เมื่อมุสลิมมองมุสลิมโลกหมุนเร็ว

 เมื่อมุสลิมมองมุสลิมโลกหมุนเร็ว

เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง

        คุณว่าไหม บนโลกใบนี้น่ะมีคนที่ตำหนิตัวเองอยู่น้อยเต็มที มันเป็นธรรมชาติของคนที่มักชอบติคนอื่นเสียมากกว่า ทีนี้พอมีคนลุกขึ้นมาติตัวเองซะที ก็เลยกลายเป็นเรื่องน่าฟังไป

        คนที่ลุกขึ้นมาติตัวเองอย่างแข็งขันคนนี้เป็นคนปากีสถาน มีดีกรีเป็นดอกเตอร์และมีตำแหน่งการงานเป็นผู้อำนวยการของศูนย์วิจัยด้านความมั่นคงของปากีสถาน ถือเป็นหน่วยงาน Think Tank ของประเทศนี้ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี 2550 และยังเป็นคอลัมนิสต์ชื่อดังอีกด้วย เขาชื่อ ดร.ฟารุก ซาลีม

เขาเริ่มด้วยการตั้งคำถามว่า ทำไม "ยิว" จึงเป็นชนชาติที่มีอิทธิพลนัก

        ในเมื่อทั้งโลกใบนี้น่ะมี "ยิว" ทั้งหมดแค่ 14 ล้านคน 7 ล้านอยู่ในอเมริกา 4 ล้านอยู่ในเอเชีย อีก 2 ล้านอยู่ในยุโรป ส่วนที่เหลืออีก 100,000 คนอยู่ในแอฟริกา

     โลกนี้มีคนยิว 1 คน ต่อคนมุสลิม 100 คน แต่เหตุไฉนคนยิวจึงมีอิทธิพลต่อโลกกว่าคนมุสลิมมากมายนัก

      แม้แต่พระเยซูก็เป็นคนยิว คนยิวอีกคนที่เป็นอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ของโลกคือ อัลเบิร์ต ไอนส์ไตน์ ส่วนที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันคือ ซิกมันด์ ฟรอยด์ บิดาแห่งนักนักจิตวิทยาผู้ค้นคิดเรื่อง ตัวกู ของกู ส่วนด้านนักคิดเพื่อสังคมนั้นเล่า ก็เช่น คาร์ล มาร์กซ์, พอล แซมมวลสัน และ มิลตัน ฟรีดแมน เป็นต้น

        ทางด้านวงการแพทย์ผู้มีคุณูปการอันใหญ่หลวงสำหรับมนุษยโลกก็มีบุคคลเหล่านี้คือ

      เบนจามิน รูบิน เป็นผู้ค้นคิดเข็มฉีดยา โจนาส ซอล์ก คิดวัคซีนโปลิโอเป็นคนแรก เกอทรูด เอลเลียน คิดค้นยารักษาลูคีเมีย บารุค บลูมเบิร์ก พัฒนาวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี พอล เออร์ลิก ค้นคิดวิธีรักษาโรคซิฟิลิส เบอร์นาร์ด คัตซ์ ได้รับรางวัลโนเบลจากผลงานการเปลี่ยนกล้ามเนื้อหัวใจ และบุคคลสำคัญทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ทั้งหลายอีกมากมายก็ล้วนเป็นคนยิว

       ในช่วง 105 ปีที่ผ่านมา จากคนยิว 14 ล้านคน มีถึง 15 โหล หรือ 180 คนที่ได้รับรางวัลโนเบล ในขณะที่มุสลิมในโลกมี 1.4 พันล้านคน แต่มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ได้รับรางวัลโนเบล

ทำไมล่ะ คนยิวจึงทรงอิทธิพลนัก

        ไม่เฉพาะการแพทย์เท่านั้น ทางด้านวิทยาศาสตร์ คนยิวชื่อ สแตนลี่ เมเซอร์ ค้นพบชิพคอมพิวเตอร์เป็นคนแรก ลีโอ ซิลลาร์ด พัฒนากระบวนการปฏิกิริยานิวเคลียร์เป็นคนแรก ปีเตอร์ ชุลต์ ค้นพบไฟเบอร์ออฟติก ชาร์ลส์ แอดเลอร์ ค้นพบไฟจราจร ยังไม่เท่านั้นคนแรกที่ค้นพบสแตนเลสสตีล คือ เบนโน สเตราส์ อิซาดอร์ คิสเซ ค้นพบภาพยนตร์ที่มีเสียง ชาร์ลส์ กินสเบิร์ก พบเครื่องอัดวิดีโอเทป

        แล้วในโลกการเงินล่ะ พ่อมดธุรกิจเจ้าของแบรนด์ดังทั้งหลายล้วนเป็นคนยิว ไม่ว่าจะเป็น ราล์ฟ ลอเรน เจ้าของแบรนด์โปโล เฮาวาร์ด ชูลตส์ เจ้าของสตาร์บัคก็เป็นยิว เซอร์เก บริน เจ้าของกูเกิลอีกล่ะ ต้องเป็นยิวอยู่แล้ว ไมเคิล เดลล์ เจ้าของเดล ก็ยิวอีกหละ เจ้าของออราเคิลก็เป็นยิว

      ส่วนสาวเศรษฐินีในโลกแฟชั่น ดอนน่า คาราน ก็เป็นคนยิว เจ้าของแบรนด์อาหาร อย่าง บาสกิ้น รอบบิ้นส์ และ ดังกิ้น โดนัทส์ก็ไม่ใช่ชาติไหน แต่คือยิว

      รายชื่อยังมีอีกยาวเหยียด พวกรัฐบุรุษทั้งหลายอย่าง เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ อลัน กรีนสแปน โจเซฟ ลิเบอร์แมน และ มาเดอลีน อัลไบรต์ ก็ล้วนแต่เป็นยิว

     ในโลกของสื่อ คนดังๆ อย่าง บาร์บารา วอลเตอร์ส แห่งเอบีซีนิวส์ ยูยีน แมเยอร์ และแคทารีน แกรม แห่งวอชิงตันโพสต์ รวมทั้งบรรณาธิการของ เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ ก็เป็นคนยิว

      แล้วคุณคิดว่าพ่อมดการเงินและนักบริจาคการกุศลอย่าง จอร์จ โซรอส ใช่ยิวไหม ดูหน้าแล้วจะเป็นอื่นไปไม่ได้แน่ เขาบริจาคแล้วถึง 4 พันล้านดอลลาร์ให้กับการทดลองทางวิทยาศาสตร์และมหาวิทยาลัยต่างๆ ในโลก

      และหากมองไปที่วงการกีฬาและบันเทิง ชื่อของคนแถวหน้าที่เรารู้จักก็ไม่พ้นยิว มาร์ก สปิตซ์ ที่เคยทำสถิติเหรียญทอง 7 เหรียญ และ บอริส เบกเกอร์ นั่นไง หรือบนจอเงิน คนที่คุณชื่นชมบูชา อย่าง แฮริสัน ฟอร์ด ชาร์ลส์ บรอนสัน แซนดรา บูลล็อก วูดดี้ แอลเลน และ พอล นิวแมน ดัสติน ฮอฟฟ์แมน ไมเคิล ดักลาส เบน คิงส์ลีย์ โกลดี้ ฮอว์น และ แครี่ แกรนต์ คือยิว

       ยังไม่นับตัวละครไชล็อกที่ร่ำรวยในเวนิส วานิช นะเนี่ย

        สตีเว่น สปีลเบิร์ก นั้นยิ่งใหญ่มากในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด เมล บรู๊ก และ โอลิเวอร์ สโตน ก็เช่นกัน

      ทำไมโลกนี้จึงมีแต่คนเก่งที่เป็นยิว

คําตอบก็คือการศึกษานั่นเอง

        แล้วหันมาดูคนมุสลิม ซึ่งมีอยู่ประมาณ 1,476,233,470 คนในโลกนี้ โดยที่ประมาณพันล้านคนอยู่ในเอเชีย 400 ล้านอยู่ในแอฟริกา และ 44 ล้านคนอยู่ในยุโรป และ 6 ล้านคนอยู่ในอเมริกา เป็นอันว่าในประชากรโลกห้าคนจะเป็นมุสลิมเสียหนึ่ง และมีคนฮินดูหนึ่งคนต่อทุกๆ มุสลิม 2 คน ชาวพุทธหนึ่งคนจะประกบด้วยมุสลิม 2 คน

        แล้วทำไมคนมุสลิมจึงไร้พลัง เมื่อมองลึกลงไปจะพบว่าโลกมุสลิมมีองค์กรที่เรียกว่า Organisation of Islamic Conference (OIC) ซึ่งมีสมาชิก 57 ประเทศ ทั้งหมดนี้ มีมหาวิทยาลัยรองรับแค่ 500 แห่ง เอาจำนวนประชากรมุสลิมหารดู จะพบว่ามีหนึ่งมหาวิทยาลัยต่อประชากรมุสลิม 3 ล้านคน

       ต้องเหนื่อยอีกนานกว่าคนมุสลิมจะมีความรู้ทั่วถึง

      ในขณะที่สหรัฐมีมหาวิทยาลัย 5,758 แห่ง และอินเดียมี 8,407 แห่ง

      เมื่อปี 2547 มหาวิทยาลัยเฉียวตงที่เซี่ยงไฮ้ได้ทำการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลกชั้นนำ 500 แห่ง ไม่มีมหาวิทยาวิทยาลัยในประเทศมุสลิมติดอันดับเลย

      ตัวเลขของ UNDP ระบุว่าอัตราการอ่านออกเขียนได้ในโลกคริสเตียนอยู่ที่ร้อยละ 90 และมี 15 ประเทศที่ประชากรเป็นคริสเตียน อ่านออกเขียนได้ร้อยละร้อย

      ในขณะที่ประเทศมุสลิมนั้นตรงกันข้าม อัตราอ่านออกเขียนได้มีแค่ร้อยละ 40 

        ประเทศมุสลิมมีนักวิทยาศาสตร์ 230 คนต่อประชากรหนึ่งล้านคน ในขณะที่สหรัฐมี 4,000 และญี่ปุ่นมี 5,000

        แล้วการวิจัยล่ะ โลกมุสลิมลงทุนเพียงร้อยละ 0.2 ของจีดีพีในการวิจัยพัฒนา ส่วนโลกคริสเตียนลงทุนร้อยละ 5 ของจีดีพี

         ดังนั้น ก็พูดได้ว่าโลกมุสลิมนั้นขาดความสามารถในการสร้างองค์ความรู้

     ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูที่จำนวนหนังสือพิมพ์รายวันต่อประชากร 1,000 คนกับจำนวนหนังสือที่พิมพ์ออกมาก็รู้ ว่ามีการกระจายความรู้สู่ประชากรทั่วถึงเพียงไร

       ในปากีสถาน มีหนังสือพิมพ์ 23 หัว ต่อประชากร 1,000 คน ส่วนในสิงคโปร์ต่อประชากร 360 คน

      ในอังกฤษต่อประชากร 1 ล้านคน จะมีหนังสือ 2,000 เล่ม ส่วนในอียิปต์มีหนังสือแค่ 20 เล่ม

     นั่นแปลว่าอัตราการกระจายความรู้ของคนมุสลิมนั้นต่ำอย่างมาก

        ทีนี้ มาถึงการผลิตและส่งออกสินค้าเทคโนโลยี ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการนำองค์ความรู้มาใช้ ปากีสถานนั้นส่งออกสินค้าเทคโนโลยีแค่ร้อยละ 1 ของสินค้าส่งออก ซาอุดีอาระเบียยิ่งแล้วใหญ่ ส่งออกแค่ ร้อยละ 0.3 ส่วนเพื่อนมุสลิมอื่นๆ อย่างคูเวต โมร็อกโก และแอลจีเรียก็พอกัน ส่งออกสินค้าเทคโนโลยีได้เพียงร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ที่ส่งออกได้ร้อยละ 58

      นี่แสดงว่าอะไร แสดงว่าโลกมุสลิมนำองค์ความรู้มาใช้ไม่เป็น

        ทั้งไม่สามารถสร้างความรู้ กระจายความรู้ และนำความรู้มาใช้ ทำให้โลกมุสลิมไร้พลัง 

     ดร.ฟารุก ซาลีม สรุปว่าคนมุสลิมน่าจะตั้งหน้าตั้งตาศึกษาหาความรู้ สร้างองค์ความรู้ และหัดนำความรู้มาใช้ แทนที่จะเอาแต่ตะโกนเรียกพระอัลเลาะห์อยู่ทั้งวันทั้งคืนๆ

      หรืออีกนัยหนึ่งคือใช้เวลากับเรื่องศาสนาน้อยลงบ้างก็ได้ และเพิ่มเวลาให้กับการศึกษานั่นเอง

      ข้อสรุปอันนี้น่าจะเป็นแนวทางให้โลกมุสลิมพัฒนาขึ้นมาได้ แทนที่ประเทศยากจนทรัพยากรจะปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามลิขิตเบื้องบน

        ส่วนประเทศมุสลิมที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรจะมัวแต่สรรค์สร้างความฟุ่มเฟือยต่างๆ นานา เพราะทรัพยากรนั้นอีกไม่นานก็จะหมดไป ในขณะที่ความรู้มีแต่จะทำให้เพิ่มพูน


credit

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1312357441&grpid=no&catid&subcatid

ความคิดเห็น