เรื่องทรัพย์สงครามที่ทำให้นักรบมุสลิม แตกแยก

    เรื่องทรัพย์สงครามที่ทำให้นักรบมุสลิม แตกแยก

        แม้ การให้ทรัพย์สินของท่านนบี(ศาสนทูต)มูฮัมหมัด ต่อศัตรูที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามนั้น จะมาจากส่วนที่เป็นส่วนแบ่งของท่านทั้งหมด แต่ปัญหาซุบซิบกันในหมู่นักรบก็ยังไม่จางหายไป แต่กลับเกิดประเด็นใหม่ขึ้นมา จากนักรบชาวอันศอร์ ซึ่งเป็นเผ่าที่เป็นชาวพื้นเมืองมะดีนะฮ์ ที่ให้การช่วยเหลือท่านนบี และบรรดาผู้อพยพชาวมักกะฮ์ตั้งแต่แรก และเป็นชาวเผ่ากลุ่มแรกๆที่เข้ารับศาสนาอิสลามพวกเขาออกรบเคียงบ่าเคียงใหล่กับท่านนบีและผู้อพยพมาตลอดโดยไม่คิดถึงชีวิตหรือทรัพย์สมบัติครอบครัวของพวกเขา และพวกเขาเองยังเป็นผู้ที่พร้อมใจกันให้ท่านนบีขึ้นเป็น ผู้นำ หรือเจ้าเมือง หรือกษัตริย์แห่งเมือง ยัซริบ และเปลี่ยนชื่อเมืองของเขามาเป็นเมือง มะดีนะฮ์ อันหมายถึงเมืองแห่งท่าน ศาสนทูตของพระเจ้า และท่านนบีได้ให้สัตย์ว่าจะไม่ทอดทิ้งพวกเขาไม่ว่าจะเป็นยามสุขหรือยามทุกข์ก็ตาม ถึงแม้ท่านจะพิชิตเมืองมักกะฮ์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาวอารเบีย อันเป็นบ้านเกิดของท่านเองได้แล้วก็ตาม ซึ่งเมืองมักกะฮ์นั้นห่างจากมะดีนะฮ์ ราวสี่ร้อยกิโลเมตร หรือประมาณกรุงเทพเชียงใหม่ ท่านก็ยังยืนยันกับพวกเขาว่า ท่านจะอยู่ร่วมกับพวกเขา ชาวอันศอร์ ตลอดไป

      บางคนในกลุ่มชาวอันศอร์ กล่าวว่า ที่ท่านให้ทรัพย์สมบัติสิ่งของมากมายแก่บรรดาคนเหล่านั้น ก็เพราะคนเหล่านั้นเป็นญาติและอยู่ในเครือเผ่าเดียวกับท่าน ในที่สุดเรื่องนี้ก็มีผู้รายงานให้ท่านนบีทราบ ท่านนบีมีคำสั่งเรียกนักรบเผ่าอันศอร์มารวมกัน แล้วท่านก็กล่าวว่า

      โอ้ ชาวอันศอร์ มีผู้รายงานว่าพวกท่านนั้นมีความโกรธแค้น และไม่เห็นด้วยกับการแบ่งทรัพย์สงคราม ไหนลองบอกซิว่า เมื่อตอนที่ฉันมาหาท่านนั้น ฉันไม่ได้พบพวกท่านอ่อนเปลี้ยอยู่ในทางนำและการกระทำที่ผิดดอกหรือ และพระเจ้ามิได้ทรงให้นำทางพวกท่านไปสู่สัจธรรมโดยมีฉันเป็นสื่อดอกหรือ?

       ฉันมิได้พบพวกท่านอยู่ในสภาพที่แร้นแค้นและพระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงทำให้ท่านอุดมสมบูรณ์ดอกหรือ?

      ฉันมิได้พบพวกท่านเป็นศัตรูต่อกันและกันและพระเจ้ามิได้ทรงทำให้พวกท่านปรองดองกันดอกหรือ ?

       ชาว อันศอร์ได้ตอบออกมาด้วยความสับสนว่า

 แน่แท้ พระผู้เป็นเจ้าและศาสนทูตของพระองค์นั้นเอื้อเฟื้อและมีความรักต่อพวกเราอย่างยิ่ง

 ท่านนบีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วท่านจึงกล่าวต่อไปว่า

 “ พวกท่านจะไม่พูดอะไรมากกว่านี้หรือ? โอ้ชาวอันศอร์ด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ถ้าพวกท่านตอบว่า

 โอ้มูฮัมหมัด ท่านนั่นแหละที่ควรขอบคุณเรา ก็ท่านไม่ได้มาหาพวกเราโดยถูกพวกท่านเองหลอกลวง และพวกเรามิได้เชื่อท่านดอกหรือ?


 ท่านไม่ได้มาหาพวกเราในสภาพที่พ่ายแพ้ดอกหรือ และพวกเรามิได้ให้ที่พึ่งพาอาศัยแก่ท่านดอกหรือ ?

 ท่านไม่ได้มาหาพวกเราในสภาพที่แร้นแค้นขาดแคลน และเรามิได้ให้ทรัพย์สินแก่ท่านดอกหรือ?

 ถ้าพวกท่านตอบในทำนองนี้ ท่านก็มิได้พูดอะไรนอกจากความจริง และฉันก็คงต้องเห็นด้วย โอ้ชาวอันศอร์ ท่านโกรธแค้นฉัน ในเรื่องที่ฉันได้ให้สิ่งของบางอย่างไปแก่ผู้ที่ฉันพยายามจะเอาชนะใจเขาให้มารับอิสลามใช่ไหม?

 เพราะฉันคิดว่าความศรัทธาของพวกเขาจะมั่นคงได้เพราะสิ่งของที่เป็นวัตถุ ในขณะที่ฉันคิดว่าความศรัทธาของพวกท่านขึ้นอยู่กับความมั่นใจที่แข็งแกร่งแล้ว และเป็นไปด้วยน้ำใสใจจริงเหนือสิ่งอื่นใด ที่จะมาชักชวนพวกท่านให้ใขว้เขวออกไปได้

 พวกท่านยังไม่พอใจอีกหรือโอ้ชาวอันศอร์ ว่าผู้คนทั้งหลายกลับจากชัยชนะในสงครามด้วยทรัพย์สินและอูฐมากมาย ในขณะที่พวกท่านนั้นกลับมาพร้อมกับศาสนทูตแห่งพระผู้เป็นเจ้า?

 ด้วยพระนามของพระเจ้า ผู้ทรงครอบครองดวงวิญญาณของมูฮัมหมัด นอกจากเรื่องถิ่นกำเนิดของฉันแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดที่ฉันรักที่จะเป็นพวกเขา นอกจากชาวอันศอร์

 ถ้ามนุษย์ทั้งหมดเดินทางไปทางหนึ่งและชาวอันศอร์เดินไปอีกทางหนึ่ง ฉันก็ย่อมเลือกที่จะเดินทางไปในทางของชาวอันศอร์อย่างแน่นอน

 โอ้พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงอำนวยพรให้แก่ชาวอันศอร์ และลูกๆหลานๆของพวกเขาด้วยเถิด ขอได้ทรงเมตตาต่อพวกเขาและรักษาพวกเขาไว้ในการคุ้มครองของพระองค์เถิด’”

 คำพูดของท่านนั้นสะเทือนใจต่อตัวท่านเองและชาวอันศอร์เป็นอย่างมาก เพราะท่านและชาวอันศอร์นั้นได้เคยให้คำสัญญาต่อกันนับตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะอพยพไปอยู่ร่วมกับชาวอันศอร์ และเป็นความจริงใจที่ท่านมีต่อชาวอันศอร์จนท่านได้ร้องให้ออกมา ชาวอันศอร์ต่างได้สติ พวกเขาก็ร้องให้ไปกับท่านและประกาศว่า พวกเขาพึงพอใจแล้ว

 (ข้อมูลจาก หนังสือ ศาสดามูฮัมหมัด มหาบุรุษแห่งอิสลาม ภาค2 เขียนโดย หูซัยย์ ฮัยกัลป์ แปลโดย กิติมา อมรทัต ,อุ่น หมั่นทวี , จรัญ มะลูลีม หน้า 433)

 ทรัพย์สงครามที่ได้จากสงคราม หุนัยน์นั้น แม้จะมากมายกว่าในการรบทุกครั้งเท่าที่กองทัพมุสลิมเคยทำสงครามหรือเคยได้มา แต่ท่านก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่ท่านปรารถนาเลย ท่านใช้มันไปในการให้เพื่อประนีประนอมหัวใจผู้ที่เคยเป็นผู้ต่อต้าน ต่อพระเจ้ามาก่อน และท่านหวังว่าพวกเหล่านั้นคงได้พบกับความสุขทางโลกได้บ้างในศาสนาใหม่นี้ นอกจากความสุขแห่งโลกหน้าที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้

  ทรัพย์สินเหล่านั้นยังพิสูจน์จิตใจของชาวอันศอร์ต่อศรัทธาของพวกเขา และชี้ให้เห็นความยุติธรรมของท่านนบี และการวางแผนบริหารที่มองกาลไกล เอาชนะใจผู้คนรูปแบบต่างๆในคาบสมุทรอารเบียให้เลื่องลือ และทำให้ผู้คนของทุกฝ่ายทั้งที่เคยเป็นศัตรูต่ออิสลาม ที่หันมารับอิสลาม และมุสลิมที่มีศรัทธาอยู่แล้วได้เพิ่มพูนศรัทธาของพวกเขา ต่างเดินทางกลับบ้านด้วยความสุข และพึงพอใจที่จะวางชีวิตของพวกเขาไว้ในหนทางแห่งพระเจ้า

 แล้วมุสลิมก็ถอนทัพ ออกจากตำบล ญิรอนะฮ์ เพื่อไปทำพิธีเยี่ยมเยือนสักการะสถาน(ฮัจญ์เล็กหรือ อุมเราะฮ์) ที่วิหารกะอ์บะฮ์ บ้านแห่งพระเจ้าในนครมักกะฮ์ เมื่อเสร็จพิธีท่านได้แต่งตั้งให้ อัตตอบ อิบนุ อุซัยด์ ให้เป็นเจ้าเมืองมักกะฮ์ และให้ บุอาซ อิบนุ ญะบัล ให้เป็นผู้สอนศาสนาและอัลกุรอาน แล้วท่านก็เดินทางกลับเมืองมะดีนะฮ์พร้อมกับชาวอันศอร์(ผู้ช่วยเหลือ)และมุฮาญิรูน(ผู้อพยพย) และสันติภาพ และความสงบสุขก็เกิดขึ้นในคาบสมุทรอารเบียไประยะหนึง

 จดหมายฉบับนี้ของฉันก็ควรจบลงตรงความสงบสุขตรงนี้น่าจะดี ฉบับหน้าฉันจะเขียนมาเล่าถึงปัญหาภายในครอบครัวของท่านนบี กับภรรยาหลายคนของท่าน และความสุขของท่านกำลังจะได้ลูกชายคนหนึ่ง ในวัยที่ท่านเกือบจะอายุ 60 ปี

 ขอพระเจ้าทรงเมตตาให้มีความสุขนะจ้ะ

   Abu Abbas bin Huzah

ที่มาของบทความ

http://oknation.nationtv.tv/blog/dragonball/2011/10/09/entry-1


 



ความคิดเห็น