการระดับ หมื่นล้าน แสนล้าน เราได้เห็น บ้านที่อยู่อาศัย ที่หรูหรา ราคาแพง เห็นยานพาหนะส่วนตัว และที่สำคัญ เราเห็นเครื่องประดับที่มีราคามหาศาล
แต่เมื่อมองไปยังภาพตรงกันข้ามเราจะเห็นผู้คนที่กำลังอดตาย ผอมเหลือแต่กระดูก ทั้งนี้ไม่ได้เฉพาะเจาะจงประเทศใดประเทศหนึ่ง หากแต่ภาพรวมที่ปรากฏในโลก ทำไมความแตกต่างจึงมีมากเกินไป ในขณะที่ทรัพย์สิน และรายได้ของคนกลุ่มหนึ่งมีกินมีใช้ไปเป็นร้อยๆพันๆชาติก็ใช้ไม่หมด แต่มีผู้คนส่วนใหญ่ในโลกกลับต้องทำงานเพื่อปากท้องอย่างทุกข์ทรมาน แต่ไม่พอใช้จ่าย และจำนวนไม่น้อยที่นอนรอคอยความตายเนื่องจากความอดอยากหิวโหย
หากเรามองอย่างผิวเผินเราอาจคิดว่า เหล่านี้เป็นเรื่องของความรู้ความสามารถ โอกาสและทรัพยากรณ์ ของผู้คนในแต่บุคคลแต่ละท้องที่ แต่ความเป็นจริง ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดจากกระบวนการ ทางระบบเศรษฐกิจ ที่ถูกครอบงำด้วยระบบ “ซาตาน มารร้าย”นั่นเอง กระบวนการ การครอบงำทางเศรษฐกิจ เราจะเห็นได้ดังนี
การผูกขาดทางเศรษฐกิจ
เราจะเห็นได้ว่า ระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การผลิต การค้า การเงิน การบริการ และการก่อสร้าง ล้วนแล้วแต่ อยู่ภายใต้ การผูกขาดโดยบริษัท และบรรษัทยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่บริษัท
นอกจากนี้ยังมีอีกมากที่เหล่ามารร้ายเหล่านี้ได้เข้าครอบงำทางเศรษฐกิจเช่น
การผลิตสินค้า แอบแฝงปลอมปน สารพิษ
การว่าจ้าง การกดขี่ค่าแรง
การหลอกลวงผู้บริโภค
การผูกขาดการตลาด
การยึดครองตลาด เบียดบังการค้าของชนชั้นล่างเหล่านี้เป็นต้น
4 มารร้ายที่เป็นบุคคล
มารร้ายที่เป็นบุคคล หมายถึง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีความคิด นิสัย พฤติกรรม การกระทำที่สร้างความเลวร้ายต่อผู้คนทั่วไป ซึ่งการกระทำเหล่านั้นเป็นการสร้างความเดือดร้อน เสียหาย ต่อผู้คนตั้งแต่ระดับบุคคลไปถึงระดับโลก ทั้งทางร่างกาย จิตใจและทรัพย์สิน ของผู้คนทั้งหลาย
หากเราไม่ได้พิจารณาคุณลักษณะของมารร้ายจำพวกนี้แล้ว เราก็จะเห็นว่า บุคคลเหล่านั้นเป็น คนธรรมดา ทั่วๆไป ไม่มีความแตกต่างจากคนอื่นๆ แต่หากเรา ได้รับรู้ถึงความคิด อุดมคติ เป้าหมาย ของบุคคลดังกล่าวแล้ว เราจะเห็นได้ว่า บุคคลเหล่านั้นไม่ได้เป็นคนธรรมดาทั่วไป
เราจะพบว่า บุคคลที่จะได้ชื่อว่า เป็น “มารร้าย” นั้นจะมีความคิด นิสัยและพฤติกรรมที่คนทั่วไป ไม่อาจคิดได้เลยว่าจะมีบุคคลเช่นนี้อยู่ในโลก
ดังที่กล่าวมาข้างต้น ว่า มารร้ายที่สถิตอยู่ในตัวเรานั้นคือ ความคิดนิสัยที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา ราคะ
นิสัยที่ชั่วร้ายทั้งหลาย เช่น นิสัยอิจฉาริษยา อาฆาตมาดร้าย ยโสโอหัง ข่มเหงรังแก เอารัดเอาเปรียบ หรืออื่นๆในทำนองนี้ และเราจะเห็นได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่นิสัยเหล่านี้เข้าครอบงำคนใดคนหนึ่งแล้ว คนคนนั้นจะมีพฤติกรรม ที่เลวร้าย แสดงออกมา
และเมื่อใดที่การกระทำดังกล่าวได้แสดงออกมาแล้ว เราจะเห็นได้ทันทีว่า นั่นคือ “มารร้าย” ที่เป็นตัวบุคคลได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว โดยทั่วไป เราอาจจะรู้อยู่แล้วว่า ลักษณะนิสัยที่เลวร้ายที่อยู่ในตัวเรานั้นแม้จะมีอยู่ก็จริงแต่มันไม่อาจจะทำให้เราเป็นคนชั่วร้ายได้ หากแต่บางทีจะทำให้เรามีอารมณ์ที่ชั่วร้ายชั่วขณะ และเราก็สามารถระงับความชั่วนั้นได้ เช่น แม้เราจะโกรธหรือโมโหคนใดคนหนึ่งมากเพียงใดก็ตาม
แต่หากเรายังมีจิตสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์แล้ว เราก็จะไม่สังหารหรือฆ่าคนคนนั้นด้วยอารมณ์เพียงชั่วขณะ แต่หากเราขาดสติหรือความยั้งคิด หรือมีความโมหะคือความหลงเข้าครอบงำแล้ว เราก็สามารถกระทำสิ่งเลวร้าย เช่นการทำร้ายร่างกายหรือการฆ่าคนที่เราโกรธได้ และในที่สุด เราก็ต้องมานั่งเสียใจกับการกระทำของเราที่ได้กระทำลงไป นั่นคือภาวะโดยทั่วไปของผู้คนที่ยังไม่อาจยับยั้งอารมณ์หรือกิเลสของตนได้
แต่หากเราได้พบเจอกับความคิดและที่สามารถกระทำพฤติกรรมที่เ หี้ ยมโหด
กระทำฆาตกรรมต่อผู้คนจำนวนมากซึ่งคนเหล่านั้นไม่ได้ทำผิดใดๆต่อตน หรือสามารถสร้างความเสียหายทุกข์ทรมานต่อผู้คนจำนวนนับร้อยพัน หมื่นแสนล้านแล้ว แน่นอนที่สุดบุคคลดังกล่าวนั้นย่อมไม่ใช่ลักษณะของบุคคลธรรมดาทั่วไปเสียแล้ว หากแต่อารมณ์หรือนิสัยแห่งความชั่วร้าย หรือนิสัย แห่งมารร้ายเข้าครอบงำจนไม่เหลือความเป็นบุคคลปกติให้เห็นอีก แม้ว่าบุคคลคนนั้นจะแสดงเป็นคนธรรมดาหรือ เป็นคนดีเพียงใดก็ตาม แต่นั่นแหละคือ “มารร้าย” ที่เป็นบุคคล ที่มีชีวิต ลักษณะภายนอกเฉกเช่นคนปกติธรรมดาทั่วไป หากแต่กัมมันตะ หรือ พฤติกรรมที่ส่งผลต่อสิ่งรอบข้าง หรือต่อบุคคลอื่นมิได้เป็นแบบบุคคลทั่วไปหาก แต่เป็นการกระทำหรือลักษณะที่เป็นมารหรือซาตาน ซึ่งหากเราไม่ได้ศึกษาพิจารณาแล้วเราไม่อาจรู้ได้เลยว่า บุคคล หรือกลุ่มบุคคลใดที่เป็นมารซาตาน ที่คอยทำร้าย ผู้คนทั่วไป และหากเราไม่ได้ศึกษาเราก็ไม่อาจพบได้เลยว่า ในภาวะของการใช้ชีวิตปกติของเรานั้น เราได้ตกเป็นเหยื่อของการทำร้ายของมารร้ายเหล่านี้ มากน้อยเพียงใดแล้ว
เราไม่อาจรู้เลยว่า ตัวเราและครอบครัวของเราต้องตกเป็นเหยื่อของการทำร้าย การกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ หลอกลวง ลอบฆ่าลอบทำร้าย ด้วยวิธีการต่างๆ นานา ที่เราคาดไม่ถึง
เราไม่รู้เลยว่า ทำไมลูกหลานของเราต้องตกเป็นเหยื่อของ อบายมุข สิ่งเสพย์ติด การมอมเมาด้วยสิ่งบันเทิงสิ่งยั่วยุ ทั้งหลาย และที่สุดเราไม่อาจรู้เลยว่า เหตุใด ที่เราต้องตกอยู่ในสภาพของความยุ่งยากในชีวิต จากปัญหาที่รุมเร้าตัวเราตลอดเวลา เราอาจจะไม่เคยรู้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมทั้งหลายนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างลอยๆ หากแต่เกิดจาก ผลงานของสิ่งที่เรียกว่า “มารร้าย” ซึ่งเราเองมีโอกาสน้อยมากที่จะรู้ทันว่า นั่นคือผลงาน ซาตานมารร้ายที่คอยทำลายชีวิตเราให้จมดิ่งสู่ ห้วงเหวแห่งความทุกข์ทรมาน ตลอดมา
ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ซาตานมารร้ายนั้นมีหลายประเภทและที่กล่าวในตอนนี้นั้นคือ มารร้ายที่เป็นบุคคล หรือ บุคคลที่แสดงพฤติกรรมที่เป็นมารร้าย ซึ่งมีผลต่อชีวิตของผู้คนทั่วไปตั้งแต่ระดับวงแคบ และกว้างออกไปจนถึงระดับโลก
ระดับของมารบุคคลและพฤติกรรมและขอบเขตการครอบครองได้แก่
4.1-มารร้ายระดับย่อย หรือ ระดับพื้นๆ
4.2-มารร้ายระดับกลาง
4.3-มารร้ายระดับใหญ่
4.4-มารร้ายระดับโลก
4.1-มารร้ายระดับย่อยๆได้แก่
บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่สร้างความเดือดร้อนหรือความเสียหายในอาณาเขตแคบๆให้แก่บุคคลทั่วไป เช่น โจร หรือขโมย ประเภทลักเล็กขโมยน้อย จี้ปล้น นักเลงประจำซอย คนขายยาเสพติดระดับหมู่บ้าน พวก 18 มงกุฎต้มตุ๋นหลอกลวงระดับบุคคล เหล่านี้คือมารร้ายระดับพื้นๆ ส่งผลต่อผู้คนในระดับบุคคลสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนทั่วไป หรือในสังคมระดับแคบๆ แต่อย่างไรก็ตาม บุคคลประเภทนี้จัดว่าเป็นมารร้ายอยู่ดี
เนื่องจากกำลัง ความสามารถ ของมารระดับนี้ทำได้ในวงจำกัด จึงส่งผลได้ไม่มากนัก แต่ผู้ใดก็ตามที่ตกเป็นเหยื่อของมารระดับนี้ ย่อมเดือดร้อนไม่มากก็น้อย มารร้ายระดับนี้มักจะเป็นที่สังเกตุได้ไม่ยาก หรือมักจะดูออกจากบุคคลิกภายนอก เพราะมันไม่ค่อยจะปกปิดภาพลักษณ์จะสังเกตุได้ง่าย หรือดูไม่ยากว่า เป็นโจร ผู้ร้าย
2-มารร้ายระดับกลางๆ
คือมารร้ายที่สร้างความเดือดร้อนหรือความเสียหายมากกว่าระดับต้นที่กล่าวมา มารร้ายระดับอาจสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในระดับท้องถิ่นหรือระดับจังหวัด ได้แก่
ประเภทที่เรียกว่า เจ้าพ่อ มาเฟียหรือผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย มารระดับนี้จะสร้างความเสียหายในวงที่กว้างกว่าระดับแรก เช่น ค้ายาเสพติดระดับจังหวัด เป็นเจ้าของบ่อนการพนัน เจ้าของกิจการหรือธุรกิจอบายมุขทั้งหลาย ฮุบพื้นที่ของชาวบ้านหรือที่สาธารณะ มาเป็นของตน
มารระดับนี้ มักจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอำนาจต่างๆ ตั้งแต่ อำนาจรัฐระดับท้องถิ่น เช่น สนับสนุนนักการเมืองท้องถิ่น หรือบางทีก็เป็นนักการเมืองระดับท้องถิ่นเสียเอง
มารระดับนี้มักจะสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเองว่า เป็นผู้ทำประโยชน์ให้แก่ชุมชนทั้งหลาย มักจะบริจาคในการกุศล จนเป็นที่เกรงใจแก่ผู้รับบริจาค ที่เป็นองค์กรระดับท้องถิ่น แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่สามารถปิดบังความจริงต่อผู้คนในท้องถิ่นนั้นๆได้มากนัก เนื่องจากเป็นคนในท้องที่เดียวกัน มักจะเป็นที่รู้ๆกันว่า คนคนนั้น มีเบื้องหลังในการทำสิ่งผิดกฏหมาย หรือทุจริตด้านใดบ้าง แต่หากมองผิวเผินก็ไม่อาจจะรู้ได้
3- มารร้ายระดับใหญ่
คือมารร้ายที่สามารถสร้างความเดือดร้อน หรือความเสียหายต่อผู้คนได้ในวงกว้าง ระดับประเทศ
มารร้ายระดับนี้ ไม่ค่อยเป็นที่เปิดเผยมากนัก มักจะซ่อนตัวอยู่ในภาพลักษณ์ที่ดี จนน้อยคนนักที่รู้ว่านี่คือมารผู้สร้างความเสียหายหรือความเดือดร้อนแก่ผู้คน อย่างมหาศาล
การทำงานของมารเหล่านี้มักจะเป็นองค์กรมากกว่าบุคคล หรือแม้จะเป็นบุคคลแต่มักจะเป็นผู้คุม หรือผู้อยู่เบื้องหลังองค์กรทั้งหลาย
มารร้ายระดับนี้จะทำงานระดับ ประเทศ มีผลต่อผู้คนโดยรวมอาจเป็นจำนวนมากเป็นแสนเป็นล้านหรือหลายล้านคน เช่น
- อยู่เบื้องหลังและควบคุมกลไกของระบบเศรษฐกิจ กิจการระดับใหญ่ทั้งหลาย เช่นผูกขาดทางการค้าระดับประเทศ หรือรีดไถนักธุรกิจระดับประเทศ ควบคุมระบบการเงินระดับประเทศ ควบคุมตลาดหุ้น
- ควบคุมระบบสื่อสารมวลชน มีอำนาจหรือเป็นเจ้าของสื่อสารมวลชน สามารถกำหนดแนวทางการนำเสนอของสื่อให้เป็นไปตามความต้องการของตนได้
- มีอำนาจ ควบคุมกลไกอำนาจรัฐได้ เช่น สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง กลไกอำนาจรัฐทั้งหลาย สามารถควบคุมองค์กรของรัฐให้ทำตามที่ตนสั่งได้ หรือเข้ามามีตำแหน่งอำนาจการการควบคุมองค์กรระดับรัฐเสียเองก็มี หรือสามารถสั่งการเจ้าหน้าที่ของรัฐได้
-มีอำนาจในการควบคุม ด้านจิตใจของผู้คนในสังคมได้ เช่น มีอิทธิพลหรืออำนาจใน
การควบคุมองค์กรทางจิตใจเช่น องค์กรศาสนา มีอิทธิพลต่อผู้นำทางศาสนา สามารถออกคำสั่งหรือ
ควบคุม ผู้นำทางศาสนา สามารถกำหนดแนวทัศนคติ ในคำสอนของศาสนาได้แม้ว่า จะไม่สอดคล้องกับคำสอนเดิมของศาสนาในบางอย่างก็ตาม
- มีอำนาจในการควบคุมระบบความคิด หรือทัศนะคติ ของสังคมโดยการ ปลูกฝังความคิดแก่ผู้คน
โดยเฉพาะเยาวชนผ่านระบบการศึกษาทั้งหลาย ควบคุมสถาบันการศึกษา หลักสูตรการศึกษา ให้อบรมสั่งสอนความคิดทัศนคติ ตั้งแต่ระดับเยาวชน เป็นต้นไป
- มีอำนาจควบคุมหรือหนุนหลังขบวนการที่ผิดกฏหมาย หรือ องค์กรอาชญากรรมทั้งหลาย ซึ่งได้แก่
ควบคุมขบวนการ การค้าของเถื่อน การผลิตและค้าสิ่งเสพย์ติดทั้งหลาย หรือองค์กรอบายมุขทั้งหลาย
- มีอำนาจควบคุม กลุ่มองค์กรที่สร้างความเดือดร้อน เช่นการก่อวินาศกรรม การสร้างสถานการณ์ความรุนแรงทั้งหลาย แล้วใช้สื่อเบี่ยงเบนทัศนคติของผู้คนให้มองเห็นเป็นความขั
- มีอำนาจในการควบคุมระบบความคิด หรือทัศนะคติ ของสังคมโดยการ ปลูกฝังความคิดแก่ผู้คน
โดยเฉพาะเยาวชนผ่านระบบการศึกษาทั้งหลาย ควบคุมสถาบันการศึกษา หลักสูตรการศึกษา ให้อบรมสั่งสอนความคิดทัศนคติ ตั้งแต่ระดับเยาวชน เป็นต้นไป
- มีอำนาจควบคุมหรือหนุนหลังขบวนการที่ผิดกฏหมาย หรือ องค์กรอาชญากรรมทั้งหลาย ซึ่งได้แก่
ควบคุมขบวนการ การค้าของเถื่อน การผลิตและค้าสิ่งเสพย์ติดทั้งหลาย หรือองค์กรอบายมุขทั้งหลาย
-มีอำนาจควบคุม กลุ่มองค์กรที่สร้างความเดือดร้อน เช่นการก่อวินาศกรรม การสร้างสถานการณ์ความรุนแรงทั้งหลาย แล้วใช้สื่อเบี่ยงเบนทัศนคติของผู้คนให้มองเห็นเป็นความขัดแย้งด้านเชื้อชาติศาสนา
การสร้างความเสียหายของ มารร้ายระดับนี้ มีผลต่อผู้คน ในจำนวนมาก เพราะสามารถควบคุมได้ในระดับประเทศ
ผู้คนจำนวนมาก ต้องเสียหาย เดือดร้อน ประเทศต้องเสียผลประโยชน์มหาศาล มีผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ปัญหาต่างๆของประเทศ ส่วนใหญ่มักจะมาจากพวกมารระดับนี้เกือบทั้งสิ้น เช่น
ปัญหาเศรษกิจ ได้แก่ การกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของผู้บริหารประเทศ ที่ทำให้เกิดการ การผูกขาดทางการค้า บางทีอาจทำให้เศรษฐกิจของชาติต้องพังทลาย หรือ รัฐต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก จากนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มตนหรือพวกพ้องของตน โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อประเทศที่ทำให้ ผู้คนต้องเดือดร้อนจากการล่มสลายทางเศรษฐกิจ เช่นการว่างงานหรือตกงาน กิจการขาดทุน ซึ่งมาจากการกำหนดนโยบายต่างๆที่สร้างความเสียหายต่อระบบเศรฐษกิจของผู้คน ในขณะเดียวกัน กลุ่มของตนหรือพวกพ้องของตนต่างได้รับผลประโยชน์บนความสูญเสียของชาติและผู้คนในชาติ และบางทีพวกเหล่านี้สามารถควบคุม ระบบกลไกการทำงานของรัฐ สามารถบงการเจ้าหน้าที่รัฐให้ทำการ รีดไถเอาประโยชน์จากผู้คนในช่องโหว่ของการกระทำที่ผิดกฏหมาย หรือบางทีแม้จะไม่ผิดกฏหมายก็ตาม
ปัญหาสังคม การที่ผู้คนต้องเดือดร้อน ตั้งแต่ระดับครอบครัว ไปจนถึงระดับชาติ สืบเนื่องมาจาก ทัศนคติ ค่านิยม พฤติกรรมของผู้คน ที่ถูกมอมเมาจาก สื่อสารมวลชน จนก่อให้เกิดปัญหาสังคม ที่เกือบทุกครอบครัวต้องประสบ สิ่งเหล่านี้มีการควบคุม อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ไม่ต้องแปลกใจว่า เหตุใด สื่อสารมวลชนทั้งหลาย จึงนำเสนอสิ่งที่เต็มไปด้วยการยุยง หรือยั่วยุทางเพศ เพ้อฝันกับภาพมายา นวนิยาย หรือ ละครมอมเมาทั้งหลาย ทั้งพฤติกรรมที่เลวร้าย การทะเลาะวิวาท แย่งชิง ทรยศคดโกงหลอกลวง เนรคุณ ใส่ร้ายป้ายสี อยู่เต็มไปหมด เพราะว่า มีมารร้ายคอยควบคุมระบบสื่อมวลชนทั้งหลายนั่นเอง
ปัญหาอาชญากรรม พวกเหล่านี้ อยู่เบื้องหลัง สั่งการ และรับผลประโยชน์จากองค์กรอาชญากรรมทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น การผลิตและการค้าสิ่งเสพย์ติด การพนันที่ผิดกฏหมาย สถานบันเทิง แหล่งอบายมุข มีอิทธิพลต่อการปกป้ององค์กรเหล่านี้เช่น สามารถคุ้มครอง อาชญากรให้พ้นจากความผิดได้ สามารถควบคุม คณะตุลาการหรือผู้พิพากษา ให้ตัดสินตามต้องการได้ อาชญากรทั้งหลาย เมื่อถูกดำเนินคดี ตัดสินพิพากษาก็สามารถหลุดพ้นจากการถูกลงโทษตามกฏหมายได้ หรือ สามารถควบคุมองค์กรเจ้าหน้าที่รัฐให้ ละเว้นการปฏิบัติหรือการจับกุมอาชญากร ที่อยู่ภายใต้การการคุ้มครองของมารเหล่านี้ได้
ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เช่นการปล่อยสารพิษ การตัดไม้ทำลายป่า การหาผลประโยชน์หรือการกอบโกยทรัพยากรณ์ของประเทศ มารเหล่านี้สามารถทำได้ โดยไม่มีผู้ใดขัดขวางได้เลย หรือแม้กระทั่งการควบคุมระบบหรือกลไก การทำงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น
เรื่องการจัดการน้ำ การควบคุมน้ำ หรือแม้แต่ปัญหาน้ำท่วม มีอยู่ไม่น้อยที่เกิดจาก การปล่อยน้ำ ให้เข้าท่วม เรือกสวนไร่นา บ้านเรือนที่อยู่อาศัย จากเขื่อนที่มีอยู่ ทั่วๆไป โดยผู้คนส่วนใหญ่ไม่อาจทราบได้เลย ว่าเกิดจากการควบคุมระบบกลไก ของมารเหล่านี้
นอกจากนี้ยังมีปัญหาระดับชาติ อีกมากมายที่เกิดจากพวกมารร้าย ที่คอยกอบโกยเอาผลประโยชน์ และสร้างความเสียหายเดือดร้อนต่อผู้คนอย่างแสนสาหัส
มีน้อยคนนักที่จะรู้ได้ว่า ปัญหาต่างๆข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างลอยๆ หากแต่เกิดจากแผนการณ์ หรือกระบวนการของเหล่าซาตานมารร้าย ที่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ และสร้างความเสียหายเดือดร้อนแก่ผู้คน และบางทีมารร้ายเหล่านี้กลับกลายเป็น บุคคลหรือกลุ่มคนที่เชิดหน้าชูตา อยู่ในสังคม เป็นที่ยอมรับหรือเคารพจากผู้คนในสังคมอย่างมาก โดยหารู้ไม่ว่าบุคคลหรือกลุ่มคนที่เรา เคารพนับถืออยู่นั้น อันที่จริงแล้วมีเบื้องหลัง ที่เป็นมารร้าย หรือ ซาตานที่คอยทำร้าย สูบเลือด กดขี่ตน และประเทศชาติของตนตลอดเวลาที่ผ่านมา
ปัญหาการเมืองการปกครอง
ดังที่กล่าวมาข้างต้นว่า มารร้ายหรือซาตาน ที่เป็นบุคคลหรือ กลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังหรือควบคุมระบบการเมืองการปกครอง ได้มีอำนาจเหนืออำนาจรัฐ ทั้งประชาชนทั่วไปหรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่อาจปฏิเสธ การครอบงำของมารร้ายดังกล่าวได้ง่ายนัก เราคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ระบบการปกครอง การบริหารและการดำเนินการต่อรัฐนั้น น่าจะเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา โปร่งใส เพราะเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เข้ามารับหน้าที่ ได้ทำการสาบานตน หรือ ปฏิญาณตนในการเข้าทำหน้าที่ แต่ เราจะพบว่า ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ระดับใดหรือประชาชนทั่วไปจะต้องเผชิญกับ ปัญหาความกดดันจากระบบการเมืองการปกครองที่เป็นอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ
เราคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐไม่น้อยที่รับผลประโยชน์จากการบิดพลิ้ว หรือปฏิบัติงานไม่ซื่อตรง เช่น
-การขูดรีดเอาผลประโยชน์หรือส่วนแบ่งจากงบประมาณในโครงการต่างๆ จากการสร้างสาธารณูปโภค เช่น ถนน, สะพาน ,คูระบายน้ำ หรือสิ่งก่อสร้างหรือโครงการใดๆ โดยการขูดรีดจากผู้รับเหมาหรือวิธีใดๆ แน่นอนที่สุดผลก็คือ ผลงานที่สร้างขึ้นย่อมด้อยคุณภาพ เสียหาย จะเห็นได้ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านถึงระดับประเทศ ดังที่เห็นเป็นข่าวอยู่เป็นประจำ
-การรีดไถของเจ้าหน้าที่โดยอาศัยช่องโหว่ หรือโอกาสที่กฏหมายได้ตราไว้ให้ เราจะเห็นโดยทั่วไปตาม ท้องถนน เป็นที่เอือมระอา แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
-การแอบอิงเอาผลประโยชน์จาก หน้าที่ที่ตนมีในระบบของการบริหารปกครองรัฐ เช่นหากต้องการจัดการให้อย่างรวดเร็วต้องจ่ายให้เจ้าหน้าที่ เท่านั้นเท่านี้ หากไม่จ่ายก็ต้องรออีกยาวนาน กรณีดังกล่าวเห็นได้โดยทั่วไปใน สำนักงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการด้านทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ ในกิจการหรือการทำธุรกรรมด้าน ผลประโยชน์ กำไร หรือรายได้ เป็นต้น
-การละเมิด กฏหรือบทบัญญัติว่าด้วยการปกครองของรัฐ ที่บุคคลจำนวนหนึ่งสามารถ รอดพ้นจากการลงโทษในสิ่งที่ตนกระทำผิดได้ และขณะเดียวกันก็สามารถข่มขู่ หรือทำร้ายเจ้าหน้าของรัฐโดยอำนาจนอกเหนือบทบัญญัติ ของรัฐได้ เราจะเห็นว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ เจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่นำผู้กระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการการพิจารณาความผิด แต่กลับถูกบุคคลผู้นั้นใช้อำนาจทำร้าย เจ้าหน้าที่นั้น จนมีไม่น้อยที่เจ้าหน้าที่ไม่อยากจะนำตัวผู้กระทำผิดนั้นมาเข้าสู่กระบวนการพิจารณาโทษ
เหล่านี้คือตัวอย่างเพียงเล็กน้อยจากความจริงที่เกิดขึ้นทั่วไป ในประเทศทั้งหลาย ซึ่งไม่ได้หมายถึงประเทศหนึ่งประเทศใน โดยเฉพาะ หากแต่ เกิดขึ้นโดยรวมทั่วไป ในประเทศทั้งหลายในโลก ซึ่งอาจจะแตกต่างกันในแต่ละประเทศขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งหลาย ในแต่ละที่ บางประเทศอาจมีมาก และบางประเทศอาจมีให้เห็นน้อย แต่ ประเทศใดที่มีปรากฏการณ์เหล่านี้ให้เห็นมากนั่น หมายถึง ประเทศนั้นถูกเหล่าซาตานมารร้ายที่เป็นบุคคลได้เข้าครอบงำกระบวนของประเทศนั้นๆ อย่างมาก และแน่นอนที่สุดผลปรากฏที่ผู้คนประชาชนที่นั้นต้องเผชิญนั่นก็คือ ปัญหาและความทุกข์ยาก ที่ปรากฏอย่างเปิดเผย และที่ซ่อนเร้น ซึ่งที่ซ่อนเร้นนั้นเราอาจจะเห็น ว่า ประเทศนั้นผู้คน อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข หากแต่ภายในจิตใจของผู้คนกลับเต็มไปด้วยปัญหา ที่เกี่ยวข้องกับระบบ ของประเทศ ความยุ่งยากที่ไม่อาจแก้ได้
และหากประเทศใดที่เห็นปัญหาที่เกิดจากมารร้ายกลุ่มดังกล่าว อย่างเปิดเผย แน่นอนที่สุดประเทศนั้นย่อมอยู่ในสภาพที่เรียกว่า “สาหัสสากรรจ์” อย่างเลี่ยงไม่ได้
และตราบใดที่ผู้คน หรือประชาชนทั้งหลายไม่รู้ ไม่ทราบที่มาที่ไปของปัญหา หรือเบื้องหลังที่เป็นการครอบงำของซาตานดังกล่าวแล้ว ประชาชนเหล่านั้นก็ต้องถูกหลอก ถูกกดขี่ ถูกขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ
อยู่ตลอดไป และหากว่า เมื่อใด ประชาชนบางคน บางกลุ่มรู้เท่าทัน และพยายามที่จะขัดขวาง หรือล้มล้าง ระบบดังกล่าวของเหล่ามารร้ายเหล่านี้แล้ว โอกาสที่กลุ่มเหล่านั้นจะถูกฆ่า ถูกทำร้าย หรือตามล้างตามผลาญมีสูงมาก ดังกล่าวมาแล้ว มารเหล่านี้มีอำนาจรัฐ หรือ อำนาจที่ครอบครองระบบ หรือกลไกของรัฐ อยู่ในมือ ซึ่งพวกมันสามารถใช้อำนาจๆในการขจัด เสี้ยนหนามของระบบมันได้ไม่ยากเลย ไม่ว่าจะเป็นการลอบสังหาร การยัดเยียดคดี หรือสร้างเหตุการณ์เรื่องราวให้บุคคลเหล่านั้นตก เป็นจำเลย หรือนักโทษผู้มีความผิดตาม กฏหมาย
เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยของมารร้ายระดับประเทศ เรื่องราวที่เกิดขึ้นมีมากมายไม่อาจบรรยายได้หมด ซึ่งเราอาจจะเห็น หรือสังเกตุได้มีอีกมากหากเราพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราในทุกวันนี้
มารร้ายระดับโลก
คือ บุคคลหรือกลุ่มบุคคล ที่มีอำนาจอิทธิพลสามารถควบคุมองค์กรระดับโลกได้ มารร้ายระดับนี้จะมีผลต่อชาวโลกโดยรวม
สามารถสร้างความเสียหายแกชาวโลกได้อย่างกว้างขวางหลายด้านเช่น
- ด้านสื่อสารมวลชน สามารถควบคุมการนำเสนอข่าว เรื่องราวต่างๆ สามารถปั้นแต่ง เรื่องเท็จให้ดูเหมือนเป็นเรื่องจริงได้ เช่นการนำเสนอทางโทรทัศน์ วิทยุ ภาพยนตร์
อินเตอร์เน็ต หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร ต่างๆ สามารถชักจูงผู้คนด้วยแนวคิดต่างๆ ในรูปแบบการโฆษณาชวนเชื่อ สร้างภาพให้เกิดการวิตกหรือตื่นตระหนกต่อชาวโลก นำเสนอเรื่องราว ความโหดร้าย ความรุนแรง การยั่วยุกิเลส ตัณหา นำเสนอลักษณะนิสัย ที่เลวร้าย เช่น การตลบตแลง ปลิ้นปล้น ทรยศหักหลัง ใส่ร้ายป้ายสี อาชญากรรม หรือตัวอย่างของผู้คนที่ชั่วร้าย การใช้ความรุนแรง ผ่านทางสื่อทั้งภาพยนตร์ วีดิโอเกมส์ต่างๆ ส่งผลต่อจิตใจผู้คนทั่วโลกโดยรวม โดยเฉพาะต่อเยาวชน ดังที่เราเห็นอยู่เป็นประจำ
- ด้านสังคม เมื่อพวกมารร้ายเหล่านี้มีอิทธิอำนาจเหนือระบบสื่อสารมวลชนทั้งหลาย แน่นอนที่สุดก็ สามารถควบคุมระบบความคิดของมวลชน ให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ พวกมันสามารถกำหนด แนวคิดหรือทัศนคติต่อชาวโลกโดยรวมได้ ส่งผลให้ วิถีหรือรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนเป็นไปตามที่พวกเขาได้ขีดเส้นให้เดินไปได้ เราจึงเห็นได้ว่า รูปแบบวิถีชีวิตของผู้คน ทั่วโลกในปัจจุบันกำลังเดินไปในแนวคิดเดียวกัน
เช่น แนวคิดวัตถุนิยม คือแนวคิดที่ให้ความสำคัญต่อวัตถุ ถือเรื่องวัตถุเป็นใหญ่ การตัดสินค่าของคนอยู่ที่วัตถุ ความมั่งคั่งร่ำรวย ผู้คนนิยมชมชอบในเรื่องของวัตถุ ผู้คนแข่งขันกัน ในเรื่องของวัตถุ ตัดสินกันในทางวัตถุ หรือสิ่งอุปโลกข์ เช่นตำแหน่งหน้าที่ ยศถาบรรดาศักดิ์ต่างๆ โดยมิได้คำนึงถึงคุณค่าทางจิตใจ หรือ เรื่องของจิตวิญญาณเลยแม้แต่น้อย ชาวโลกส่วนใหญ่จึงมืดบอดด้านจิตวิญญาณ เราจึงเห็นได้จากการที่สังคมส่วนใหญ่ เต็มไปด้วยการฉ้อโกง ทุจริต อบายมุข เช่น การพนัน ยาเสพติด สิ่งมึนเมา สิ่งยั่วยุกามารมณ์ โสเภณี สังคมที่ฟอนเฟะ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแต่บ้านเมืองใดโดยเฉพาะ หากแต่เกิดขึ้นทั่วไปในสังคมเมือง หรือแม้แต่ชุมชน หรือกระทั่งหมู่บ้านทั่วไปก็มีไม่น้อย ที่มีลักษณะเช่นนี้
- ด้านเศรษฐกิจ พวกเหล่านี้จะสร้างระบบเศรษฐกิจ การเงิน การคลังระหว่างประเทศ เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง บรรษัทข้ามชาติ ควบคุมกลไกตลาด ผูกขาดระบบการค้าระหว่างประเทศ เข้าแทรกแซงระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ เช่นการทุบค่าเงินหรือการทำลายค่าเงิน การปั่นหุ้น การทุ่มตลาดการค้าสร้างระบบการค้าปลีกขนาดยักษ์ เบียดบังการค้าท้องถิ่น บีบบังคับให้รัฐบาลเปิดเสรีทางการค้า หรือออกกฏหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อ บรรษัทข้ามชาติต่างๆ นอกจากนี้ ยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง การค้ายารักษาโรค ที่แอบใส่ส่วนผสมที่มีผลเสียต่อผู้คนระยะยาว เช่น ยาแอสไพริน ยาพาราเซตามอน หรือในอดีตเช่น สารDDTเป็นต้น หรือผลิตสารเคมีบางอย่างที่นำมาเป็นอาหารที่มีผลร้ายต่อสุขภาพร่างกาย เช่น สาร MSG ที่รู้จักในนาม ผงชูรส หรือ น้ำมันพืชบางชนิดเช่น น้ำมันถั่วเหลือง หรือ ใส่สารประเภทให้ความหวาน ที่มีผลเสียระยะยาว หรือ สารกันบูดทั้งหลาย เป็นต้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ได้มีผลเพียงด้านเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพของผู้คนด้วย
-ด้านการเมือง พวกเหล่านี้ จะอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงหรือ ความเป็นไปของระบบการเมืองทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ขัดแย้งทางการเมือง สงครามกลางเมือง สงครามระหว่างประเทศ แม้กระทั่งสงครามโลกทั้งสองครั้งที่ผ่านมา ก็มีพวกนี้อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น การปฏิวัติรัฐประหาร การใช้อำนาจบีบบังคับ หรือใช้อิทธิพลในการควบคุมรัฐบาลของชาติต่างๆ พวกมารเหล่านี้มักจะอยู่เบื้องหลัง การสนับสนุน ด้านอาวุธยุทธปัจจัยแก่กลุ่มต่างๆ ก่อให้เกิดการสู้รบกัน ดังที่เห็นในหลายๆ ภูมิภาคของโลก บางทีก็สร้าง บุคคลหรือองค์กรขึ้นมา แล้วใช้เป็นข้ออ้างในการปราบปรามแล้วเข้าไปมีอิทธิพลหรือ ผลประโยชน์ในประเทศดังกล่าว เช่นการอุปโลกข์หรือสร้างภาพกลุ่มก่อการร้ายขึ้น แล้วใช้เป็นข้ออ้างในการเข้าไปปราบปราม หรือมีอำนาจเหนือรัฐหรือ ประเทศนั้นๆ หรือบางทีก็สร้างข่าวสาร โฆษณาชวนเชื่อ เรื่องอาวุธร้ายแรงเช่นอาวุธนิวเคลียร์ หรืออาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ ว่าชาตินั้นชาตินี้ครอบครองอยู่ แล้วใช้เป็นข้ออ้างในการเข้าไปยีดครอง แล้วแต่งตั้งรัฐบาลตัวแทนของตน ในการรักษาและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากดินแดนนั้นมาสู่ตน
-ด้านวิทยาการ มารเหล่านี้มีอำนาจด้านความรู้และวิทยการสูงมาก เป็นเจ้าของทฤษฎี สถาบันวิจัยทั้งหลาย วิทยาศาสตร์ และวิทยาการส่วนใหญ่ในโลกปัจจุบัน ตกอยู่ภายใต้การควบคุม ของพวกนี้ทั้งสิ้น ซึ่งที่เห็นได้ชัดคือ
ด้านการแพทย์ พวกเหล่านี้ใช้วิทยการทางการแพทย์ ในการผลิต ยารักษาโรคต่างๆ ที่ส่งผลข้างเคียงต่อร่างกาย จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า เมื่อใดก็ตามที่เรารับการตรวจรักษาโรค แล้วจะมีโรคอื่นติดตามมา ซึ่งพวกเหล่านี้จะได้ประโยชน์จากการรักษาอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด จากการขายยารักษาโรค และเราจะพบว่า บริษัทที่ผลิตยาที่ส่งขายทั่วโลกมักจะเป็นกลุ่มเดียวกัน
และบางทีก็สร้างโรคบางอย่างขึ้นมา และผลิตยาเพื่อจัดจำหน่ายในราคาที่สูงลิ่ว ผลประโยชน์มหาศาลก็ตกเป็นของมารเหล่านี้ บางครั้งก็สร้างสถาการณ์โรคที่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก ไม่ว่าจะเป็นโรคที่เราได้เห็นการโฆษณาอยู่ เช่น โรคไข้หวัดนก โรคซาร์ โรคไข้หวัด2009 หรือแม้แต่โรคเอดส์ เป็นต้น เป็นที่น่าสังเกตุว่า เมื่อใดก็ตามที่ข่าวของโรคเหล่านี้เงียบหายลงไป ก็จะมีโรคใหม่ถูกประโคมขึ้นมา อีก อันที่จริงโรคต่างๆดังกล่าวเหล่านี้มีอยู่จริง และปรากฏจริง แต่เกิดจากการสร้างปรากฏการณ์ขึ้น ซึ่งเป็นโรคที่สร้างขึ้นมาจากห้องทดลอง และพวกเหล่านี้ก็เก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์จากการขายยา และการรักษาพยาบาล และจากงบประมาณในการป้องกันโรคโดยรัฐบาลต่างๆทั่วโลก
ด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ เราจะเห็นได้ว่า ชาติต่างๆที่กำลังโฆษณาว่าตนคือ ผู้รักษาสันติภาพของโลก ผดุงความยุติธรรมทั่วโลก คือชาติที่ได้รับผลประโยชน์จากการค้าอาวุธมาอย่างยาวนาน
ไม่ว่าจะเป็นค่าย คอมมิวนิสต์ หรือค่ายโลกเสรีก็ตาม
ทุกครั้งที่เกิดสงครามระหว่างประเทศ หรือแม้แต่ความขัดแย้งภายในประเทศ การก่อกบฏ การรัฐประหาร การเกิดสงครามกลางเมือง ชาติหรือองค์กรกลุ่มมารร้ายเหล่านี้ก็จะเข้าไปมีส่วนในการสร้างสถานการณ์ และเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์ มาตลอด
เราจะเห็นได้นับจากสงครามเกาหลี สงครามอินโดจีนได้แก่ ใน เวียดนาม ลาว กัมพูชา สงครามอ่าวเปอร์เซียรอบแรกคือ อีรัค-อิหร่าน และรอบที่สองคือ อีรัค-คูเวต หนุนกลุ่มกบฏในนิคารากัว สงครามกลางเมืองในเลบานอน สงครามในอัฟกานิสถานที่ต่อเนื่องยาวนาน สงครามกลางเมืองในอดีตยูโกสลาเวีย และการสนับสนุนสงครามกลางเมืองหลายๆประเทศในอัฟริกา และที่สุดก็คือสงครามกลางเมืองใน ซีเรีย แน่นอนที่สุด กลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้คือผู้อยู่เบื้องหลัง และเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์ จากการขายอาวุธ และเอาการสงครามเป็นสนามทดสอบอาวุธไปในตัวในเวลาเดียวกันด้วย
และที่สำคัญก็คือ กลุ่มเหล่านี้ ได้อยู่เบื้องหลังสงครามระดับโลก นั่นก็คือ สงครามโลกทั้งสองครั้งที่ผ่านมา โดยที่คนทั่วไปไม่อาจรู้ได้เลยว่า อันที่จริงสงครามโลกทั้งครั้งที่ หนึ่งและสองนั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างลอยๆ หากแต่มีกลุ่มหรือองกรบางองค์กรที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ ให้การสนันสนุน ทั้งสองฝ่ายให้ทำการสู้รบ โดยสนับสนุนให้รัฐบาลชาติต่างๆ ที่มีกรณีขัดแย้งในเรื่องเศรษฐกิจหรือ การครอบครองตลาด โดยมหาอำนาจเดิม ได้แก่ อังกฤษ และฝรั่งเศส ที่ครอบครองผูกขาดการค้าในชาติอาณานิคมของตน กับชาติอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งได้แก่ เยอรมัน และญี่ปุ่น ที่ไม่มีอาณานิคม และได้ถูกกีดกันทางการค้าจากการครอบครองอาณานิคม และในที่สุดชาติอุตสาหกรรมใหม่ ถูกกดดันทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ซึ่งมีทางออกเดียวนั่นก็คือ การก่อสงครามและครอบครองอาณานิคมของมหาอำนาจเดิม และการสงครามดังกล่าวซึ่งขยายตัวและดึงเอาชาติที่เป็นพันธมิตรของทั้งสองฝ่ายร่วมวงไพบูลย์ด้วย จนกลายสงครามระดับโลก หรือที่เรียกว่า สงครามโลก และเบื้องหลังก็คือการสนับสนุนทาง การเงินและยุทธปัจจัยแก่ทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นองค์กรหรือกลุ่มบุคคลที่ครอบครองระบบการเงิน การธนาคาร และเศรษฐกิจทั้งหลาย เมื่อเกิดสงคราม ย่อมมีการสูญเสีย ผลประโยชน์ที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้รับก็คือ การชดใช้จากชาติที่ปราชัยในสงครามหรือค่าปฏิกรรมสงคราม และการครอบงำทั้งทาง เศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร ส่วนชาติที่ได้รับชัยชนะก็ต้องจ่ายหนี้สินจากการกู้ยืมเพื่อทำสงครามเช่นกัน และในที่สุดอิทธิพลทั้งหลายของกลุ่มองค์กรดังกล่าว ก็สามารถเข้ามาครอบงำในชาติต่างๆดังกล่าวได้อย่างเบ็ดเสร็จ
บทสรุป ลักษณะและคุณสมบัติของ ซาตาน
ความหมายของ คำว่า ซาตานมาร้าย นั่นคือ สิ่งชั่วร้ายนั่นเอง ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของ ภูต ผี ปีศาจ อมนุษย์ทั้งหลาย หรือจะเป็น อารมณ์ นิสัย กิเลสตัณหา อันเป็น คุณสมบัติ ของคนเรา หรือจะเป็น ระบบ ระบอบ ทั้งหลาย ที่เป็นไป โดย การควบคุมกลไก จากบุคคลหรือกลุ่ม บุคคลที่ มีความชั่วร้ายในจิตใจ ก็ตาม หรือจะเป็น บุคคลหรือกลุ่มบุคคล ที่มีลักษณะ นิสัย การกระทำ พฤติกรรม ที่สร้างความเสียหาย เดือดร้อน แก่ผู้อื่น แม้แต่คุณสมบัติ ของสิ่งที่ให้โทษ เช่น เชื้อโรคทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่ เป็นลักษณะของสิ่งที่เรียกว่า “ซาตาน มารร้าย” ทั้งสิ้น
มนุษย์โดยทั่วไป น้อยคน นักที่จะรู้จัก ลักษณะ พฤติกรรม ผลงาน การสร้างความเสียหาย ที่เกิดจากสิ่งที่เรียกว่า ซาตานมารร้าย ทั้งในระดับบุคคลื จนถึงระดับประเทศ ระดับโลก
ตลอดเวลา ที่ผ่านมา ในอดีต มนุษย์ได้ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง ทำร้าย สร้างความเสียหาย โดยน้ำมือของ ซาตานมารร้าย อย่างนับไม่ถ้วน ในอดีตสิ่งที่เล่าขาน สืบต่อกันมา ซึ่งได้ปรากฏในรูปของ ตำนาน นิทาน ปรัชญา และศาสนา จะกล่าวถึงการต่อสู้ระหว่าง ฝ่าย ธรรมะ กับฝ่าย อธรรม มายาวนาน สมรภูมิ ที่ถูกกล่าวถึง ในอดีต มักจะเป็นไปในรูปแบบ ของการต่อสู้ รบราฆ่าฟัน ระหว่างฝ่าย ธรรมะ หรือเรียกอีกอย่างว่า ฝ่ายเทพ กับ ฝ่ายอธรรม หรือที่เรียกว่า ฝ่ายมาร และไม่ว่าการต่อสู้จะเป็นเช่นไร แต่ผลสุดท้าย ฝ่ายธรรมะ หรือ ฝ่ายเทพ จะได้รับชัยชนะเหนือฝ่าย อธรรม หรือ ฝ่ายมาร เสมอ
แต่จากเรื่องราว ต่างๆที่ได้ ถูกเสกสรร ปั้นแต่ง และเล่าสืบต่อกันมา เรามักจะมองว่า นั่นเป็นเพียงเรื่องเล่า หรือ นิทาน ที่ได้ประพันธ์ขึ้น เพื่อความบันเทิง หรือข้อคิด สติเตือนใจ ให้ผู้คนได้ตระหนักถึงการกระทำของตนที่ว่า ไม่ว่าการต่อสู้หรือความขัดแย้งใดๆก็ตาม ที่เกิดขึ้น หากเป็นการต่อสู้ระหว่าง ความถูกต้องชอบธรรม กับ ความชั่วร้าย หรือความอยุติธรรม แล้ว ลักษณะที่กล่าวขานอันนั้นล้วนแล้วแต่ หมายถึง การต่อสู้ระหว่าง ธรรมะหรือความดี กับ อธรรม หรือความชั่วทั้งสิ้น
ในโลกของความเป็นจริง ความหมายของคำว่า ซาตานมารร้าย หรือ ฝ่ายอธรรมนั้น มันซับซ้อนแยบยล กว่าเรื่องที่เล่ากันในนิทาน มากนัก และสมรภูมิของการต่อสู้ไม่ได้ปรากฏเป็นรูปธรรม ที่ชัดเจนเท่าใด หากแต่การต่อสู้นั้น มัน ซ่อนเร้น อยู่ภายในสังคม ภายในบุคคล ภายในจิตใจของคน หากไม่พินิจพิจารณาเราไม่อาจรู้ได้เลยว่า การล่อลวงของ ซาตานและการต่อสู้ระหว่างตัวเรากับ ซาตานมารร้ายนั้น ปรากฏ อยู่ตลอดเวลา เพราะมันอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่เว้นแม้แต่ ในจิตใจของเราเอง
ลักษณะของซาตาน ในรูปแบบต่างๆที่ได้กล่าวมา ข้างต้น พอจำแนกให้เห็นเป็นพวกๆ พอสรุปได้ก็คือ
1 ซาตานที่อยู่ในจำพวก ภูตผี ปีศาจ หรือ อมนุษย์ทั้งหลาย ที่แสดงตนเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ผู้คนเคารพ บูชา ในรูปแบบของ เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าพ่อ เจ้าแม่ หรือที่เรียกว่า เป็นองค์เทพทั้งหลายที่แสดง อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ และรวมไปถึง เรื่องของเวทย์มนตร์ คาถาคม เครื่องรางของขลัง หรือของวิเศษทั้งหลาย
2 ซาตานที่อยู่ในจิตใจของเราเอง อันได้แก่ จิตฝ่ายต่ำ หรือจิตด้านมืด หรือ คุณลักษณะนิสัยที่ชั่วร้ายที่แอบแฝงอยู่ ในจิตใจของเรา อาทิเช่น กิเลสตัณหา ราคะทั้งหลาย หรือจิตใจที่ เหี้ยมโหด อำมหิต อิจฉาริษยา ยโสโอหัง โป้ปดมดเท็จ ทุจริตฉ้อโกงทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่เป็น ซาตานมารร้ายทั้งสิ้น
3 ซาตานที่อยู่ในรูปของ ระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
ระบบความเชื่อ อันได้แก่ ลัทธิ นิกาย ศาสนา ปรัชญา ที่แฝงเร้นไปด้วย คำสอน ความเชื่อ ความศรัทธา พิธีกรรม ที่หลอกลวงผู้คน ให้จมอยู่ กับความโง่งมงาย ชีวิตที่จมอยู่กับความเชื่อ ที่มองไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ ไม่มีเหตุผล ตรรกะที่สอดคล้องกับปัญญา ที่พอจะพิจารณายอมรับได้ว่า เป็นสัจจะหรือความจริง ที่เป็น ธรรมะ ซึ่งความเชื่อหรือ คำสอนในลัทธิทั่วไปไม่น้อยที่ สอนให้จิตใจ โหดเหี้ยม อำมหิต หรือพิธีกรรมที่น่า หวาดเสียว สยดสยอง ซึ่งคำสอนหรือพิธีกรรมเหล่านั้นไม่อาจจะหาที่มาที่ไปได้อย่าง ชัดเจน หากแต่เกิดขึ้นโดยไม่รู้เส้นสายปลายเหตุ แต่กลับมาสอน และปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน
ระบบการศึกษา ที่สอนอย่างฝังหัว หรือ ล้างสมอง อัดฉีดความคิด แบบสุดโต่ง คลั่งไคลั ในชาติพันธุ์ ในรัฐ หรือ ตัวผู้นำ หรือ ตัวบุคคล โดยไม่ได้สอนให้อยู่กับความเป็นจริง หรือไม่ได้สอนในเรื่องของศีลธรรม ที่พึงมีในคนทุกคนไม่ว่าจะนับถือ ศาสนาใดๆ หรือไม่ก็ตาม
ระบบเศรษฐกิจ ที่ผูกขาด หลอกลวง ฉ้อโกง หมกเม็ด ขูดรีด หรือ ปลอมปน สารพิษ สารเคมีให้โทษทั้งหลาย ผลิตสิ่งมอมเมา อบายมุข ได้แก่การผลิต เสพติดให้โทษทั้งหลาย สถานบันเทิง การพนันทั้งที่ถูกและผิดกฏหมาย
ระบบการเมืองการปกครอง ที่เต็มไปด้วย การโป้ปดมดเท็จ การตัดสิน อย่างลำเอียงไร้ความยุติธรรม การทุจริตในหน้าที่ การได้อำนาจมาโดยการแย่งชิง ยึดอำนาจ รัฐประหาร ใช้เล่ห์เพทุบาย ตักตวง กอบโกยผลประโยชน์ โดยทุจริต
รูปแบบ วิถีชีวิต ในสังคม ที่เต็มไปด้วย สิ่งบันเทิง สิ่งไร้สาระ อบายมุข การฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย แข่งขัน ประชัน โอ้อวด งมงายในสิ่งไร้เหตุผล กราบไหว้บูชาวัตถุ ซึ่งเป็นรูปแบบที่ผู้คนในสังคม ปฏิบัติกันเป็นเรื่องปกติ โดยไม่รู้เลย ว่า พฤติกรรมเหล่านั้นคือ แนวทางที่จะนำไปสู่วิถีชีวิตเสียหาย หรือหายนะในวันข้างหน้า แต่เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมปฏิบัติกัน จึงไม่ได้เอะใจว่า วิถีชีวิตเช่นนี้ คือแนวทางแห่งความเสียหายล่มจมในอนาคต
4 ซาตานที่เป็นบุคคล หรือ กลุ่มบุคคล คือ บุคคล หรือกลุ่มบุคคล ที่มีลักษณะ พฤติกรรม ผลงาน ที่มีความเลวร้าย เป็นพิษเป็นภัย ให้โทษแก่คนทั้งหลาย ตั้งแต่ระดับต่ำๆไปถึงระดับสูง ซึ่งได้แก่
ระดับคนธรรมดา หรือในวงแคบๆ ได้แก่ นักเลงอันธพาล มิจฉาชีพ แก๊งต้มตุ๋น โจรลักเล็กขโมยน้อย หรือ ผู้คนที่สร้างความรำคาญ ในระดับแคบๆ
ระดับท้องถิ่น อันได้แก่ ผู้มีอิทธิพล เจ้าพ่อมาเฟีย สร้างสิ่งเลวร้าย อำนาจมืด ในท้องถิ่น ทำธุรกิจใต้ดิน หรือธุรกิจ อบายมุขทั้งหลาย
ระดับประเทศ ได้แก่ ผู้มีอำนาจบารมี อิทธิพล ที่สามารถควบคุม กลไกทั้งหลายของรัฐ ควบคุมระบบเศรษฐกิจ การเมือง สื่อ การศึกษา และมวลชน ให้อยู่ภายใต้อิทธิพล อำนาจ ของตนได้ ทั้งที่เป็นบุคคล หรือ กลุ่มบุคคล ในนามกลุ่มทุน กลุ่มผู้มีอำนาจ เหนือการเมืองการปกครอง และระบบเศรษฐกิจระดับประเทศ รวมทั้งอยู่เบื้องหลังของการรับผลประโยชน์จากการทุจริต การรีดไถ จากผู้คนทั่วไปจนถึงจากกิจการทั้งหลาย
ระดับโลก ได้แก่ บุคคล หรือกลุ่มบุคคล ที่มีอำนาจควบคุม ระบบต่างๆ ระดับโลก อันได้แก่ สื่อสารมวลชนระดับโลก องค์กรระหว่างประเทศ ควบคุมระบบการเงิน การผลิต การตลาด กลไกทางธุรกิจของโลก ควบคุมระบบการเมืองการปกครอง ของประเทศต่างๆในรูปแบบของ การสร้างรฐบาลหุ่นเชิดขึ้น เข้าแทรกแซง กิจการภายในของประเทศต่างๆ หรือสนับสนุนองค์กร ที่ต่อต้านรัฐบาลที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับตน หรือกลุ่มกบฏล้มรัฐบาลที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งของตน ด้วยข้ออ้างต่างๆแล้วตั้งพลพรรคของตนเข้าดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารในประเทศนั้นๆ หรือสนับสนุนพรรคการเมืองให้เข้ามามีอำนาจแล้วชักใยอยู่เบื้องหลังให้รัฐบาลหุ่นของตนสนองความต้องการตามที่ตนบงการ ควบคุมระบบความคิด ความเชื่อทฤษฎี คำสอน ในแนวทางต่างๆ ที่สร้างความหลงผิดงมงาย สำหรับผู้ที่แสวงหาหรือให้ความสำคัญต่อระบอบความเชื่อ ในแนวทางแบบลัทธิ นิกาย โดยผ่านองค์กร ลัทธิทั้งหลาย หรือผ่านระบบการศึกษา สถาบันการศึกษา ควบคุมองค์กรที่เปิดเผย องค์กรอาหารและยา หรือองค์การการแพทย์ ระหว่างประเทศ กองกำลังทางทหารทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ หรือองค์กรการเมืองระหว่างประเทศ หรือ การองค์ที่ไม่เปิดเผย เช่นการก่อการร้าย การก่อวินาศกรรม ด้วยอาวุธสมัยใหม่ เช่นอาวุธชีวภาพ , อาวุธควบคุมสภาพแวดล้อม อยู่เบื้องหลังธุรกิจอบายมุข การค้าสิ่งเสพติด มอมเมาระดับโลก ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็น ซาตานมารร้ายทั้งสิ้น ผู้คนทั้งหลาย ทั่วไป ต้องตกอยู่ภายใต้การครอบงำ โดยสิ่งที่เรียกว่า ซาตานมารร้ายมาโดยตลอด ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ไหน อำนาจอิทธิพลของเหล่ามารร้าย ก็สามารถครอบงำชีวิต วิธีคิด ความเชื่อ ของคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ได้ตลอด จากอดีตหลายร้อยปีจน ถึงปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วย ระบบต่างๆที่ครอบคุมวิถีชีวิต ของผู้คนโดยเฉพาะเขตที่มีความเจริญ จะถูกอิทธิพลของมารร้ายยุคใหม่เข้าควบคุม โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ผลของการถูกครอบงำ และควบคุมโดยอิทธิพลของซาตานมารร้ายที่ปรากฏแก่ผู้คนทั่วไปก็คือ สภาพจิตที่แท้จริง ที่ดำรงชีวิตอยู่ในแต่ละวัน จะอยู่ในรูปแบบที่ เป็นทุกข์ เดือดร้อน กดดัน ทรมานจิตใจ โดยไม่อาจหลบหลีกไปได้ แม้จะดูจากภายนอกว่า อยู่บนความเจริญ ก้าวหน้าของวิทยาการและระบบสมัยใหม่ และมีความมั่งคั่งมากน้อยเพียงใด ก็ตาม โลกในปัจจุบัน จึงเป็นโลกที่อยู่ในยุคที่เรียกว่า “ยุคมารครองโลก” แล้วก็ว่าได้ เราจะเห็นได้ว่า
-แม้ว่า วิทยาศาสตร์ วิทยาการและระบบการศึกษาก้าวหน้าสักเพียงใด แต่เรายังเห็นผู้คน ยังคงเคารพกราบไหว้บูชาวัตถุ รูปเคารพ เห็นการทำนาย ดูดวง ดูโชคชะตา เชื่อสิ่งงมงายปรากฏให้เห็นต่อหน้า และจากสื่อต่างๆ ทั้งที่สื่อเหล่านั้นเป็นผลงานจากวิทยาศาสตร์และวิทยาการขั้นสูง หรือ ไฮเทคโนโลยี
-แม้ว่าหลักคำสอนของแต่ละศาสนาจะ ดีเลิศเพียงใด แต่เราก็จะเห็นได้ว่า คำสอนของศาสนาทั้งหลายไม่อาจจะทำให้บุคคลที่อยู่ในศาสนา หรือผู้นำองค์กร หรือนักบวชในศาสนานั้นๆ ประพฤติ ปฏิบัติตามหลักคำสอนอันเป็นแก่นแท้ของศาสนานั้นได้อย่างดี พอ ขณะที่ศาสนาสอนให้อยู่อย่างสำรวม ละวางจากโลกวัตถุ หากแต่เราจะพบว่า ผู้คนที่ถือศาสนานั้นๆกลับเต็มไปด้วย ความโลภ ความอยาก การสะสมทรัพย์ การโอ้อวด ในความหรูหรามั่งคั่ง ไม่เว้นแม้แต่ นักบวชที่น่าจะเป็นแบบอย่างอันดีในเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ศาสนานั้นๆจะสอนในเรื่องของความโลภ การแข่งขันหรือการสะสมวัตถุ หรือ งมงาย หากแต่ อิทธิพลของมารซาตานของยุคปัจจุบัน ได้เข้าครอบงำผู้คนไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่อ้างว่าตนนับถือศาสนา หรือนักบวชก็ตาม
-ในขณะศาสนาสอนให้มีความรัก มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สอนให้มีความเมตตากรุณา ให้อภัย และสร้างสันติภาพ แต่ศาสนาที่อ้างว่า คำสอนของตนสอนให้รักสันติ อยู่ในโลกอย่างสันติสุขแต่กลับกลายเป็นว่า คำสอนในศาสนาหรือลัทธิตน ส่งเสริมความขัดแย้ง แย่งชิงมวลชน วิวาทรบราฆ่าฟันระหว่างลัทธินิกาย บางทีถึงขนาดสร้างความอาฆาตมาดร้าย โหดเหี้ยมอำมหิต ทั้งกับคนต่างศาสนาหรือแม้แต่ในศาสนาเดียวกัน หากแต่ต่างนิกาย หรือต่างความคิด ก็ไม่เว้น ซึ่งพร้อมที่จะฆ่าฟันทำร้ายกัน โดยไม่คำนึงถึงความเมตตากรุณา ที่ควรมีต่อมนุษย์หรือเพื่อนร่วมโลกที่ศาสนาของตน ได้สอน และตนเองก็นำมาอ้างอยู่เสมอก็ตาม
-ในขณะที่ศาสนาของตน และคำอ้างที่ว่า ศาสนาตนเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาแห่งวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่อสิ่งใดอย่างงมงาย แต่เมื่อหันไปมองในศาสนสถานทั้งหลายกลับพบว่า ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ หรือบุคลากรในศาสนาแต็มไปด้วย การเคารพบูชาวัตถุ กราบไหว้และขอความช่วยเหลือบนบานศาลกล่าว จากวัตถุ ซึ่งตนและศาสนาของตนอ้างอยู่เสมอว่าเป็นศาสนาที่สอนให้ผู้คนมีปัญญา ไม่โง่งมงายอยู่กับวัตถุมงคล สิ่งไร้เหตุผล
-แม้ว่าระบบเศรษฐกิจ ได้พัฒนาไปไกลสุดกู่ ของหลายประเทศในโลก ไม่ว่าจะเป็นชาติตะวันตกหรือตะวันออก แต่เราจะพบ่วา ประชาชนส่วนใหญ่ กลับตกอยู่ในสภาพ ทุกข์ทรมานจากความกดดัน ของระบบเศรษฐกิจที่ต้องทำงานภายใต้ระบบทุน ต้องต่อสู้กับค่าครองชีพที่สูงลิ่ว และการเก็บภาษีอย่างหนัก ซึ่งจะมีผู้คนจำนวนน้อยเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ และความสุขสบายจากระบบดังกล่าว แต่ผู้คนส่วนใหญ่ ต้องต่อสู้กับระบบการผ่อนจ่าย ทั้งเรื่องของปัจจัยยังชีพ ที่อยู่อาศัย ยานพาหนะ เครื่องใช้ไม้สอย ภาระการศึกษาของบุตร ค่าครองชีพอื่นๆ เช่นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก้สค่าโทรศัพท์ ค่าอาหาร ค่าเชื้อเพลิงยานพาหนะ ค่าอาหาร หรืออื่นๆ อีกมาก ในขณะเดียวกัน ระบบเศรษฐกิจดังกล่าว ไม่ได้มีหลักประกันต่อชนส่วนใหญ่ ว่า รายได้ที่ได้รับจะพอเพียงต่อภาระค่าครองชีพดังกล่าวเพียงใด ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ หากแต่หมายถึง ประเทศทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าพัฒนาแล้ว หรือกำลังพัฒนาก็ตาม
-ในขณะที่การพัฒนาด้านสื่อสารมวลชน ได้พัฒนาก้าวหน้าไปมาก ตั้งแต่ ระบบทีวีขาวดำ สู่ทีวีสี จากระบบอนาล็อก สู่ ดิจิตอล แต่เราจะเห็นได้ว่า สื่อสารมวลชนหลักส่วนใหญ่ กลับตกอยู่ภายใต้ระบบผลประโยชน์จากการขายสิ่งบันเทิง ไม่ว่จะเป็น ดนตรี รายการตลก เกมส์โชว์ ละคร ซึ่งส่วนใหญ่ ล้วนแล้วแต่เป็นการเสนอในสิ่งที่ไร้สาระ ไม่เพียงแต่สูญเสีย ทรัพยากรณ์ของการเผยแพร่ คลื่นวิทยุ งบการลงทุนทั้งจากเอกชนหรือภาครัฐเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการสร้างความสูญเสีย ทรัพยากรณ์เวลาของผู้ที่เป็นผู้ชมด้วย นอกเหนือจากเวลาแล้ว ผลพวงที่ได้รับจากนั้นก็คือ การเพาะบ่มนิสัยที่เลวร้ายจากตัวอย่างในละคร ที่มุ่งเน้นอยู่แต่เรื่อง รักๆไคร่ๆ ตบตี ด่าทอ ทะเลาะแย่งชิง แบบอย่างชีวิตในนิยายที่ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งเป็นการสร้างมโนคติ ให้กับผู้คน โดยเฉพาะเยาวชน ให้จมอยู่ในโลกแห่งความเพ้อฝัน หลงไหลคลั่งไคล้สมัยนิยมที่ไร้แก่นสาร ผลสุดท้าย กระบวนการของสื่อหลักส่วนใหญ่แทนที่จะ นำพาผู้คนไปสู่การพัฒนาชีวิตให้คุ้มกับการลงทุน และความก้าวหน้าทางวิทยาการ กลับกลายเป็นการสร้างความเสื่อมเสียทางจิตใจ มโนคติ และโลกทัศน์ แก่ผู้คนในวงกว้าง ทั้งปรากฏในปัจจุบัน และส่งผลถึงอนาคตอีกยาวไกล เนื่องจากการปลูกฝังที่มีต่อ เยาวชน ทีจะเติบโตขึ้นต่อไปในอนาคต
จะเห็นได้ว่า ระบบ รูปแบบ ปรากฏการณ์ ของซาตานมารร้าย ที่กล่าวถึงมีผลต่อชีวิต ของผู้คนทั่วไปมากมาย ไม่ว่า เราจะหันไปทางไหน จะทำอะไร จะทำงาน จะเดินทาง เสียภาษี พักผ่อนอยู่กับบ้าน แสวงหาบุญกุศล หรือกิจกรรมใดๆ ในชีวิตเ เราไม่อาจหลีกเลี่ยง กระบวนการของการครอบงำ ของปรากฏการณ์จากสิ่งที่เรียกว่า “ซาตาน มารร้าย” ได้เลย แม้เราจะรู้ตัว หรือไม่ก็ตาม และที่สำคัญ คือ จะมีสักกี่คนที่สามารถ รู้ได้ว่า ตนกำลังตกเป็นเหยื่อของกระบวนการ ของซาตานที่ได้ครอบงำโลกของเราอยู่ทุกวันนี้
และตราบใดที่ ประชาชนพลโลกไม่อาจจะรู้ทันของกระบวนการทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าว ผู้คนทั้งหลาย ก็ย่อมตกอยู่ในสภาพทุกขเวทนา ไม่อาจหลุดพ้นจากบ่วงพันธนาการ แห่งชีวิต ที่จมอยู่ในห้วงเหวแห่งปัญหา ทั้งเศรษฐกิจการดำรงชีพ ปัญหาสังคม ภยันตรายจากมิจฉาชีพ สิ่งเสพติดที่กำลังครอบคุมทุกหย่อมหญ้า และอบายมุขอื่น เช่น การพนันทั้งที่ถูก และผิดกฏหมาย สิ่งมึนเมา สิ่งยั่วยุกามารมณ์ และมีผลกระทบต่อเยาวชน และพฤติกรรมเลียนแบบ เช่น การเบี่ยงเบนทางเพศ ซึ่งเราไม่อาจรู้ได้เลยว่า จะส่งผลร้ายกระทบต่อสังคมโดยรวมในอนาคตอย่างมหันต์
เราจึงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงจากการครอบงำ การหลอกลวงและการทำร้ายจากเหล่าซาตานมารร้ายได้เลย หนทางเดียวที่เราจะต่อสู้กับมันได้ก็คือ
เราต้องเผยแพร่บอกกล่าว แก่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกของเรา ไม่ว่า เผ่า ภาษา หรือศาสนาใดก็ตาม ให้พวกรู้ให้ได้ว่า เบื้องหลังของปัญหาและความทุกข์ของเหล่ามวลมนุษยชาตินั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างบังเอิญ หากแต่เกิดจากแผนการณ์ทำลายล้าง หลอกลวงและกดผู้คนให้ตกเป็นทาสของซาตานเหล่านี้ อย่างยาวนาน เราต้องเปิดเผยเบื้องหลังและธาตุแท้ของพวกมัน โดยการบอกต่อให้ผู้อื่น เพื่อน ญาติ พี่น้องร่วมโลกได้รู้ทัน และป้องกันตัวจากการทำลายชีวิตของเรา นั่นคือทางเดียวที่เราจะสู้กับมันได้ หาไม่แล้ว เราอาจจะต้องตกอยู่ภายใต้การครอบงำของเหล่าซาตานมารร้ายเช่นนี้ตลอดไป
ขอพระเจ้าทรงโปรด เมตตากรุณา และให้อภัยในความผิดบาปของพี่น้องของข้าพเจ้าจากการตกเป็นเหยื่อของการล่อลวง จากซาตานมารร้ายเหล่านี้ด้วยเถิด
ที่มา http://newwisdomsociety2.blogspot.com/2014/08/blog-post_37.html
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
โปรดใช้วิจารณญานในการแสดงความคิดเห็น