จีนฮ่อคู่อริตำรวจเชียงใหม่ กลุ่มอิทธิพลหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่

จีนฮ่อคู่อริตำรวจเชียงใหม่ กลุ่มอิทธิพลหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่    

ย้อนเหตุการณ์ที่เชียงใหม่(๑๖)

         เมื่อ ๕๓ ปีที่ผ่านมา นสพ.คนเมือง ฉบับวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๔๙๖ ลงข่าวปัญหาสังคมหนึ่งของสังคมเมืองเชียงใหม่ คือปัญหาเรื่องจีนฮ่อ           "ผู้กำกับจะกวาดล้างจีนฮ่อให้ราบคาบ ตั้งแต่วันที่ ๑๐ นี้(กรกฎาคม ๒๔๙๖) จะไม่มีฮ่อเพ่นพ่านในอำเภอเมือง"        

         "พ.ต.ท.ศิริ คชหิรัญ ผู้กำกับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ กล่าวต่อไปว่า ทางการทราบดีว่า บุคคลเหล่านี้ค้าฝิ่นเถื่อน แต่ไม่มีหลักฐานที่จะจับกุมได้ โดยเฉพาะไม่สามารถคอยติดตามสอดส่องดูพฤติการณ์ของบุคคลเหล่านี้ได้ทุกฝีก้าว ยิ่งกว่านั้น จีนฮ่อเหล่านี้มักจะคุกคาม สวัสดิภาพของประชาชน ไม่เกรงกลัวกฎหมายของบ้านเมือง ฆ่าตำรวจ ทารุณชาวบ้านอย่างอาจหาญและจีนฮ่อบางคนในอำเภอเมืองนี้ทำหน้าที่เปนพลาธิการ ส่งอาหาร อาวุธไปให้พรรคพวกของตนที่ค้าฝิ่นอยู่ตามป่าตามเขา ในท้องที่บางแห่งในอำเภอรอบนอก       

         "โดยเหตุดังกล่าวนี้ พ.ต.ท.ศิริ ย้ำว่าจะปราบปรามกวาดล้างให้หมดสิ้น มิฉะนั้น เชียงใหม่ก็จะกลายเป็นเมืองฮ่อไป คุณคอยดู ผู้กำกับว่า ตั้งแต่วันที่ ๑ เดือนนี้เปนต้นไปจะไม่เห็นจีนฮ่อมาเดินเพ่นพ่านในเขตอำเภอเมืองเหมือนแต่ ก่อน"       

         น่าศึกษาว่ากลุ่มฮ่อ คือ ใครกัน เหตุใดจึงมาเดินเพ่นพ่านอยู่ในเมืองเชียงใหม่และ เหตุใดจึงถูกห้ามมิให้เดินในเมืองเชียงใหม่ ?         

         กลุ่ม ฮ่อหรือจีนฮ่อ เดิมอยู่ในประเทศจีน มีข้อมูลว่า เมื่อจีนปกครองโดยระบบคอมมิวนิสต์ได้มีการสู้รบกันระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย ที่นำโดยนายพลเจียงไคเช็คและฝ่ายคอมมิวนิสต์ หลังจากพ่ายแพ้อย่างยับเยินแก่จีนฝ่ายคอมมิวนิสต์ ทำให้นายพลเจียงไคเช็คหนีไปอยู่เกาะไต้หวันตั้งเป็นจีนคณะชาติ แต่ก็ยังมีกองทหารอีกส่วนหนึ่งหลบลงมาทางใต้ของประเทศจีน คือ ทหารกองพล ๙๓ จากเมืองคุนหมิน เมืองหลวงของมณฑลยูนนานหลบหนีลงมาทางตอนใต้เขตติดต่อประเทศพม่า เป็นเหตุการณ์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๙ หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไม่นาน                 ต่อ มารัฐบาลจีนไต้หวันได้ให้ความช่วยเหลือด้านเงินและอาวุธยุทธภัณฑ์อีกทั้งส่ง ผู้นำ คือขุนพลหลี่มี่ อดีตแม่ทัพที่ ๘ ของกองทัพบกจีนและเป็นผู้มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือของคนจีนมณฑลยูนนาน มาเป็นผู้บังคับบัญชา ทั้งนี้เพื่อเตรียมเสริมสร้างกำลังกองทัพจีนกู้ชาติขึ้นใหม่ ทั้งนี้รายได้ส่วนหนึ่งของกองพล ๙๓ ขณะตั้งฐานอยู่ในเขตประเทศพม่า คือ การเก็บภาษาสินค้าที่ผ่านเส้นทางโดยเฉพาะภาษีฝิ่นเก็บจ๊อยละ ๔ รูปีทั้งขาเข้าและขาออก        

         ครั้งนั้นมีพ่อค้าจีนฮ่อที่มีอิทธิพลด้าน การค้าฝิ่นอีกทั้งเป็นนายหน้าค้าขายฝิ่นนำเงินมาช่วยเหลือกองทัพจนทำให้ รัฐบาลจีนคณะชาติเชิญไปพบที่ไต้หวันและแต่งตั้งให้เป็นายพลพิเศษของกองพล ๙๓ ทำให้กองพล ๙๓ มีกำลังคนและอาวุธเข้มแข็งยิ่งขึ้น    

     

         ปี พ.ศ.๒๔๙๒ กองพล ๙๓ ได้ตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่เมืองสาด รัฐฉาน เขตประเทศพม่ามีกำลังทหารจำนวน ๑,๓๐๐ คน เมื่อรวบรวมกำลังพลมีกำลังเข้มแข็งขึ้นได้ยกเข้าไปยึดบางส่วนของมณฑลยูนนาน เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๔๙๔ แต่ภายหลังถูกกองทัพจีนตีถอนร่นลงมาอีก ระหว่างอยู่ในประเทศพม่าก็ถูกกองทัพพม่าโจมตีจนต้องถอยร่นลงมาทางเขตติดต่อ ชายแดนประเทศไทย       

         เมื่อหลบมาอยู่ในพื้นที่เขตประเทศพม่า ข้อมูลจากฝ่ายพม่าแจ้งว่ากองพล ๙๓ ได้ก่อความเดือดร้อนทำให้ประเทศพม่าโดยเข้าปล้นฆ่าคนในรัฐฉานและค้ายาเสพติด ยากแก่การปราบปรามได้ง่าย นอกเหนือจากการนำกำลังเข้าปราบปรามกองพล ๙๓ อย่างหนักแล้วทางรัฐบาลพม่าได้ฟ้องไปยังสหประชาชาติอีกทางหนึ่ง สหประชาชาติได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อแก้ไขปัญหาประกอบด้วย ฝ่ายอเมริกาและฝ่ายไทย ซึ่งมี พ.ท.ชาติชาย ชุณหวัณ(ยศขณะนั้น)เป็นตัวแทนฝ่ายไทย และได้มีมติให้ทำการขนย้ายทหารจีนกองพล ๙๓ เหล่านี้ออกจากพม่าส่งไปยังไต้หวัน ฝ่ายรัฐบาลไทยมี พันเอกนายวรการบัญชา รองนายกรัฐมนตรี , พลโทสฤษดิ์ ธนรัชต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม , พลโทบัญญัติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย , นายวิลเลี่ยม โดโนแวน เอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย      


         ตาม แผนกำหนดการ ทหารกองพล ๙๓ จะเข้ามอบตัวที่บ้านห้วยศาลา เขตประเทศพม่าในวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๖ มีทหารเข้ามอบตัวในครั้งนั้นประมาณ ๖๐๐ คน แต่ส่วนใหญ่เป็นทหารที่มีอายุมากและเด็กอายุ ๑๒-๑๓ ปี(ข้อมูลจากบทความรายงานพิเศษโดยคุณบุญเสริม สาตราภัย,พลเมืองเหนือ ฉบับ ๑๘-๒๔ ธ.ค.๒๕๔๙)

         แม้ว่ากำลังทหารบางส่วนจะถูกส่งกลับประเทศไต้หวันแล้ว แต่กองทัพจีนกู้ชาติยังคงมีการก่อตั้งกองทัพต่อไปโดยรัฐบาลไต้หวันและมี สหรัฐอเมริกาสนับสนุนอีกทางหนึ่ง กองบัญชาการอยู่ที่เมืองเชียงลับ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นเชียงตุง มีกำลังประมาณ ๒๐,๐๐๐ คน นายพลหลี่เป็นแม่ทัพที่ ๓ และนายพลต้วน เป็นแม่ทัพที่ ๕    

         ต้นปี พ.ศ.๒๔๙๘ ทางรัฐบาลพม่าได้ยื่นคำขาดให้ฝ่ายทหารจีนคณะชาติถอนกำลังออกจากแผ่นดินพม่า แต่ถูกปฏิเสธ กองทัพพม่าจึงเข้าโจมตี ณ เมืองสาด ซึ่งผู้คนพื้นเมืองส่วนใหญ่เป็นไทยใหญ่หรือเงี้ยว การถูกโจมตีทางอากาศโดยการทิ้งระเบิดและถูกกดดันจากทหารราบทำให้กองทหารจีน คณะชาติต้องย้ายฐานกำลังมายังเมืองหาง ทางใต้ของเมืองสาด กองทัพพม่ายังคงนำกำลังมาขับไล่อย่างต่อเนื่องทำให้กองทหารจีนคณะชาติ เคลื่อนกำลังมาตั้งฐานอยู่ที่บ้านดอยลาง ระยะนั้นนายพลหลี่มี่ถูกเรียกตัวกลับไต้หวัน ผู้ที่เป็นผู้นำทหารแทน คือ นายพลต่วนและนายพลลี          ดอยลางนี้เป็นยอดเขาอยู่ในเขตพม่า ติดต่อกับชายแดนอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ การต่อสู้กับกองทหารพม่าต้องประสบความพ่ายแพ้อีกครั้งหนึ่งสูญเสียกำลังไป เป็นจำนวนมาก ทหารส่วนที่เหลือมุ่งสู่ดอยตุง พื้นที่ในเขตพม่า อยู่ด้านตะวันตกของอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ชุมชนส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าอีก้อ        

         ต่อมาประเทศพม่าได้ร้องเรียนไปยัง องค์การสหประชาชาติอีกเป็นครั้งที่สอง และมีการอพยพขนย้ายทหารจีนคณะชาติกลับไต้หวันอีกในปี พ.ศ.๒๕๐๔ มีทหารอพยพประมาณ ๔,๕๐๐ คน ทหารจีนกู้ชาติของนายพลหลี่ มี่ และนายพลต้วนที่เหลือได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทย เป็นการสิ้นสุดทหารจีนคณะชาติในประเทศพม่านับแต่นั้น       

         ในเขตประเทศไทย กองทัพที่ ๕ ของนายพลต้วน ตั้งกองบัญชาการที่บ้านหัวเมืองงาม อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของดอยแม่สะลองมาประมาณ ๕ ก.ม. ต่อมาเกิดโรคระบาดจึงได้ย้ายไปที่ดอยแม่สะลอง เขตอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย    

         ส่วนกองทัพที่ ๓ ของนายพลหลี่ มี่พร้อมด้วยนายพลหลิ่ว เสา ถัง อพยพมาตั้งอยู่ที่ดอยผาหม่น ตั้งอยู่ที่บ้านผาตั้ง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงรายและอีกส่วนหนึ่งแยกไปที่ดอย อ่างขาง ที่บ้านผาแดง บ้านซุ่ยถง บ้านหลวง และบ้านท่าตอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่        

         นอกจากนี้หน่วยที่เคยปฏิบัติการการข่าวของไต้หวันนำโดยนายพลหม่า จุง กั๊วะ มาตั้งอยู่ที่ดอยแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่             ต่อ มาปี พ.ศ.๒๕๐๖ รัฐบาลไทยต้องการควบคุมจึงให้ทหารจีนบนดอยผาหม่นไปรวมอยู่ที่บ้านถ้ำง๊อบ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่(ข้อมูลจากหนังสือกองพล ๙๓ ผู้อพยพ อดีตทหารจีนคณะชาติบนดอยผาตั้ง,พันเอกกาญจนะ ประกาศวุฒิสาร,๒๕๓๗และบทความจากนิตยสารคนเมืองรายเดือน,มีนาคม ๒๔๙๘, เรื่องกองพลเดนตาย)       

         นอกจากนี้ จากเอกสารที่นายพลหลี่ เหวิน ฝานหรือนายพลหลี่ ชื่อไทยคือ นายชัย ชัยศิริ จัดทำเผยแพร่แจกจ่ายคณะกรรมาธิการการต่างประเทศเมื่อกลางปี พ.ศ.๒๕๑๘ แม้ข้อความบางส่วนอาจถูกต้องตรงตามความจริง แต่บางส่วนของข้อความทำให้เห็นความเป็นมาของจีนฮ่อในเมืองเชียงใหม่ได้ กระจ่างมากขึ้น เอกสารดังกล่าวระบุว่า       

         "บุคคลทั่วไปมักจะเข้าใจ ว่าพวกข้าพเจ้าเป็น กองพล ๙๓ อันที่แจ้งแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะกองพล ๙๓ นั้น สังกัดกองทัพภาคที่ ๖ ของจีนสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยในขณะนั้นปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่า หลังจากเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้ว กองพลที่ ๙๓ ถูกถอนกลับจีน แต่ก็ยังมีทหารกลุ่มน้อยหลงเหลืออยู่บ้าง          

         "พวกข้าพเจ้านั้นเป็น ชาวนาชาวไร่ที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนของจีนได้ถูกรุกรานจากพรรคคอมมิวนิสต์ จีน เพื่อความอยู่รอดและรักอิสระเสรี พวกข้าพเจ้าจึงได้อพยพออกนอกประเทศและมีทหารที่หลงเหลือจากกองพล ๙๓ ภายใต้การนำของนายพลหลี่ มี่ ได้ชักชวนพวกข้าพเจ้าให้บุกคืนไปยังบ้านเกิดเมืองนอน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ต่อมาในปี ค.ศ.๑๙๕๐(พ.ศ.๒๔๙๓) กองพล ๙๓ ภายใต้การนำของนายพล หลี่ มี่ได้ถอนกลับไต้หวัน ดังนั้นกองพล ๙๓ จึงไม่หลงเหลืออยู่ในบริเวณนี้อีกต่อไป ส่วนพวกข้าพเจ้าไม่ได้ถอนกลับไปด้วยเพราะพวกข้าพเจ้าไม่ใช่ทหารประจำการของ รัฐบาลจีนและเกาะไต้หวันคับแคบมีเนื้อที่จำกัดเป็นปัญหาต่อการประกอบอาชีพ กสิกรรม       

         "ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า พวกข้าพเจ้าทุกคนมีความรู้สึกนึกคิดอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองเป็นคนไทยคนหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากความใกล้ชิดสนิทสนมกับคนไทยมานาน ๒๐ กว่าปี"        

         ในเอกสารฉบับนี้ มีข้อมูลว่าได้เกี่ยวข้องกับการค้าฝิ่นด้วยเพราะจำเป็นในการเลี้ยงชีพ.      

         พ.ต.ท.อนุ เนินหาด รอง ผกก.สส.สภ.อ.แม่ริม       anunernhard@hotmail.com>

         

ที่มา http://www.thainews70.com/news/news-culture-arnu/view.php?topic=124

   

ละเอียดข่าว

ภาพบน สภาพบนบ้านของเจ้าน้อย ที่ถูกทำลายกระจุยกระจาย


ภาพล่าง ระเบิดมือรูปร่างคล้ายขวดซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยยึดได้ในที่เกิดเหตุ

เชียงใหม่ พ.ศ.๒๕๐๙(๑๗)
จังหวัด เชียงใหม่มีชายแดนติดต่อกับประเทศพม่า ซึ่งบางส่วนเป็นป่าเขาและเป็นที่ตั้งกองกำลังของชนกลุ่มน้อย สมัยนั้นมีกลุ่มติดอาวุธหลักอยู่ ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มจีนฮ่อและกลุ่มไทยใหญ่
ทั้งสองกลุ่มมีความขัดแย้งกันจนถึงขั้นยกกำลังเข้าปะทะกัน มีรายงานข่าวใหญ่ในหนังสือพิมพ์คนเมือง เดือนพฤษภาคม ๒๕๐๙
"คนเมือง พบหัวหน้าโจรจีนฮ่อ เผยเหตุจับ เจ้าน้อย หัวหน้าไทยใหญ่ มีค่าตัว ๕ บาท
"รายละเอียดจีนฮ่อฆ่าไทยใหญ่ กวาดต้อนผู้ใหญ่-เด็ก เป็นเชลย
ข่าวและภาพโดย อินสม ปัญญาโสภา
"คน เมือง บุกสัมภาษณ์หัวหน้าโจรจีนฮ่อในป่าหลังถ้ำเชียงดาว ท่ามกลางรังปืนกลนับสิบ เผยเหตุที่ยกกำลังตามล่าชีวิตหัวหน้าโจรไทยใหญ่ว่า ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ให้มาจับตัว เจ้าน้อย ด้วยค่าตัวจับเป็น ๕๐,๐๐๐ บาท จับตาย ๓๐,๐๐๐ บาท ระบุว่า เจ้าน้อย บ่อนทำลายความสงบสุขประชาชนไทยใหญ่
"จากกรณีที่กองโจรจีนฮ่อ กำลังประมาณ ๑๐๐ คนเศษ และมีพวกไทยใหญ่ประมาณ ๓๐ คน มีอาวุธปืนกลและปืนคาร์บินแบบทันสมัย บุกเข้าล้อมบ้านโรงวัว หมู่ที่ ๖ ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว ซึ่งอยู่ถนนหน้าถ้ำเชียงดาว เมื่อตอน ๕ น. วันที่ ๒๖ เดือนนี้(พฤษภาคม) แล้วกองโจรจีนฮ่อ ก็สาดกระสุนเข้าใส่บ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ริมถนน อันเป็นบ้านที่โจรจีนฮ่อทราบมาว่า เป็นที่อยู่อาศัยของ เจ้าน้อย หัวหน้าชาวไทยใหญ่ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
"เสียงปืนได้ดังติดต่อกันเป็น เวลา ๑ ชั่วโมงเศษ ปลุกให้ชาวบ้านในละแวกนั้นลุกขึ้นมา บ้างก็วิ่งหนีด้วยความกลัว บ้างก็วิ่งมาดูเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆ ฝ่ายไทยใหญ่ที่อยู่บนบ้าน ๒ ชั้น ที่ถูกระดมยิงมีคนประมาณ ๒๐ คน ไม่มีอาวุธอะไรที่จะใช้ต่อสู้ จึงพากันหลบหนีเอาตัวรอดฝ่าวงล้อมออกไปได้ ทิ้งศพและผู้บาดเจ็บไว้บนบ้านหลายคน พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว ต่อจากนั้น โจรจีนฮ่อก็บุกขึ้นไปบนบ้าน ทำการจับตัวผู้บาดเจ็บชายหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมทั้งเมียและลูกของเจ้าน้อยอีกหลายคน มามัดรวมกันไว้ แล้วขึ้นค้นบ้านและฟันสิ่งของที่อยู่บนบ้าน เช่น รถจักรยาน วิทยุ จักรเย็บผ้า เสียหายย่อยยับ
"ขณะเดียวกันนั้น พ.ต.ต.วิชัย กลับเจริญ ผบ.กอง สภ.อ.เชียงดาว นายมานพ ลังการ์พินธุ์นาย อำเภอและ ร.ต.ท. สกุล เพชรรัตน์ ผบ.หมวด ชด.หมวดที่ ๕๑๐ ก็ยกกำลังตำรวจร่วมร้อยออกไปถึงที่เกิดเหตุ เมื่อเวลา ๖ น.เศษ ผู้เป็นหัวหน้าโจรจีนฮ่อเห็นเช่นนั้นก็เป่านกหวีดสั่งให้ลูกน้องล่าถอย โดยไม่ทันจะเผาบ้านและได้ลำเลียงเอาเชลยที่จับได้มี เมียเจ้าน้อย ๒ คน ลูก ๓ คน เป็นหญิงอายุ ๑๗ ปี ๑ คน และชายอายุ ๕ ขวบ ๒ คน นอกนั้นก็เป็นชาวไทยใหญ่อีก ๑๑ คน มีทั้งชายชราอายุ ๗๐ ปี รวมอยู่ด้วย คนที่ถูกกระสุนบาดเจ็บพวกโจรจีนฮ่อได้ใส่แคร่หามล่าถอยเข้าป่าไปทางหลังถ้ำ เชียงดาว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจะให้ความช่วยเหลือได้ เพราะกำลังของพวกโจรจีนฮ่อมีมากกว่า
"เมื่อตำรวจเจ้าไปตรวจดูสภาพของบ้าน หลังนั้นก็พบว่า ฝาบ้านมีแต่รอยกระสุนปืนพรุนไปหมด ส่วนข้าวของภายในบ้านถูกทำลายยับเยิน ไม่มีชิ้นดีเหลืออยู่ มีแต่หยดเลือดเปรอะไปทั่วบ้าน สำหรับศพชาวไทยใหญ่ที่ถูกกระสุนปืนตายอยู่บนบ้าน ๒ ศพ และใต้ถุนบ้านอีก ๑ ศพนั้น ปรากฏว่าพวกโจรจีนฮ่อได้หามเอาไปด้วย และเมื่อถึงระหว่างทางมีผู้เห็นโจรจีนฮ่อยิงทิ้งผู้บาดเจ็บอาการหนักอีก ๑ คน ศพ ๒ ศพ ถูกนำไปทิ้งในป่าใกล้ๆ หมู่บ้านนั้นเอง ในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้ง ๔ คนนี้มีชายไทยคนหนึ่งที่เดินทางมาจากแม่ฮ่องสอนเพื่อมาติดต่อการค้าและได้มา พักที่บ้านเกิดเหตุจึงถูกกระสุนปืนตายไปด้วย
          "สำหรับพวกโจรไทยใหญ่ จำนวน ๓๐ คนที่ร่วมมือกับพวกโจรจีนฮ่อครั้งนี้ มีส่างซอ อดีตลูกน้องของเจ้าน้อย ซึ่งแตกแยกออกไปเป็นหัวหน้ารวมอยู่ด้วย พวกโจรจีนฮ่อได้พักแรมอยู่ที่ชายป่าใกล้ๆ กับปากถ้ำเชียงดาว ๑ คืน รุ่งขึ้นตอนเช้าวันที่ ๒๗ พ.ค.๐๙ ได้ยกกำลังเดินมุ่งหน้าไปทางเมืองแหง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอำเภอเชียงดาวและตำรวจภูธรชายแดนได้ยกกำลังออกไป สกัดไว้แล้ว"
          เรื่องนี้ นักข่าวนสพ.คนเมือง คือ คุณอินสม ปัญญาโสภา ได้เดินทางเข้าไปยังค่ายของจีนฮ่อ ร่วมกับผู้บังคับกอง สภ.อ.เชียงดาวและนายอำเภอเชียงดาว ได้รายงานข่าวไว้ว่า
"ถ้ำปากเปีย งตั้งอยู่หลังถ้ำเชียงดาว ต้องเดินด้วยเท้าจากปากถ้ำเชียงดาวไปอีกประมาณ ๓๐ นาที ก็ไปถึงที่ชุมนุมกำลังของโจรจีนฮ่อ ซึ่งมีกำลังประมาณ ๕๐ คน ทุกคนแต่งตัวสีเขียวแบบทหาร สวมหมวกจ๊อกกี้ แขนซ้ายมีปลอกสีขาวกับแดง อันเป็นเครื่องหมายประจำกองโจรสวมอยู่ ทุกคนสะพายปืนคาร์บิน ที่อกเสื้อมีถุงบรรจุแม็กกาซีนลูกกระสุนอยู่เต็ม รอบบริเวณที่พักมียามยืนคอยระวังเหตุการณ์อยู่เป็นจุดๆ ในลักษณะเตรียมพร้อม เมื่อกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปถึง คนยืนยามด่านแรก ก็ได้รายงานยามคนต่อๆ ไปทราบเป็นระยะๆ ครู่หนึ่งก็มีสัญญาณตอบมาว่าให้ตำรวจเข้าไปในค่ายนั้นได้ เดินเข้าไปอีกประมาณ ๔๐๐ เมตรก็ถึงค่ายที่พักของผู้เป็นหัวหน้ามีปืนกลตั้งอยู่ล้อมรอบหลายกระบอก มียามนั่งประจำครบทุกกระบอก หัวหน้าโจรจีนฮ่อ วัยประมาณ ๔๐ ปีเศษ ได้ก้าวออกมาจากที่พักถือไม้เท้าไว้ในมือซ้าย พร้อมกับล่ามประจำตัวอีกคนหนึ่ง ผู้เป็นหัวหน้าแนะนำตัวเองว่าชื่อ เลาจาง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและนายอำเภอได้บอกผ่านล่ามของเขาว่า ให้รีบยกกำลังไปจากเขตไทยโดยด่วนเพราะการบุกรุกเข้ามาเช่นนี้เป็นการล่วง ละเมิดอธิปไตย หัวหน้ากองโจรฮ่อก็รับปากว่าจะรีบยกกำลังกลับทันที 

         ในขณะที่เผชิญหน้ากัน เลาจาง หัวหน้าโจรจีนฮ่อครั้งนี้ คนเมือง ได้สอบถามถึงสาเหตุที่ยกกำลังมาเพื่อชิงเอาตัวเจ้าน้อย หัวหน้าชาวไทยใหญ่ครั้งนี้ ด้วยสาเหตุอันใด เลาจาง บอกว่า เรื่องนี้เป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเขา ได้สั่งมา ให้หาตัวเจ้าน้อยกลับไปให้ได้ ซึ่งเมื่อจับตัวไปได้จะจัดเงินรางวัลให้เป็นการตอบแทน คือ ถ้าจับเป็นได้รางวัล ๕๐,๐๐๐ บาท แต่ถ้าจับตายก็จะได้ ๓๐,๐๐๐ บาท
         "สำหรับสาเหตุของการนำกำลังล่าชีวิตกันครั้งนี้เชื่อว่าสาเหตุหนึ่งคือด้านความขัดแย้งทางการค้าฝิ่นเถื่อนระหว่างชายแดน"
เรื่อง นี้ บรรณาธิการลงข่าวแสดงความห่วงใยบ้านเมืองในหน้า ๓ ฉบับเดียวกัน ชี้ให้เห็นถึงประวัติความเป็นมาของกลุ่มจีนฮ่อและปัญหาจีนฮ่อในเชียงใหม่


   "เมืองไทยนี้เป็นของจีนฮ่อหรือ?


        "กรณี โจรจีนฮ่อและโจรไทยใหญ่นำกำลังประมาณ ๑๕๐ คนเข้ามาโจมตีหมู่บ้านไทยใหญ่ อ.เชียงดาว ซึ่งอยู่ห่างจากสถานีตำรวจและที่ว่าการ อ.เชียงดาวประมาณ ๓ กม. เมื่อตอนเช้าตรู่ของวันที่ ๒๖ พ.ค.ศกนี้ ตามรายละเอียดที่เรานำลงในฉบับนี้นั้น นับว่าเป็นการกระทำที่อาจหาญและไม่มีการยำเกรงต่อกฎหมายของบ้านเมืองแต่ อย่างใด ทั้งๆที่ พวกโจรจีนฮ่อเหล่านี้ ได้หลบซ่อนอยู่แถวชายแดนไทยและอาศัยผืนแผ่นดินไทยอยู่ การกระทำของพวกโจรจีนฮ่อครั้งนี้คล้ายกับผืนแผ่นดินส่วนนี้เป็นของพวกมันเอง
         "การ กำแหงหาญของพวกโจรจีนฮ่อครั้งนี้ มิใช่เป็นครั้งแรก คงจะจำกันได้ว่าเมื่อปลายปี พ.ศ.๒๔๙๖ พวกโจรจีนฮ่อประมาณ ๕๐๐ คนเศษ ได้ลำเลียงฝิ่นและมาตั้งค่ายทหารมีอาวุธอย่างดีอยู่ที่หลังดอยสุเทพ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายฝ่ายต้องร่วมมือกันเข้าทำการกวาดล้าง ขนาดต้องขอกำลังกองทัพอากาศส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดจึงจะสามารถปราบปราม ให้อยู่มือได้ และเมื่อต้นปี ๒๕๐๙ เมื่อ ๒-๓ เดือนที่ผ่านมานี้เอง พวกโจรจีนฮ่อก็ได้ยกกำลังเข้ายึดสถานีตำรวจที่เมืองแหง อ.เชียงดาว เพราะกลัวตำรวจจะขัดขวางการเดินทางผ่านเข้าเขตเมืองแหงของพวกโจรจีนฮ่อ ซึ่งเรื่องนี้ชาวเมืองแหงทราบเรื่องนี้ดี
       "พวกโจรจีนฮ่อเหล่านี้เคยเป็น อดีตทหารกองพลที่ ๙๓ ของฝ่ายก๊กมินตั๋งมาแล้ว และเป็นพวกที่ปฏิเสธไม่ยอมอพยพกลับเกาะไต้หวันเมื่อทางการองค์การสหประชา ชาติเป็นผู้จัดการให้มีการอพยพเมื่อหลายปีมาแล้ว พวกนี้ได้อาศัยอยู่แถวชายแดนไทยกับพม่า และหาเลี้ยงชีพด้วยการค้าฝิ่นเถื่อนเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายของไทย และผิดกฎขององค์การสหประชาชาติด้วย
         "เรา ไม่สนใจในเหตุผลของการยกกำลังอันมากมายของพวกโจรจีนฮ่อเข้ามาโจมตีบ้านไทย ใหญ่ครั้งนี้ที่ เกิดจากการขัดแย้งกันในเรื่องการค้าฝิ่นเถื่อน หรือจากการขัดแย้งกันทางการเมืองของพวกไทยใหญ่ แต่เราไม่พอใจอย่างยิ่งที่มาทำในเมืองไทย ซึ่งเป็นการเคารพต่อกฎหมายของบ้านเมืองและไม่เคารพต่ออธิปไตยกันเสียเลย ถ้าหากการปะทะกันนี้จะเกิดขึ้นนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรัฐฉานหรือในเขตเมืองจีนก็ตาม เราจะไม่ห่วงใยเลยแม้แต่นิดเดียว
        "เรา คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ทางการรัฐบาลไทย จะต้องรีบดำเนินการกับพวกโจรจีนฮ่อเหล่านี้อย่างเด็ดขาดเสียที มิฉะนั้นแล้ว อธิปไตยของเราก็จะไม่มีความหมายแต่อย่างใด รวมทั้งสวัสดิภาพความปลอดภัยของประชาชนชาวไทยและของประเทศชาติด้วย เมืองไทยนี้เป็นของคนไทยมิใช่เป็นของพวกโจรจีนฮ่อ
         "ส่วนพวกจีนฮ่อที่อพยพ ลี้ภัยเข้ามาอาศัยผืนแผ่นดินไทยอยู่และกระทำตัวเป็นคนดี เคารพต่อกฎหมายบ้านเมืองนั้น คนไทยยินดีต้อนรับให้ความช่วยเหลือเสมอ มิได้มีความรังเกียจเดียดฉันท์แต่ประการใดเลย"(คนเมือง,๓๑ พ.ค. ๒๕๐๙)
พ.ต.อ.อนุ เนินหาด ผกก.สภ.พร้าว
anunernhard@hotmail.com

ความคิดเห็น