หลักการอิสลามกับ การเบี่ยงเบนทางเพศในหลักคำสอน

 การเบี่ยงเบนทางเพศในอิสลาม

 

         ในยุคปัจจุบันนี้นั้นมีข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับบรรดา ผู้ชายรักผู้ชาย ผู้หญิงรักผู้หญิง ผู้ชายแปลงเพศ หรือการเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ในการเป็นเพศ ที่ 3 (ตามที่ศัพท์ชาวโลกเข้าใจ)  จึงสังเกตเห็นได้ว่ากรณีผู้ชายแต่งงานกับผู้ชายให้เห็นกันอยู่ตลอด ก่อนที่จะทำความเข้าใจถึงหลักคำสอนของอิสลามเกี่ยวกับในลักษณะเช่นนี้ คงจะต้องทำความเข้าใจกับความหมายของกลุ่มบุคคลที่เบี่ยงเบนทางเพศเสียก่อน
- เกย์ หมายถึง ผู้ชาย ที่คิดว่าตนเองเป็นผู้ชาย แต่ชอบผู้ชาย
- กะเทย หมายถึง ผู้ชาย ที่คิดว่าตนเองเป็นผู้หญิง และชอบผู้ชายหรือทอม
- ทอม หมายถึง ผู้หญิง ที่คิดว่าตนเองเป็นผู้ชาย และชอบผู้หญิงหรือกะเทย
- ดี้ หมายถึง ผู้หญิง ที่คิดว่าตนเองเป็นผู้หญิง และชอบผู้หญิงหรือกะเทย
- เลสเบี้ยน หมายถึงผู้หญิงธรรมดาสองคนเปิดวงมโหรีขึ้น
ที่มา
(http://th.uncyclopedia.info/wiki/ความแตกต่างของคำว่า_เกย์_กระเทย_ทอม_ดี้)
#การเบี่ยงเบนทางเพศในอดีต
          การเบี่ยงเบนทางเพศ ที่ได้สร้างความอัปยศทางจริยธรรมด้วยการสมสู่ผู้ชายด้วยกันนั้น มิได้เพิ่งเริ่มเกิดขึ้นเพียงแค่ในยุคปัจจุบันนี้เท่านั้น แต่เหตุการณ์ในลักษณะการสมสู่ผู้ชายด้วยกันนั้น ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคสมัยของนบีลูฏ อะลัยฮิสลาม ในเมืองสะดูม ซึ่งขณะนั้นพระองค์อัลลอฮฺ ทรงส่งท่านนบีลูฏ อะลัยฮิสลาม มาประกาศศาสนา โดยที่ท่านนบีลูฏ ได้เรียกร้องไปสู่การภักดีต่ออัลลอฮฺ และให้ระวังการลงโทษที่ยิ่งใหญ่จากอัลลอฮฺ  เนื่องด้วยกับพฤติกรรมอันโสมมนี้ ที่ทำลายกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติที่พระองค์อัลลอฮ์  ทรงสร้าง ผู้ชายคู่กับผู้หญิง
          แต่ปรากฏว่าการเรียกร้องและตักเตือนของนบีลูฏ อะลัยฮิสลาม นั้นไร้ผล เมื่อกลุ่มชนชาวสะดูมไม่เลิกพฤติกรรมอันโสมมนี้ ดังที่พระองค์ อัลลอฮฺ  ทรงเล่าเหตุการณ์ในอดีตว่า
       “และจงรำลึกถึงลูฏ ขณะที่เขาได้กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า
          ท่านทั้งหลายจะประกอบสิ่งชั่วช้าน่า รังเกียจ ซึ่งไม่มีคนใดในหมู่ประชาชาติทั้งหลายได้ประกอบมันมาก่อนพวกท่านกระนั้น ?
            แท้จริง พวกท่านจะสมสู่เพศชายด้วยตัณหาราคะอื่นจากเพศหญิง ยิ่งกว่าพวกท่านยังเป็นพวกที่ละเมิดขอบเขตด้วย”
(อัลอะอฺรอฟ : 80-81)
          “และ (จงรำลึกถึง) ลูฏ เมื่อเขากล่าวแก่หมู่ชนของเขาว่า พวกท่านกระทำการลามกทั้งๆ ที่พวกท่าน รู้เห็นอยู่กระนั้นหรือ ?
         แท้จริง พวกท่านสมสู่พวกผู้ชายด้วยตัณหา แทนพวกผู้หญิงกระนั้นหรือ ? ยิ่งกว่านั้นพวกท่านเป็นหมู่ชนที่โง่เขลา”
(อันนัมลฺ : 54-55)
          ในเมื่อคำตักเตือนของนบีลูฏ ไม่สามารภทำให้ชาวเมืองสะดูมเชื่อฟังได้ และยังคงฝ่าฝืน อีกทั้งมีพฤติกรรมอันโสมมนี้ ดังนั้นสุดท้ายการลงโทษครั้งยิ่งใหญ่ของ อัลลอฮฺ  ต่อชาวสะดูมก็มาถึง
           “และเราได้ให้ฝน ตกลงมาบนพวกเขาแล้วเจ้า จงดูเถิดว่า ผลสุดท้ายของบรรดาผู้กระทำผิดนั้นเป็น อย่างไร?”(อัลอะอฺรอฟ : 84)
        “หมู่ชนของลูฏได้ปฏิเสธต่อการตักเตือน  แท้จริง เราได้ส่งพายุหินจากท้องฟ้าลงบนพวกเขา นอกจากวงศ์วานของลูฏ เราได้ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นในยามรุ่งสาง”
(อัลกอมัร : 3-4)
#การเบี่ยงเบนทางเพศในยุคปัจจุบัน
        ปัจจุบันแม้โลกจะเปลี่ยนไปจากสมัยนบีลูฏ กี่พัน กี่หมื่นปี (วัลลอฮุอะอฺลัม) แล้วก็ตาม แต่พฤติกรรมอันโสมมของชาวสะดูมนั้นยังไม่หมดไปจากโลก มิหนำซ้ำยังแพร่หลายไปทั่วโลก กลุ่มบุคคลเหล่านี้ประกาศตัวตนอย่าง ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น กระเทย เกย์ ทอม ดี้ ทั้งหลาย มีการจัดงาน แต่งงานระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย และที่น่าอดสู่ยิ่ง คือมีการจัดประกวดกระเทยสวย ให้เป็นที่ยอมรับของสังคม  ฉะนั้นจึงเริ่มเห็นการแสดงตนของ กลุ่มคนเหล่านี้ ออกมาเรื่อย ๆ
#อิสลามกับการเบี่ยงเบนทางเพศ
    อิสลามห้ามมิให้มุสลิมมีพฤติกรรมการเบี่ยงเบนทางเพศ ไม่ว่าจะเป็น กระเทย เกย์ ทอม ดี้ เป็นต้น เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการผิดธรรมชาติ ที่อัลลอฮฺ  ทรงสร้างมนุษย์มา และเป็นการเปลี่ยนการสร้าง ของอัลลอฮฺ   พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า
         “โดยแน่นอนเราได้บังเกิดมนุษย์มาในรูปแบบที่สวยงามยิ่ง”
(อัตตีน : 4)
         บทเรียนในอดีตของกลุ่มชนชาวสะดูมในสมัยนบีลูฏ อะลัยฮิสลาม ที่พระองค์อัลลอฮ์ ทรงแจ้งให้เราทราบนั้น น่าจะเป็นข้อเตือนใจที่ต้องจดจำ ที่ต้องระมัดระวัง มิให้พฤติกรรมอันโสมมเหล่านั้นเกิดขึ้นอีกในสังคม ซึ่งท่านนบี  กลัวว่าอุมมะฮฺของท่านจะมีพฤติกรรมดังเช่นพฤติกรรมของชาวสะดูมในสมัยนบีลูฏ อะลัยฮิสลาม
         มีรายงานจากญาบิรฺ อิบนิ อับดิลลาฮฺ เล่าว่า ท่านร่อซูล  กล่าวว่า
        “อันที่จริงสิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุดว่าจะเกิดกับประชาชาติของฉัน คือการมีพฤติกรรมเสมือนกับกลุ่มชน ของนบีลูฏ”
(บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ : 2563 ติรมีซียฺ : 1457 เศาะเหี๊ยะหฺอิบนุมาญะฮฺอัลบานียฺ : 2093 เศาะเหี๊ยะหฺอัลญามิอ ฺอัลบานียฺ : 1552 เศาะเหี๊ยะหฺติรมีซียฺ : 1457)
            แต่ปรากฏว่าในสังคมมุสลิมปัจจุบัน ก็มีบุคคลที่ปฏิบัติตนเบี่ยงเบนทางเพศ ผู้ชายมีพฤติกรรมเลียนแบบผู้หญิงใน การพูด เดิน แต่งตัว แต่งหน้า ทาปาก เป็นต้น ซึ่งคนที่มี
        พฤติกรรมในลักษณะเช่นนี้ต้องเลิกโดยเด็ดขาด นอกจากจะมีพฤติกรรมที่ผิดธรรมชาติที่อัลลอฮฺ  ทรงสร้างมนุษย์มาแล้ว พวกเขายังเป็นกลุ่มคนที่ถูกอัลลอฮฺ  และนบี  สาปแช่ง และขับไล่อยู่ตลอด
        มีรายงานจากอิบนิ อับบาส เล่าว่า ท่านร่อซูล  กล่าวว่า
          “อัลลอฮฺ ทรงสาปแช่งผู้หญิงที่ทำตัวเลียนแบบผู้ชาย และผู้ชายที่ทำตัวเลียนแบบผู้หญิง”
(ดูมัญมัวอฺอัลฟะตาวาอิบนุตัยมียะฮฺ : 22/156 อัลญามิอุศเศาะฆีรอัซซุญูตียฺ : 7265 เศาะเหี๊ยะหุลญามิอฺอัลบานียฺ : 5100 มัญมัวอฺอันนะวาวียฺ : 4/469)
           มีรายงานจากอิบนิ อับบาส เล่าว่า
        “อันที่จริงท่านนบี  ได้สาปแช่งผู้ชายที่เลียนแบบผู้หญิง และผู้หญิงที่เลียน แบบผู้ชาย และท่านได้กล่าว ต่อว่า
         พวกท่านทั้งหลายจงขับไล่พวกเขา (บุคคลที่เลียนแบบเพศตรงข้าม)ให้ออกไปจากบ้านเรือนของพวกท่าน
       และพวกท่านทั้งหลายจงขับไล่พวกนั้น พวกนี้ หมายถึงบุคคล ที่เลียนแบบเพศตรงข้าม”
(บันทึกโดยอบูดาวุด : 4930 เศาะเหี๊ยะหฺอบูดาวุดอัลบานียฺ : 4930)
          หะดีษข้างต้นชี้ให้เห็นว่าการที่ผู้ชายเลียนแบบผู้หญิง และผู้หญิงเลียนแบบผู้ชายนั้น เป็นเรื่องที่ร้ายมาก ท่านนบี  ได้สาปแช่งบุคคลเหล่านี้ ซึ่งการสาปแช่งของท่านนั้นหมายถึง ขอให้ห่างไกลจากความเมตตาและความพอพระทัยของพระองค์อัลลอฮ์และให้ขับไล่บุคคลประเภทนี้ออกจากบ้าน มิหนำซ้ำบุคคลเหล่านี้ยังไม่ถือว่าเป็นประชาชาติของท่านนบี  อีกด้วย
          มีรายงานจากอับดุลลอฮฺ อิบนิ อัมรฺ อิบนิ อาศ เล่าว่า ฉันได้ยิน ท่านร่อซูล  กล่าวว่า
       “ไม่ถือว่าเป็นประชาชาติของฉัน ผู้ชายที่ทำตัวเป็นผู้หญิง และผู้หญิงที่ทำตัวเป็นผู้ชาย”
(บันทึกโดยอะหฺมัด : 6836 อัลญามิอุศเศาะฆีรอัซซุญูตียฺ : 7678 เศาะเหี๊ยะหุลญามิอฺอัลบานียฺ : 5433)
       มีรายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า
      “ท่านร่อซูล  ได้สาปแช่งผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแบบผู้หญิง และผู้หญิงที่สวม เสื้อผ้าแบบผู้ชาย”
(บันทึกโดยอบูดาวุด : 4098 เศาะเหี๊ยะหฺอบูดาวุด : 4098 มัญมัวอฺอันนะวาวียฺ : 4/469)
      มีรายงานจากอบีซะอี๊ด อัลคุดรียฺ เล่าว่า อันที่จริงท่านร่อซูล  กล่าวว่า
      “ห้ามผู้ชายมองดูเอาเราะฮฺของผู้ชายด้วยกัน และก็ห้ามผู้หญิงมองดูเอาเราะฮฺของผู้หญิงด้วยกัน
        และห้ามผู้ชายนอนเปลือยกาย ร่วมกับผู้ชายในผ้าห่มผืนเดียวกันและไม่อนุญาติให้ผู้หญิงนอนเปลือย กายร่วมกับผู้หญิงในผ้าห่มผืนเดียวกัน”
(บันทึกโดยมุสลิม : 338 ติรมีซียฺ : 2793 อะหฺมัด : 11207)
         อิสลามนั้นมิได้แค่เพียงห้ามเฉพาะมิให้ผู้ชายเลียนแบบผู้หญิง ผู้หญิงเลียนแบบผู้ชายหรือแม้กระทั่ง เป็นกะเทย เป็นเกย์ เท่านั้น แต่อิสลามป้องกันตั้งแต่ห้ามมิให้ผู้ชายสวมใส่เสื้อผ้าผู้หญิง หรือผู้หญิงสวมใส่เสื้อผ้าผู้ชาย หรือแม้กระทั่งการมองอวัยวะพึงสงวนของเพศเดียวกันก็ตาม
         ฉะนั้น การเบี่ยงเบนทางเพศ หรือ การเลียนแบบเพศตรงข้าม อัลลอฮฺ  ทรงสาปแช่งและประณาม  การกระทำของผู้เบี่ยงเบนทางเพศเช่นนั้นทำให้ความเป็นอยู่บนโลกนี้ไม่มีความจำเริญ และแน่นอนเหลือเกินว่าบรรดาผู้ศรัทธาจะต้องไม่เห็นดี เห็นงาม กับพฤติกรรมเหล่านี้เป็นอันขาด มิหนำซ้ำยังต้องแสดงความไม่ พอใจกับพฤติกรรมเหล่านี้ เพราะพฤติกรรมเหล่านี้ กำลังเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลลอฮฺ เสมือนจะบอกว่าคนเหล่านี้ ไม่พอใจในการสร้างของอัลลอฮ์

ที่มา :  http://www.halalthailand.com

ความคิดเห็น