นิทานสะท้อนชีวิต เมีย 4 คน บนเส้นทางที่คุณเลือก คุณจะเลือกอย่างไร? "เค้ามีเมียสี่กันทั้งนั้น”

 นิทานสะท้อนชีวิต เมีย 4 คน บนเส้นทางที่คุณเลือก คุณจะเลือกอย่างไร?"เค้ามีเมียสี่กันทั้งนั้น”

           กาลครั้งหนึ่งมีเศรษฐีคนหนึ่งมีภรรยาสี่คน ภรรยาคนที่สี่ นั้น เธอเป็นที่โปรดปราณของเศรษฐีเป็นอย่างมาก เขาจึงคอยระแวดระวังดูแล ซื้อโน่นซื้อนี่ให้เธอ พร้อมทั้งได้แก้วแหวนเงินทองราคาแพง ๆ ให้มากมาย  ส่วนอาหารการกินนั้น เขาก็จะสั่งแต่อาหารที่ดีเลิศที่สุดให้เธอตลอดเวลา  

            นอกจากภรรยาคนที่สี่แล้ว เศรษฐีคนนี้ก็ยังรัก ภรรยาคนที่สาม อีกด้วย  เขามีความปลาบปลื้มในตัวเธอเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็กลัวและหวั่นใจเป็นอย่างมากว่า วันหนึ่งเธออาจจะจากทิ้งเขาไปและปล่อยให้เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว

            แท้ที่จริง ๆ แล้วเศรษฐีก็รักใน ภรรยาที่สอง อย่างเหลือคณานับเช่นกัน เธอเป็นคนที่มีความอ่อนโยนและมีความเมตตามาก เธอเฝ้าเป็นห่วงเป็นใยและคอยดูแลเอาใจใส่เศรษฐีตลอดเวลา  ยามใดก็ตามที่เศรษฐีมีความทุกร้อนใจ  เขาก็จะปรึกษากับเธอ ซึ่งก็ทำให้เขามีกำลังใจที่จะฝ่าฟันอุปสักไปได้ทุกครั้ง

            ส่วน ภรรยาคนแรก นั้น เธอก็เป็นภรรยาที่มีความจงรักภักดีต่อเศรษฐีเป็นที่สุด เธอมีเข็มแข็งและอดทนเป็นอย่างมาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความสำเร็จ ทรัพย์สินเงินทอง ความร่ำรวยต่าง ๆที่ เศรษฐีมีในวันนี้ก็ได้มาจากการช่วยเหลือในกิจการงานของภรรยาคนนี้แหละ แต่ทว่าเศรษฐีกลับไม่เคยสนใจใยดีเธอเลย  ทั้ง ๆ ที่เธอนั้นมีความรักต่อสามีอย่างมากมาย แม้สามีของเธอไม่เคยมีความรู้สึกเลยว่ามีเธออีกคนอยู่ในบ้าน  และทั้งการงานภายในบ้านทุกอย่างนั้นเธอเป็นคนทำและจัดการทั้งสิ้น

            และแล้ววันหนึ่งก็ได้มาถึง เศรษฐีเกิดป่วยขึ้นมา  และเขารู้ตัวดีว่าครั้งนี้พระผู้เป็นเจ้าคงจะไม่ปล่อยเขาแน่นอน เมื่อเขารู้ว่าจะต้องตาย เขาจึงครุ่นคิดในทรัพย์สมบัติและได้พูดกับตนเองว่า

            “ตอนนี้แม้ว่าฉันมีเมียสี่คน และหากฉันต้องตายไป ฉันก็จะไม่เหลือใครอีกเลยและต้องโดดเดี่ยวแน่นอน”ดังนั้น เศรษฐีจึงตัดสินใจที่จะปรึกษากับภรรยาทั้งสี่คนของเขา เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้ตนเองต้องถูกปล่อยไว้อย่างโดดเดี่ยวในอาลัมบัรซัค (โลกที่คั่นกลางระหว่างดุนยาและอาคิเราะฮ์)  

            เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงเริ่มเรียกภรรยาคนที่รักที่สุด คือ ภรรยาคนที่สี่ มาพบและเขาโดยกล่าวกับเธอว่า“ฉันรักเธอที่สุดมากกว่าภรรยาคนอื่น ๆ คอยดูแลเอาใจใส่ให้ความสะดวกสบายแก่เธอทุกอย่างที่เธอต้องการ  และตอนนี้เธอจะตอบแทนความดีของฉันที่มีต่อเธอ ได้หรือไม่? ด้วยการไปอยู่เป็นเพื่อนกับฉันในสุสานได้มั้ย??  ภรรยาสุดที่รัก คนที่สี่ ได้เธอตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ไม่มีทาง” แล้วเธอก็ได้เดินจากเขาไปอย่างรวดเร็ว

            ด้วยหัวใจที่บอบช้ำจากสิ่งที่ได้รับเศรษฐีจึงได้หันไปกล่าวกับภรรยาคนที่สามว่า “เธอรู้ใช่ไหม? ว่าฉันรักเธอมากแค่ไหน? เธอยินดีที่จะไปอยู่เป็นเพื่อนฉันใช่ไหม??”  ภรรยาที่สามได้ตอบว่า “แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้  การใช้ชีวิตในโลกนี้นั้นดีกว่าเป็นไหน ๆ และที่สำคัญ คือ หลังจากนั้นฉันจะแต่งงานกับชายคนใหม่”

            ครั้งนี้หัวใจของเศรษฐีเหมือนโดนแช่แข็งอยู่ในช่องฟรีซ เขาจึงหันไปทางภรรยาคนที่สองเป็นคนต่อมา พร้อมกับได้กล่าวว่า “เธอได้ช่วยเหลือฉันในทุก ๆ สถานการณ์มาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เช่นกันฉันต้องการขอความช่วยเหลือจากเธออย่างมากที่สุด มากกว่าครั้งไหน ๆ ฉันคิดว่าเธอน่าจะช่วยฉันได้มากกว่าคนอื่น ๆ นะจ๊ะ” เมื่อนั้นเขาก็ได้รับคำตอบจากภรรยาที่ว่า “คราวนี้มันต่างจากครั้งอื่น ๆ นะคะพี่  อย่างมากฉันก็ทำได้แค่ร่วมทางกับร่างที่ไร้วิญญานของคุณเพื่อไปส่งคุณได้แค่หลุมฝังศพที่กุบูรเท่านั้น ถ้าหากคุณต้องการจะให้ฉันไปกับคุณได้ใกล้กว่านี้คงจะไม่ได้แน่ๆ.......ฉันต้องขอโทษด้วย ฉันเสียใจด้วยจริง ๆ”              

            นี่มันอะไรกันนี่?? ฉันจะไม่เหลือใครให้เป็นที่พึ่งพาได้เลยที่เดียวรึ!!  หัวใจของเศรษฐีได้แหลกเหลวเสมือนดังสายฟ้าฟาด  เขารู้สึกหมดหวังและเสียใจเป็นอย่างมาก  ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหนึ่ง!! ทำให้เศรษฐีต้องหันกลับไปมอง มีเสียงของใครคนหนึ่งพูดว่า “ฉันจะไปกับท่านเอง ฉันพร้อมจะไปอยู่กับท่านในทุกหนแห่งที่ท่านต้องไป”   เจ้าของเสียงนั้น ก็คือ ภรรยาคนแรกนั่นเอง เธอมีสภาพเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก เหมือนกับคนอดอยาก ป่วยเป็นโรคขาดสารอาหาร  ใบหน้าของเธอซูบซีดมีแต่ความโศกเศร้าหมองหม่น โดยไม่เหลือร่องรอยของความสุขความสวยงามหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย  เศรษฐีเพิ่งสำนึกได้ เขาจึงก้มหน้าและพูดกับเธอด้วยเสียงอันสั่นเครืออย่างช้า ๆ ว่า   “ในวันนั้นที่ฉันมีความสามารถ  ฉันน่าจะดูแลและทำดีกับเธอให้มากกว่านี้......”

           นี่แหละคือบทเรียนสอนใจ!!  ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเราทุกคนล้วนมีภรรยาสี่คนกันทั้งนั้น?? ที่กล่าวมาเช่นนี้ก็หมายความว่า  ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตเราแล้วก็เป็น ดังนี้

             ภรรยาคนที่สี่ ก็คือ ร่างกายของเรานั่นเอง เรายอมลงทุนลงแรงเสียเวลาประคบประหงมทำให้มันหล่อ มันสวย แต่ในที่สุดมันกลับเป็นสิ่งแรกที่ทิ้งเราไป

            ภรรยาคนที่สาม คือ ทรัพย์สิน ถึงแม้ว่าเราจะรักมันมากมายซักเพียงใดก็ตาม พอเราตายทรัพย์สมบัติ เงินทอง ของมีค่าต่าง ๆ ที่เราสะสมไว้ก็กลายไปเป็นของคนอื่น

            ภรรยาคนที่สอง ก็คือ  ครอบครัวและเพื่อนฝูง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใกล้ชิด สนิทสนมกับเราแค่ไหนสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไปกับเราได้แค่หลุมศพเท่านั้น

            ภรรยาคนที่หนึ่ง ก็คือ  รูฮ์ วิญญาณของเรา ซึ่งส่วนมากแล้วพวกเรามักจะหลงลืมไม่ใส่ใจ และให้ความสำคัญกับมัน  ทั้ง ๆ ที่มันคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เราใช้ชีวิตของเราไปกับการดูแลร่างกายซึ่งปัจจุบันสินค้าประเภทนี้ขายดีที่สุด  และเราใช้ชีวิตทังปีหรือทั้งชีวิตของเราเพียงแค่หาเศษเงินทำให้ท้องอิ่ม เราสนุกครื้นเครงกับเพื่อนฝูงโดยหลงลืมตนเอง  ปล่อยเวลาทั้งชีวิตให้สูญเปล่าไปกับเรื่องไร้สาระ  ไม่ได้จัดการกับจิตวิญญาณที่เป็นมิตรแท้ซึ่งจะไปกับเราตลอดกาล  จิตวิญญาณที่คงอยู่ต่อไปไม่มีวันสูญสลายไปตามร่างกาย ดังนั้น เมื่อเราได้ปล่อยปะละเลยไม่สนใจมัน “รูฮ์” ของเราก็จะหมดพลังและเรี่ยวแรงในวันที่เราต้องการเขาเป็นที่สุด

  

   http://www.thaiislamlib.com/index.php/articles/17-cat-generalarticle/55--m-m-s

ความคิดเห็น