เชลยศึกสตรีที่ถูกนักรบมุสลิมปฏิบัติต่อนางอย่างหยาบคาย

 เชลยศึกสตรีที่ถูกนักรบมุสลิมปฏิบัติต่อนางอย่างหยาบคาย

      มุสลิมถอนทัพออกจากเมืองฏออีฟ เพื่อกลับนครมักกะฮ์ตามคำสั่งของท่านนบี(ศาสนทูต)มูฮัหมัด เมื่อกองทัพเดินทางมาถึงตำบลอับญิอ์รอนะฮ์ อันเป็นที่ที่พวกเขาที้งเชลยศึกและทรัพย์สงครามไว้ จึงได้หยุดทัพเพื่อแบ่งทรัพย์สงครามอันมากมายที่ยึดมาได้จากเผ่าฮาวาซิน ในสงครามที่ผ่านมา ท่านนบีแบ่งไว้หนึ่งในห้าสำหรับตัวท่าน ส่วนที่เหลือเป็นของนักรบมุสลิมตามหลักที่เคยแบ่งกันมา ในขณะนั้นผู้แทนกลุ่มหนึ่งของเผ่าฮาวาซิน ที่ได้เข้ารับอิสลามแล้ว ในช่วงที่กองทัพมุสิลิมไล่ติดตามหัวหน้าของพวกเขาไปที่เมืองฏออีฟ ได้ขอเข้าพบท่านนบี และได้ขอร้องให้ท่านนบีคืน พวกผู้หญิง และเด็กๆ ที่ตกเป็นเชลยเพราะผู้หญิงและเด็กเหล่านั้นถูกนักรบของพวกเขาให้ออกมากับกองทัพด้วย เมื่อกองทัพแตกพ่ายไปพวกเขาก็ตกเป็นเชลย รวมทั้งทรัพย์สมบัติที่พวกเขาขนมากับกองทัพก็ตกเป็นของฝ่ายมุสลิมด้วย พวกเขากล่าวว่าอยากพบกับครอบครัวของเขาและได้ทนทุกข์มามากแล้วจากสงคราม ท่านนบีรับฟังการอ้อนวอนของพวกเขาด้วยความใส่ใจ ผู้แทนของเขากล่าวทำนองที่ว่า

      “โอ้ท่านศาสนทูตของพระเจ้า บรรดาเชลยศึกที่ถูกควบคุมเหล่านั้น ต่างก็เป็นเครือญาติของท่าน ในบรรดาคนเหล่านั้น มีพี่ป้าน้าอา ที่เกี่ยวพันกับบิดาและมารดาของท่าน รวมทั้งเครือญาติของแม่นมที่เคยเลี้ยงดูท่านมาตอนที่ท่านยังเป็นทารก หากมีกษัตริย์ องค์ใดที่ได้ทำความเสียหายแก่เราเหมือนอย่างที่ท่านทำ พระองค์ก็คงอนุญาตให้ตามคำขอของเรา หากเราของความเมตตากรุณาจาก กษัตริย์เหล่านั้น ท่านนั้นเป็นผู้มีความเมตตากรุณาและจำเป็นน้อยที่สุดในการที่จะเตือนให้นึกถึงหน้าที่ของท่าน”

      อีกด้านหนึ่งในหมู่เชลยศึกนั้น มีหญิงสูงอายุผู้หนึ่งที่ได้รับการปฏิบัติอย่างหยาบคายจากนักรบมุสลิม นางโกรธและตะโกนใส่หน้าพวกนักรบเหล่านั้นว่า

      “พวกเจ้าจงพินาศเถิด ขอให้รู้ด้วยว่า ฉันนั้นคือพี่สาวของผู้นำของท่าน เพราะฉันมีแม่นมคนเดียวกับเขา”(โดยชาวอาหรับนั้นถือว่า หากเด็กคนใดได้มีแม่นมและดื่มนมจากเต้าแม่นมคนเดียวกันนั้น ถือว่าเด็กเหล่านั้นเป็นพี่น้องกันตลอดไปแม้จะเป็นคนละพ่อแม่กันก็ตาม)

      พวกทหารไม่เชื่อนางและได้นำตัวมาหาท่านบีมูฮัมหมัด เมื่อท่านนบีเห็นนางท่านจำนางได้ทันทีว่านางคือ ชัยมะฮ์ ลูกสาวของ อัล ฮาริษ อิบนุล อับดุลอุซซา

      ท่านได้ลุกขึ้นเดินไปหานาง ถอดเสื้อคลุมออกและคลี่เสื้อคลุมของท่านปูให้นางนั่ง และยืนยันถึงความนับถือของท่าน ท่านได้ถามนางว่าจะเลือกเอาอะไร ระหว่างการอยู่ในค่ายกับท่าน หรือจะกลับไปหาพวกของนาง ซึ่งนางเลือกที่จะกลับไป ท่านได้มอบของขวัญและส่งนางกลับไปหาพวกพ้องของนาง

       จากเหตุการณ์นี้ เมื่อท่านคิดถึงคำวิงวอนของเผ่าฮาวาซิน ยิ่งทำให้มีผลต่อท่านที่จะทำตามคำขอของพวกเขา ซึ่งความกตัญญูและจิตใจที่สงสารต่อผู้บาดเจ็บนั้นเป็นอุปนิสัยโดยปกติของท่าน ท่านนบีได้ถามพวกเผ่าฮาวาซินว่า

      “สิ่งใดมีค่าสำหรับท่านมากกว่ากัน ระหว่างผู้หญิงและเด็กๆ กับทรัพย์สมบัติของพวกท่าน”

 พวกเขาตอบว่า

 “โอ้ท่านศาสนทูตของพระเจ้า ถ้าท่านให้เราเลือกระหว่างญาติพี่น้อง กับทรัพย์สมบัติของเราแล้ว พวกเราเลือกอย่างแรก”

  ท่านได้ตอบว่า

       “ทั้งหมดที่ฉันได้แบ่งไว้เป็นส่วนของฉัน และของเผ่า อับดุล มุฏฏอลิบ(เผ่าที่เป็นเครือญาติใกล้ชิดท่าน)นั้น เป็นของพวกท่านแล้ว”

       ท่านบอกให้คนของเผ่าฮาวาซินอ้อนวอนต่อมุสลิม ในตอนเวลาละหมาด(นมาซ) บ่ายมาถึง หลังเสร็จพิธี ตัวแทนของเผ่าฮาวาซินก็ลุกขึ้นกล่าวว่า(เพราะคนเผ่าฮาวิซินกลุ่มนี้ได้รับอิสลามแล้วจึงละหมาดร่วมกับนักรบมุสลิม)

      “เราขอวิงวอนต่อท่านทั้งหลายในนามของศาสนทูตของพระเจ้าและขอวิงวอนต่อศาสนทูตของพระเจ้าในนามของมุสลิมทั้งหลาย ขอให้คืนพวกผู้หญิงและเด็กๆของพวกเราแก่พวกเราเถิด”

      แล้วท่านนบีก็ประกาศขึ้นว่า ท่านขอยกส่วนแบ่งของท่านและเผ่าของท่าน คืนให้แก่เผ่าฮาวาซิน หลังคำประกาศของท่านนบี กลุ่มมุฮาญิรูน(กลุ่มผู้ที่อพยพมาพร้อมกับท่านนบี)ได้ลุกขึ้นกว่าวว่า

      “สิ่งใดก็ตามที่เป็นของพวกเรา ย่อมเป็นของท่านศาสนทูตของพระเจ้าเช่นกัน ดังนั้นจึงได้ถูกสละแล้ว”

      แล้วนักรบกลุ่มอันศอร์(ชาวเมืองยัซริบผู้ช่วยเหลือผู้อพยพ)ก็ได้ลุกขึ้นกล่าวเช่นเดียวกัน มุสลิมในกลุ่มอื่นก็เช่นเดียวกัน ต่างก็ยอมมอบส่วนแบ่งของตนคืนให้แก่เผ่าฮาวาซิน ยกเว้น อัลอักรอ อิบนุ ฮาบิส ตัวแทนของเผ่าตะมีม และอุยัยนะฮ์ ที่ตัวเขาอ้างสิทธิของตัวเขา และอัลอับบาส อิบนุมิรดา ผู้เป็นตัวแทนของเผ่า บะนูสุลัยม์ ที่ผู้คนของเขาแสดงอาการคัดค้าน ท่านนบีจึงกล่าวว่า

      “ผู้ใดก็ตามในหมู่พวกท่านมีความโน้มเอียงที่จะสละสิทธิ์ของตนในตอนนี้ ฉันสัญญาว่า ฉันจะให้ส่วนแบ่งแก่เขาถึงหกเท่า ในการรบคราวหน้า”

      ด้วยการทำดังนี้ของท่านจึงไม่มีใครคัดค้าน หรือไม่พอใจ ดังนั้นเชลยศึกเผ่าฮาวาซินทั้งหมดได้ถูกปลดปล่อย และคนเผ่านี้ทั้งหมดก็ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม

ที่มา

http://oknation.nationtv.tv/blog/dragonball/2011/10/05/entry-2

ความคิดเห็น