ไสยศาสตร์อิสลาม ไสยเวทมุสลิม คุณไสยอิสลาม
ไสยศาสตร์อิสลาม, ใครว่าไสยศาสตร์เป็นเรื่องต้องห้ามในอิสลาม แต่มุสลิมหลายคนกล่าวว่าไม่เกี่ยวข้องกับอิสลาม
แต่อัลกุรอ่านได้อธิบายสิ่งนี้ไว้ นั่นคือเรื่องไสยศาสตร์ มันก็ต้องเกี่ยวข้องกับอิสลามโดยเฉพาะความเชื่อว่าไสยศาสตร์มีจริงอย่างหลีก เลี่ยงไม่ได้“
1.และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอนในสมัยสุลัยมาน อ่านให้ฟัง และสุลัยมานไม่ได้ปฏิเสธความศรัทธา แต่ทว่า
2.ชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธความศรัทธาโดยการสอนไสยศาสตร์ให้ แก่ผู้คนและ
3.สิ่งที่ถูกประทานมาแก่มลาอิก๊ะฮฺทั้งสองคือฮารูตและมารูต ณ เมืองบาบิล และเขาทั้งสองจะไม่สอนผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า “แท้จริง เราแค่เป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธความศรัทธาเลย” แม้กระนั้น
4. ผู้คนก็ยังศึกษาจากเขาทั้งสอง
5.ซึ่งมันได้เป็นสาเหตุให้เกิดการแตกแยกระหว่างผู้ชายกับภรรยาของเขา และ
6.พวกเขาไม่อาจใช้สิ่งนั้นทำอันตรายแก่ผู้ใดได้นอกจากด้วยการอนุมัติของ อัลลอฮฺเท่านั้นและ
7.พวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นอันตรายต่อพวกเขาและมิได้เป็น คุณแก่พวกเขา และแน่นอน
8.พวกเขารู้ว่าใครก็ตามที่ซื้อมันจะไม่มีส่วนแห่งความดีใดในโลกหน้าและความ ชั่วคือราคาที่พวกเขาขายชีวิตของพวกเขาถ้าหากพวกเขารู้” (กุรอาน 2:103)
อธิบายได้ดังนี้
1. สุลัยมานได้รับไสยศาสตร์มาจากมลาอิกะห์ หรือเทวทูตสองท่านชื่อ ฮารูตและมารูต ซึ่งสุลัยมานยังคงเป็นมุสลิม (ไม่ปฏิเสธศรัทธา)
2. ชัยฏอนก็ได้สอนไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คน โดยที่มาจากแหล่งเดียวกันคือ เทวทูตสองท่านนั้น
3. อัลลอฮ์ให้มลาอิกะห์นำไสยศาสตร์ลงมาแก่สุลัยมาน รวมถึงคนอื่น ๆ เพื่อการทดสอบไม่ใช่การใช้งาน
4. นอกจากมลาอิกะห์สอนสุลัยมาน มลาอิกะห์สองท่านนั้นยังสอนคนอื่นอีกด้วย ไม่ใช่แค่ชัยฏอน
5. ผลของไสยศาสตร์ทำให้สามีภรรยาแตกแยกกัน (การทำเสน่ห์หรือเปล่า)
6. ไสยศาสตร์ทำอันตรายกับผู้ใดก็ได้ หากอัลลอฮ์อนุญาต
7. ไสยศาสตร์เป็นอันตรายกับตัวผู้เรียนด้วย และไม่มีคุณค่าใด
8. ราคาของไสยศาสตร์คือความความดีที่เสียไป
ถามว่า
1. ความพิเศษของสุลัยมานคือ สามารถติดต่อกับสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ญิน" และสามารถใช้งานพวกมันได้ ไสยศาสตร์คือวิธีติดต่อและใช้งานพวกมันใช่หรือไม่ และการที่ชัยฏอนได้ยินวิธีการนี้และนำไปเผยแพร่ให้คนอื่น ๆ ก็เพราะพวกมันเป็นญิน
2. ไสยศาสตร์ของสุลัยมานตกทอดมาถึงปัจจุบันหรือไม่
3. หากไสยศาสตร์ของสุลัยมานตกทอดมา ก็ต้องมี เพื่อการทดสอบ และใช้งานจริง ตรงนี้ตัดสินอย่างไร
4. อัลลอฮ์เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ เพราะไสยศาสตร์จะสำเร็จหรือไม่มันต้องผ่านการอนุมัติใช่หรือไม่
เป็นการพิสูจน์ว่า อิสลามกับไสยศาสตร์เป็นของคู่กันไม่ใช้สิ่งต้องห้ามอันใดและเป็นการพิสูทจ์ ว่า ไสยศาสตร์ ปัญญา และชีวิตเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เพียงแต่ว่าให้ใช้ไปทางขาวหากจะใช้ไป ทางมืดต้องขออนุญาติต่อพระอัลลอห์ ก่อน
พูดถึงไสยศาสตร์มุสลิม ทำให้ผมนึกถึงเรื่องข้างบ้านผมแต่ก่อนมีพ่อค้าผ้าไหมและนมชื่อ อารยา ผู้ร่ำรวยแกเป็นหมอไสยศาสตร์มุสลิมแกชาญทั้งไสยเวท การเพ่งกสิณแบบอิสลามได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าของพุทธจะมี 10 แต่อิสลามรู้สึกจะมี 4 อะครับ แต่แถวบ้านผมนี้สิไม่ธรรมดาเลย เพราะฝั่งซ้ายเป็นจอมไสยเวทที่จบมาจาก เขมร ชื่อ สมหมาย ส่วน อากุลยอ อยุ่ฝั่งขวาส่วนผมอยู่ตรงกลางอย่าเข้าใจผิดเป็นสนามมวยลุมพินีล่ะ รู้สึกว่าอา สมหมาย ไม่ค่อยถูกกับอา อารยา เพราะแกไม่ค่อยถูกกลับคุณไสยอิสลาม เพราะเท่าที่ผมรู้ๆมาว่าคุณไสยอิสลามมักชนะคุณไสยเขมร อยู่เรื่อยทำให้สองบ้านนี้เป็นปรปักษ์กันทั้งที่อาอารยา ไม่อยากจะมีปัญหากับใครแต่ไม่อาจพ้นและผมก็พลอยติดร่างแห (ซวยจริงๆกู) เพราะคุณอาทั้ง 2 แกสาดไสยเวทกันดังโครมครามไอ้ผมหรือไม่เป็นอันหลับอันนอนมีทั้งกรีดร้อง เสียงหัวเราะที่สยดสยอง เสียงเสือ เสียงวัว เสียงควาย เสียงต่อเสียงแตน เสียงลม เสียงฟ้าผ่า โอ้ยจะบ้าตายไปๆมาๆ จนผมต้องย้ายออกจากที่นั้นไม่ไหวแล้ว โอ้ย เห็นได้ยินข่าวมาหลังจากย้ายมาแล้ว อาสมหมายเสียแล้วผมคงรู้อยู่แล้วว่าแกตายเพราะอะไร
อารยา นอกจากแกจะเก่งแล้ว แกยังมีลูกสาวสวยชื่อน้อง มาฮาน สวยมากเลยครับแค่เห็นหน้าก็รู้เคยเลือบไปเห็นน้องเขาตอนอยู่ในบ้านไม่ได้ คลุม โอ้แม่เจ้า สวยมากๆ และบังเอิญแถวบ้านผมมันมี กุ๊ย 3 ตัวชอบมายอกล้อแซวน้องมาฮานอา อารยาแกเลยสังคยานาปล่อยหุ่นไม้ผีสิงผมเรียกว่า ตุ๊กตาสะกดวิญญาณ ปล่อยมาหลอกไอ้ 3 กุ๊ยหนีหายไปเลย
ไสยศาสตร์คืออะไร
โดย : analamee
ความหมายของไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ เป็นวิชาเกี่ยวกับ เวทมนตร์ คาถา และ เลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจ สมาธิ จิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และ การปลุกเสก
ในทัศนะอิสลาม ไสยศาสตร์คือวิชาความรู้ที่มาจากญินและชัยฏอน เกี่ยวข้องกับสิ่งเร้นลับ และมันก็มีความเร้นลับจริงๆ
ณ ปัจจุบันเรื่องไสยศาสตร์นั้นเป็นสิ่งใกล้ตัวกับเรามาก แม้แต่มุสลิมจำนวนไม่น้อยก็ต้องประสบกับสิ่งๆนี้ ยกตัวอย่างเช่น เราไปเดินสนามหลวง ก็จะเจอกับพวกหมอดูมากมาย หรือ แม้แต่ที่ท่าพระจันทร์ก็มีแผงขายพระเป็นจำนวนมาก ซึ่งสิ่งสำคัญสองอย่างที่จะช่วยให้มุสลิมห่างไกลจากไสยศาสตร์เหล่านี้ก็ คือ 1.อีหม่าน และ 2. ความรู้
ในอายะห์ที่ 102 ของซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ ได้แสดงให้เห็นว่าในอิสลามก็มีการกล่าวถึงวิชาว่าด้วยไสยศาสตร์ ว่าเป็นศาสตร์ของขัยฏอน และเป็นการปฏิเสธการศรัทธา นอกจากนี้อายะห์นี้ยังบอกอีกว่า วิชาไสยศาสตร์มีมาเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่สมัยบาบิโลน ขณะที่ในสมัยฟิรเอาว์ก็เคยมีการนำวิชาไสยศาสตร์มาต่อกรกับนะบีมูซา อะลัยฮิสลาม เช่นกัน
ไสยศาสตร์มีกี่ประเภท
ประเภทของไสยศาสตร์ •
สำหรับไสยศาสตร์มีสองประเภทหลักๆคือ
1. ไสยศาสตร์เพื่อทำลายผู้อื่น คือการนำไสยศาสตร์มีเป้าหมาย เพื่อให้ชัยฏอนไปทำร้ายคนที่เราต้องการ เช่นการทำของตามคำสั่งของชัยฏอนด้วยการทำของ แล้วมันก็จะไปทำตามคำสั่ง อย่างเช่น อยากให้คนนั้นเลิกกับคนนี้ อยากให้คนนั้นมาเป็นของเรา (การทำเสน่ห์) ซึ่งส่วนใหญ่ที่เห็นของที่ทำนั้นพวกนักไสยศาสตร์จะเขียนเหมือนอายะห์กุรอ่าน แต่แท้ที่จริงแล้วให้ระมัดระวังให้ดี อาจจะเป็นการเขียนข้อความบิดเบือนกุรอ่าน หรือเป็นคำที่ใช้สรรเสริญชัยฏอนก็ได้ ถึงแม้จะเป็นภาษาอาหรับก็ตาม นอกจากนี้ยังมีของที่พบเห็นเป็นส่วนมากอย่างเช่นการทำปมเชือกแล้วเป่าลงไป ซึ่งในอายะห์ที่ 4 ของซูเราะห์อัลฟะลัก มีการกล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ ซึ่งวิธีการแก้ก็คือ ขณะที่เราจะฉีก หรือแก้ปมเชือกก็ให้เราอ่านอายะห์กุรซี และ 3 กุล (อัลอิคลาส,อัลฟะลัก,อันนาซ)
2.ไสยศาสตร์ที่ใช้ในการติดต่อญิน อย่างพวกหมอดู ที่จะใช้ญินในการเอาข้อมูลต่างๆ มา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วหมอดูจะใช้ญิน ให้มาถามข้อมูลจากญินที่ติดตามตัวเรา แล้วญินของหมอดูก็จะไปบอกหมอดูว่าเราเป็นใครมาจากไหน ท่านนะบีมุฮัมหมัด เคย บอกซอฮาบะห์ว่าทุกคนมีญิน ซึ่งแม้แต่นะบีเองก็มี แต่ท่านได้สอนให้มันเข้ารับอิสลามแล้ว นอกจากนี้แล้ว การเล่นผีถ้วยแก้วก็เป็นไสยศาสตร์อีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งใกล้ตัวที่มุสลิมต้องระมัดระวังและห่างไกล โดยที่ในปัจจุบันมีการทำแผ่นกระดานออกมาเป็นเป็นเกมเล่นกันอย่างแพร่หลาย แม้กระทั่งในยุโรป หรือแม้แต่ในประเทศอาหรับเอง
ทำไมอิสลามจึงห้ามยุ่งเกี่ยวกับไสยศาสตร์
ไสยศาสตร์คือสะพานสู่การตั้งภาคีต่อ อัลลอฮ์ ทรงดำรัสไว้ในอัลกุรอ่าน ความว่า
“และ จงรำลึก เมื่อลุกมานได้กล่าวแก่บุตรของเขา โดยสั่งสอนเขาว่า โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าได้ตั้งภาคีใดๆต่ออัลลอฮฺ เพราะแท้จริงการตั้งภาคีนั้นเป็นความผิดอย่างมหันต์โดยแน่นอน” [ลุกมาน 31:13]
เรื่องแรกที่ท่านลุกมานได้ตักเตือนบุตรของท่านคือ อย่าตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ เป็น การยืนยันว่าความผิดที่อันตรายที่สุดคือ ชิริก บางคนบอกว่าลูกฉันเป็นมุสลิมไม่มีทางทำชิริก จึงไม่ตักเตือน และคิดว่าชิริกคือการกราบไหว้รูปเจว็ดเท่านั้น แต่ที่จริงพฤติกรรมแห่งชิริกมีมากมาย เช่น การเชื่อในวัตถุ ดวงดาว หรือหลงใหลวัตถุ เป็นต้น ซึ่งการทำชิริกจะเบี่ยงเบนเราจากการเคารพสักการะต่ออัลลอฮ์ รูปแบบของชิริกที่เกิดขึ้นในหมู่มุสลิมมีมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือการทำไสยศาสตร์ซึ่งมันคือรูปแบบหนึ่งของการตั้งภาคีแบบเปิด เผย อิสลามต่อต้านพวกหมอดู นักเวทย์มนต์ นักไสยศาสตร์ การเชื่อโชคลาง เนื่องจากมันเป็นเหตุไปสู่การทำชิริก(การตั้งภาคี)
ในที่สุด ท่านนะบีมุฮัมมัด ได้ประกาศสงครามกับคนที่อ้างว่ารู้ อดีต อนาคต และเรื่องเร้นลับต่างๆ โดยท่านอ่านโองการจากอัลกุรอานให้ฟังว่า
“จงกล่าวเถิด ไม่มีใครในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินรู้สิ่งเร้นลับ นอกจากอัลลอฮ์ ” (อัลนัมลฺ อายะฮฺที่ 65)
ไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถา ถือว่าเป็นบาปใหญ่ นักกฎหมายบางท่านถือว่าเป็นชิริก หรือเป็นสิ่งที่นำไปสู่การทำชิริก และบางคนถือว่าพวกที่ใช้ไสยศาสตร์ มนตร์ดำ ควรถูกประหารเพื่อให้สังคมบริสุทธิ์จากความเลวทรามของมัน ท่านนะบี ได้กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดว่า
”จง หลีกห่างจากบาปใหญ่ 7 ประการ บรรดาเศาะฮาบะฮฺกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮฺ มันคืออะไร? ท่านนะบี กล่าวว่า การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ ไสยศาสตร์ การฆ่าชีวิตที่อัลลอฮ์ให้เป็นที่ต้องห้ามเว้นแต่เพื่อดำรงสัจธรรม การกินดอกเบี้ย การโกงกินทรัพย์เด็กกำพร้า การหนีทัพในวันประจัญบาน และการใส่ร้ายหญิงบริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องและเป็นผู้ศรัทธา” (รายงานโดย บุคอรียฺและมุสลิม)
นอก จากอายัตอัลกุรอ่านและอัลฮะดิษที่ได้นำมาอ้างไว้ข้างต้นแล้ว ยังมีอีกหลายอายัตและหลายฮะดิษอีกเช่นกันที่ได้ห้ามการทำไสยศาสตร์ รวมไปถึงคำกล่าวของบรรดานักวิชาการ
อำนาจแห่งมนต์ดำ
เวทมนต์และไสยศาสตร์ มิได้มีพลังโดยตัวของมันเอง หากแต่อาศัยพลังของซาตานมารร้าย เวทมนต์ไสยศาสตร์ มีกล่าวในอัลกุรอ่านไว้หลายแห่งและยืนยันว่ามันมีอยู่จริง นักวิชาการซุนนะห์แบ่งมันออกเป็นสองประเภทใหญ่คือ
หนึ่งภาพลวงตา คือเป็นแค่ภาพลวงตา เช่นการกระทำของนักมายากลทั้งหลาย
สอง มนต์ดำที่ทำร้ายผู้คนได้โดยอาศัยพลังของชัยฏอนมารร้าย
เวทมนต์และไสยศาสตร์ มิได้มีพลังโดยตัวของมันเองหากแต่อาศัยพลังของซาตานมารร้าย ดังนั้นผู้ที่จะเป็นนักไสยศาสตร์ได้ก็ต้องปฏิเสธอัลลอฮ์ และบรรดาเราะซูล(ศาสดาหรือนะบี)เสียก่อนด้วยวิธีการต่างๆ ตามที่ซาตานกระซิบบอก เช่น เขียนอัลกุรอ่านด้วยเลือดสุนัข ด้วยเลือดประจำเดือนของสตรี นำอัลกุรอ่านไปทิ้งลงในที่ๆสกปรกที่สุด หรือร้องขอต่อชัยฏอน อย่างนี้เป็นต้อง
และเราคงเคยได้ยินคำว่า "ญิน" มาบ้างแล้ว แต่ก็คงมีอีหลายคนเช่นกันที่ยังไม่ทราบว่า ญินมาเกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์อย่างไร ญินคือสิ่งถูกสร้างประเภทหนึ่งที่อยู่ต่างมิติไปจากมนุษย์ แต่มิใช่มะลาอิกะห์ ญินและมนุษย์มีส่วนคล้ายกันบ้างเช่นมีปัญญารับรู้และได้รับสิทธิในการเลือก เฟ้น แต่ก็ต่างกันหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุของแต่ละฝ่าย คำว่า "ญิน" มีความหมายในเชิงปกปิดซ่อนเร้นจากสายตามนุษย์ กล่าวคือมนุษย์ไม่สามารถมองเห็น "ญิน" ได้(หากเขามิได้จำแลงให้เห็น) อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
"แท้จริงเขาเห็นพวกเจ้า ทั้งเขาและผู้ที่เป็นประเภทเดียวกับเขา โดยที่พวกเจ้าไม่เห็นพวกเขา" (อัลอะอ์ร๊อฟ/27)
ญิน เป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกสร้างมาจากไฟในขณะที่มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกสร้าง มาจากดิน ซึ่งญินมีทั้งดีและชั่ว ญินที่ชั่วคือชัยฏอนหรือมารร้ายและหัวหน้าของชัยฏอนคืออิบลีส เนื่อง จากญินถูกสร้างจากไฟ และมนุษย์มีธาตุไฟอยู่ซึ่งเป็นช่องทางทำให้มันสามารถแทรกเข้าไปในตัวคนได้ ในกรณีที่คนผู้นั้นมีความศรัทธาอ่อนแอ และเมื่อมันเข้าไปแล้วมันก็จะแสดงพฤติกรรมของมันผ่านทางตัวคนนั้น จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่เราจะเห็นผู้หญิงแก่ที่ถูกญินเข้าสามารถว่ายน้ำได้ เหมือนผู้ชายร่างกายแข็งแรง หรือบางครั้งพูดภาษาต่างประเทศได้
ในคัมภีร์กุรอานและในฮะดีษบอกให้เรารู้ว่ามนุษย์บางคนก็เป็นเพื่อนกับชัยฏอน เช่น คนที่สุรุ่ยสุร่ายเป็นพวกพ้องของชัยฏอน เป็นต้น ทุกคนที่มีความสัมพันธ์กับญินจนถึงขั้นเลี้ยงไว้ใช้งานจะได้รับความทรมานและ ทุรนทุรายก่อนตาย หากไม่หาคนมารับมันไปเลี้ยงต่อ ญิน มีความสามารถแตกต่างจากมนุษย์ อัลกุรอ่านได้เล่าถึง "อิฟรี ต" ผู้เป็นญินที่รับใช้ท่านนบีสุลัยมานว่าสามารถย้ายบัลลังก์ของ "บัลก๊อยส์"มาให้ท่านนะบีสุลัยมานได้ในพริบตา (ดูอัลกุรอ่าน บท อัลนัมลุ / 38-39) อีกทั้งสามารถจำแลงตนเป็นรูปร่างต่างๆได้ มนุษย์จึงสามารถเห็นญินได้นอกเหนือจากนี้ญินยังสามารถทำร้ายมนุษย์ได้ด้วย วิธีการต่างๆ หมอไสยศาสตร์จึงได้ใช้ญินเป็นสื่อเพื่อที่จะให้ผู้คนเชื่อว่าเขามีพลังอำนาจ สามารถล่วงรู้สิ่งต่างๆ สามารถสร้างความเจ็บป่วยหรือความสบายให้ใครๆได้ แต่หารู้ไม่ว่าเขากำลังนำพาตัวของเขาและผู้ที่หลงเชื่อตามเขาไปสู่ความหายนะ ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
(โอ้ อัลลอฮ์ พระองค์ผู้ทรงสามารถ ขอให้เราปลอดภัยจากสิ่งเหล่านั้นด้วยเถิด)
ที่มา
http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=50&id=1132
มนต์ดำยังมีอยู่?
ว่ากันว่าความรู้ที่เรานั้นนำมาใช้กันให้เกิดผลประโยชน์นั้นเขามักเรียกสิ่ง เหล่านี้ว่าวิชาความรู้ แต่หากความรู้ที่ไม่สามารถนำมายังประโยชน์สิ่งเหล่านี้เขามักเรียกว่า อวิชา
คำว่าอวิชานั้นมีความหมายทางภาษาว่าไม่ใช้วิชา ซึ่งความรู้ทุกอย่างที่อาจก่อให้เกิดภัยอันตรายและไม่ส่งผลดีแก่ตัวผู้ใช้ และตัวผู้อื่น โดยสิ่งเหล่านี้มักจะถูกเรียกในเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้เวทมนต์คาถา
คำว่ามนต์ดำนั้นมีความหมายครอบคลุมที่เกี่ยวกับไสยเวทย์ที่ไม่ ดีแต่ที่จริงแล้วรวมไปถึงความรู้ที่เป็นพิษภัยต่อสังคมด้วยเช่นความรู้ทางมิ ชฉาชีพเป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้คนมักจะมองว่ามันเป็นว่าเป็นเรื่องที่เหลวไหลและงมงาย แต่ข้อเท็จจริงแล้วสิ่งเหล่านี้มีจริงและมีมานานแล้วด้วยและก็เป็นที่แพร่ หลายกันมากในหมู่เอเชีย
อันที่จริงแล้ววิชาเหล่านี้มีเรื่องเล่ากันมากมายและนมนานที่ เล่าว่าวิชาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เหล่าบรรดามาลาอีกะฮฺนำมาสอนแต่ก่อนที่ท่าน จะสอนท่านบอกกับผู้เรียว่ามันคือสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งวิชาเหล่านี้นั้นรุ่งเรืองที่สุดในยุคสมัย ศาสดาสุไลมานและยังคงตกทอดมาถึงทุกวันนี้ โดยมีบทบัญญัติจากอัลลอฮฺว่าห้ามผู้ที่เป็นมุสลิมยุ่งเกี่ยวกับวิชาเหล่านี้ โดยเด็ดขาด หากใครที่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้จะเข้าข่ายทำชิริกทันที
ในปัจจุบันนี้วิชาเหล่านี้ยังคงเป็นที่แพร่หลายมาก โดยล่าสุดที่มาเลย์ได้มีการออกกฏหมายว่าห้ามใช้มนต์คาถา หนังสือพิมพ์นิว สเตรทส์ ไทมส์ในมาเลเซียรายงานว่า นักสอนศาสนาอิสลามต้องการให้ทางการออกกฎหมายห้ามการใช้คุณไสยมนตร์ดำเพื่อ ช่วยยับยั้งกระแสใช้มนตร์ดำในการโจรกรรม ศาสนาอิสลามห้ามการใช้คุณไสยแต่ไม่มีการระบุห้ามชัดเจนในกฎหมายอิสลาม หรือกฎหมายพลเรือน ขณะเดียวกันมีข่าวว่ามีการใช้คุณไสยมนตร์ดำอย่างแพร่หลายในมาเลเซีย ว่ากันว่าหัวขโมยทั้งหลายใช้เวทมนตร์ช่วยให้โจรกรรมสำเร็จ ฮารอน ดิน นักสอนศาสนาผู้เป็นที่เคารพคนหนึ่งกล่าวในการสัมมนาว่า พูดกันว่าอาชญากรใช้วิธีตบหลังหรือพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าเพื่อร่ายมนตร์ให้ เหยื่อถูกโจรกรรมอย่างไม่รู้ตัว หนทางหนึ่งที่จะจับบุคคลเหล่านี้คือต้องหาหลักฐานที่เป็นวัตถุที่ใช้ประกอบ พิธีกรรม เช่น กะโหลกสัตว์ ลูกประคำธูป กริชเก่า ๆ ส่วนโมฮาเหม็ด ทามเยส อับดุล วาฮิด นักสอนศาสนาทรงอิทธิพลผู้จัดการสัมมนาเห็นว่า ควรออกกฎหมายห้ามการใช้มนตร์ดำกับคนทุกศาสนาในมาเลเซีย ส่วนบทลงโทษผู้ใช้มนตร์ดำตามกฎหมายอิสลามในขณะนี้คือการเฆี่ยนและเนรเทศออก จากหมู่บ้าน
อิสลามสอนให้เราเชื่อว่าวิชาเหล่านี้มีจริงและหมั่นคอยป้องกัน และระวังขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺแต่อิสลามไม่ได้สอนให้เราศรัทธาในมันและ เรียนรู้มันเพราะวิชาเหล่านี้นั้นต้องใช้ญินและไชยตอนในการเข้าช่วย และมีตัวบทบอกว่าใครที่ยุ่งเกี่ยวหรือคบหาสิ่งเหล่านนี้เป็นมิตร เขาผู้นั้นเหมือนกับทำชิริก
ที่มา http://www.thaimuslim.com/overview.php?id=7262
อ้างอิง ในต่างประเทศ
สำนักข่าวมุสลิมไทย ไสยศาสตร์ยังแพร่หลายในซาอุดี้
สำนักข่าว เอพี. - ศาลสูงซาอุดี้พลิกคำพิพากษาประหารชีวิต อะลี ซีบาต ชาวเลบานอน ซึ่งถูกข้อหาทำไสยศาสตร์ และปฏิเสธพระเจ้า โดยก่อนหน้านี้กลุ่มสิทธิ์มนุษยชนนานาชาติได้แสดงความคัดค้าน
การออกคำสั่งดังกล่าวมีขึ้นเมื่อวันพฤหัส (11/11) โดยผู้พิพากษา 3 คนมีความเห็นตรงกันว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าการกระทำของซีบาตได้ทำอันตรายต่อบุคคลอื่น ศาลสูงได้ส่งคดีกลับไปให้ศาลที่มาดินะพิจารณา และแนะนำว่าควรเปลี่ยนการลงโทษเป็นการเนรเทศออกนอกประเทศ
ซีบาตเป็น เจ้าของรายการทอล์คโชว์ที่แพร่ภาพทางสถานีผ่านดาวเทียมในเลบานอน รายการดังกล่าวเป็นลักษณะการทำนายโชคชะตา และให้คำแนะนำแก่ผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาสอบถาม เขาถูกตำรวจศาสนาซาอุดี้จับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2008 ระหว่างมาเยือนสถานศักดิ์สิทธิ์ในเมืองมาดินะ และถูกตัดสินประหารชีวิตในเดือนพฤศจิกายน 2009
ทนายเลบานอนของเขาแก้ คดีว่า การกระทำของซีบาตไม่ได้เกิดขึ้นบนแผ่นดินซาอุดี้ แต่เป็นเพียงการแพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่รับสัญญาณได้ในซาอุ ดี้
ระบบยุติธรรมของซาอุดี้ไม่ได้มีการกำหนดโทษที่แน่นอนของความผิด ในการทำไสยศาสตร์ ทุกปีมีรายงานคนจำนวนมากถูกจับในข้อหาเป็นพ่อมดหมอผี ทำเสน่ห์ มนต์ดำ และทำนายโชคชะตา ซึ่งฝ่ายศาสนาที่เคร่งครัดในซาอุดี้ถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นชีริก
ข้อมูล ขององค์กรนิรโทษกรรมสากลระบุว่า มุสตาฟา อิบรอฮีม นักปรุงยาชาวอียิปต์ คือผู้ที่ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยโทษลักษณะนี้ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2007 โดยมีหลักฐานว่าเขาใช้มนต์ดำเพื่อทำให้ผัว-เมียแยกกัน
ถึงแม้อาจจะ ได้รับโทษที่หนักหนาสาหัส และผู้พิพากษาได้อ้างโองการในอัล-กุรอานที่ห้ามการกระทำเช่นนี้ แต่การเชื่อถือโชคลาง และทำ ไสยศาสตร์ก็แพร่หลายในซาอุดี้ โดยมีการทำในหลายรูปแบบนับตั้งแต่ การทำเสน่ห์ยาแฝดให้รักให้หลง การรักษาโรคด้วยเวทย์มนต์ การทำพิธีขอลูกสืบสกุล เป็นต้น
เมื่อเดือน มกราคม ศาลอุทธรณ์ในมักกะฮฺตกลงจะทบทวนคำตัดสินประหารชีวิต ซึ่งศาลชั้นต้นในมาดินะพิพากษาไว้ แต่ในเดือนมีนาคม ผู้พิพากษาอีกชุดหนึ่งในมาดินะพิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้นโดยอ้าง ว่าการกระทำที่ปรากฏทางโทรทัศน์แสดงว่าซีบาตรเป็นผู้ปฏิเสธพระเจ้า
http://www.muslimthai.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
โปรดใช้วิจารณญานในการแสดงความคิดเห็น