ไสยศาสตร์อิสลาม, ใครว่าไสยศาสตร์เป็นเรื่องต้องห้ามในอิสลาม

ไสยศาสตร์อิสลาม, ใครว่าไสยศาสตร์เป็นเรื่องต้องห้ามในอิสลาม

แต่มุสลิมหลายคนกล่าวว่าไม่เกี่ยวข้องกับอิสลาม แต่อัลกุรอ่านได้อธิบายสิ่งนี้ไว้ นั่นคือเรื่องไสยศาสตร์ มันก็ต้องเกี่ยวข้องกับอิสลามโดยเฉพาะความเชื่อว่าไสยศาสตร์มีจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“1.และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอนในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานไม่ได้ปฏิเสธความศรัทธา แต่ทว่า
2.ชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธความศรัทธาโดยการสอนไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คนและ
3.สิ่งที่ถูกประทานมาแก่มลาอิก๊ะฮฺทั้งสองคือฮารูตและมารูต ณ เมืองบาบิล และเขาทั้งสองจะไม่สอนผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า “แท้จริง เราแค่เป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธความศรัทธาเลย” แม้กระนั้น
4. ผู้คนก็ยังศึกษาจากเขาทั้งสอง
5.ซึ่งมันได้เป็นสาเหตุให้เกิดการแตกแยกระหว่างผู้ชายกับภรรยาของเขา และ
6.พวกเขาไม่อาจใช้สิ่งนั้นทำอันตรายแก่ผู้ใดได้นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้นและ
7.พวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นอันตรายต่อพวกเขาและมิได้เป็นคุณแก่พวกเขา และแน่นอน
8.พวกเขารู้ว่าใครก็ตามที่ซื้อมันจะไม่มีส่วนแห่งความดีใดในโลกหน้าและความชั่วคือราคาที่พวกเขาขายชีวิตของพวกเขาถ้าหากพวกเขารู้” (กุรอาน 2:103)

อธิบายได้ดังนี้
1. สุลัยมานได้รับไสยศาสตร์มาจากมลาอิกะห์ หรือเทวทูตสองท่านชื่อ ฮารูตและมารูต ซึ่งสุลัยมานยังคงเป็นมุสลิม (ไม่ปฏิเสธศรัทธา)
2. ชัยฏอนก็ได้สอนไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คน โดยที่มาจากแหล่งเดียวกันคือ เทวทูตสองท่านนั้น
3. อัลลอฮ์ให้มลาอิกะห์นำไสยศาสตร์ลงมาแก่สุลัยมาน รวมถึงคนอื่น ๆ เพื่อการทดสอบไม่ใช่การใช้งาน
4. นอกจากมลาอิกะห์สอนสุลัยมาน มลาอิกะห์สองท่านนั้นยังสอนคนอื่นอีกด้วย ไม่ใช่แค่ชัยฏอน
5. ผลของไสยศาสตร์ทำให้สามีภรรยาแตกแยกกัน (การทำเสน่ห์หรือเปล่า)
6. ไสยศาสตร์ทำอันตรายกับผู้ใดก็ได้ หากอัลลอฮ์อนุญาต
7. ไสยศาสตร์เป็นอันตรายกับตัวผู้เรียนด้วย และไม่มีคุณค่าใด
8. ราคาของไสยศาสตร์คือความความดีที่เสียไป


ถามว่า
๑. ความพิเศษของสุลัยมานคือ สามารถติดต่อกับสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ญิน" และสามารถใช้งานพวกมันได้ ไสยศาสตร์คือวิธีติดต่อและใช้งานพวกมันใช่หรือไม่ และการที่ชัยฏอนได้ยินวิธีการนี้และนำไปเผยแพร่ให้คนอื่น ๆ ก็เพราะพวกมันเป็นญิน

๒. ไสยศาสตร์ของสุลัยมานตกทอดมาถึงปัจจุบันหรือไม่

๓. หากไสยศาสตร์ของสุลัยมานตกทอดมา ก็ต้องมี เพื่อการทดสอบ และใช้งานจริง ตรงนี้ตัดสินอย่างไร

๔. อัลลอฮ์เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ เพราะไสยศาสตร์จะสำเร็จหรือไม่มันต้องผ่านการอนุมัติใช่หรือไม่
เป็นการพิสูทจ์ว่า อิสลามกับไสยศาสตร์เป็นของคู่กันไม่ใช้สิ่งต้องห้ามอันใดและเป็นการพิสูทจ์ว่า ไสยศาสตร์ ปัญญา และชีวิตเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เพียงแต่ว่าให้ใช้ไปทางขาวหากจะใช้ไปทางมืดต้องขออนุญาติต่อพระอัลลอห์ ก่อน
พูดถึงไสยศาสตร์มุสลิม ทำให้ผมนึกถึงเรื่องข้างบ้านผมแต่ก่อนมีพ่อค้าผ้าไหมและนมชื่อ อารยา ผู้ร่ำรวยแกเป็นหมอไสยศาสตร์มุสลิมแกชาญทั้งไสยเวท การเพ่งกสิณแบบอิสลามได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ  ถ้าของพุทธจะมี 10 แต่อิสลามรู้สึกจะมี 4 อะครับ แต่แถวบ้านผมนี้สิไม่ธรรมดาเลย เพราะฝั่งซ้ายเป็นจอมไสยเวทที่จบมาจาก เขมร ชื่อ สมหมาย ส่วน อากุลยอ อยุ่ฝั่งขวาส่วนผมอยู่ตรงกลางอย่าเข้าใจผิดเป็นสนามมวยลุมพินีล่ะ รู้สึกว่าอา สมหมาย ไม่ค่อยถูกกับอา อารยา เพราะแกไม่ค่อยถูกกลับคุณไสยอิสลาม เพราะเท่าที่ผมรู้ๆมาว่าคุณไสยอิสลามมักชนะคุณไสยเขมรอยู่เรื่อยทำให้สองบ้านนี้เป็นปรปักษ์กันทั้งที่อาอารยา ไม่อยากจะมีปัญหากับใครแต่ไม่อาจพ้นและผมก็พลอยติดร่างแห (ซวยจริงๆกู) เพราะคุณอาทั้ง 2 แกสาดไสยเวทกันดังโครมครามไอ้ผมหรือไม่เป็นอันหลับอันนอนมีทั้งกรีดร้อง เสียงหัวเราะที่สยดสยอง เสียงเสือ เสียงวัว เสียงควาย เสียงต่อเสียงแตน เสียงลม เสียงฟ้าผ่า โอ้ยจะบ้าตายไปๆมาๆ จนผมต้องย้ายออกจากที่นั้นไม่ไหวแล้ว โอ้ย เห็นได้ยินข่าวมาหลังจากย้ายมาแล้ว อาสมหมายเสียแล้วผมคงรู้อยู่แล้วว่าแกตายเพราะอะไร
อา อารยานอกจากแกจะเก่งแล้ว แกยังมีลูกสาวสวยชื่อน้อง มาฮาน สวยมากเลยครับแค่เห็นหน้าก็รู้เคยเลือบไปเห็นน้องเขาตอนอยุ่ในบ้านไม่ได้คลุม โอ้แม่เจ้าสวยมากๆ และบังเอิญแถวบ้านผมมันมี กุ๊ย 3 ตัวชอบมายอกล้อแซวน้องมาฮานอา อารยาแกเลยสังคยานาปล่อยหุ่นไม้ผีสิงผมเรียกว่า ตุ๊กตาสะกดวิญญาณ ปล่อยมาหลอกไอ้ 3 กุ๊ยหนีหายไปเลย(ที่มา http://talk.mthai.com/topic/79865)
โดย: ไสยเวทมุสลิม


Posted by musachiza

นี่คือจุดที่อิสลามกล่าวถึงการกำเนิดวิชาไสยศาสตร์ เสน่ห์ยาแฝด และอีกมากมายที่ขยายสาขามาจากการที่ อัลเลาะฮ์ ซ.บ. ได้ประทานเรื่องนี้ลงมาทดสอบกับมนุษย์ ในยุคของท่านนบีสุลัยมาน หรือกษัตริย์โซโลมอนแห่งอิสราเอลโบราณ ระหว่างความรู้ที่เป็นวิทยปัญญาและการศรัทธาที่แท้จริงอันนำไปสู่ศรัทธาที่ถูกต้องต่อพระเจ้า กับ ไสยศาสตร์และการศรัทธาที่สูญเปล่า และจะต้องได้รับโทษในวันปรโลก เพื่อวัดจิตใจของมนุษย์

                  ในยุคนบีสุลัยมาน อ.ล.(กษัตริย์โซโลมอน) นี้มีเรื่องมากมายที่สร้างเงื้อนงำทิ้งไว้อย่างมากมายให้คนรุ่นกล่าวหาท่าน ไปต่างๆนาๆ มาตลอดเกือบสามพันปี จนถึงปัจจุบัน  เช่น เกิดข้อกล่าวมากมายที่ตกอยู่ในความเชื่อของ ชาวยิวในมะดีนะฮ์ว่าท่านเชื่อในวิชาไสยศาสตร์ พวกอัศวินไนต์เทมปล้า ที่เข้ามารบกับมุสลิมในสงครามครูเสดก็อ้างว่าได้ค้นพบความลับบางอย่างที่โซโลมอนซุกซ่อนไว้ พวกฟรีเมสัน ก็อ้างว่าวิชาสถาปัตย์ชั้นยอดนั้น เป็นของนายช่างที่เป็นซาตานที่กุมความลับบางอย่างในการก่อสร้างไว้ ซึ่งอ้างว่าเรื่องนี้คัมภีร์ตัลมุดที่ยิวบางนิกายได้กล่าวไว้ บ้างก็กล่าวว่าฮีรามนายช่างยุคโซโลมอนคือนายช่างที่เป็นเสมือนเทพเจ้าของการก่อสร้าง การเกิดลัทธิยิวดำราสต้าฟาเรี่ยน เจ้าของเพลงสไตล์เร็กเก้ ก่อนจะจบจดหมายฉบับนี้ของฉันฉันจะทยอยเอาข้อมูลเหล่านี้มาให้อ่านพอสังเขปนะ
                  ตอนนี้เรากลับมาที่อัลกุรอานที่กล่าวถึงวิชาไสยศาสตร์ที่ประเจ้าทรงประทานมาเพื่อเป็นการทดสอบจิตใจมนุษย์ ในยุคท่านนบีสุลัยมานกันก่อนนะ




เหรียญในยุคนบีสุลัยมาน
นบีสุลัยมาน(กษัตริย์โซโลมอน)กับไสยศาสตร์

           อีกเรื่องหนึ่งที่จะข้ามไปเสียไม่ได้ก็คือข้อกล่าวหาที่ว่า โซโลมอนทรงกระทำการนอกลู่นอกทางในการนับถือพระเจ้าต่างๆตามลัทธิศาสนาของพระชายาที่มาจากหลายเผ่าพันธุ์ของพระองค์ ตามทัศนะของอิสลามแล้วเราไม่เชื่อว่าท่านทำเช่นนั้นเพราะถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องร้ายแรงมาก  พูดไปทำไมมี เรามาดูหลักฐานที่มุสลิมเรายึดถือในความบริสุทธิ์ของท่านนบีสุลัยมานกันดีกว่า


-“และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอน(ซาตาน)ในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง  และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธการศรัทธาไม่ แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธศรัทธา  โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์  และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่มะลาอีกะฮ์(ทูตสวรรค์)ทั้งสอง คือฮารูต และมารูต ณ เมืองบาบิล และเขาทั้งสองจะไม่สอนแก่ผู้ใด จนกว่าจะกล่าวว่า  แท้จริงนั้นเราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น  ท่านจงอย่าปฏิเสธศรัทธาเลย  แล้วเขาเหล่านั้นก็ศึกษาจากเขาทั้งสอง  สิ่งที่พวกเขาใช้มัน ยังความแตกแยกระหว่างบุคคลกับภรรยาของเขา และพวกเขาไม่อาจทำสิ่งนั้นให้เป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้  นอกจากอนุมัติของอัลเลาะฮ์เท่านั้น  และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา  และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา และแท้จริงนั้นพวกเขารู้แล้วว่า แน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น  ในวันปรโลกเขาย่อมไม่มีส่วนได้ใดๆ  และแน่นอนเป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริงๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้น  หากพวกเขารู้”-

(อัลกุรอาน2/102)

            โองการนี้ อัลเลาะฮ์ ทรงประทานให้นบีมูฮัมหมัด  เพื่อโต้แย้งกับชาวยิวซึ่งพวกเขาอ่านคัมภีร์เตารอต(พระคัมภีร์เดิม)กันอยู่ ซื่งมีข้อกล่าวหาต่อท่านนบีสุลัยมาน(กษัตริย์โซโลมอนของชาวอิสราเอล)หลายเรื่องในนั้น เช่น การออกนอกแนวทางของอัลเลาะฮ์ รวมทั้งเรื่องการศึกษาวิชาไสยศาสตร์และเก็บรวบรวมตำราไว้ จนถึงเรื่องร้ายแรงที่สุดที่ชาวยิวในยุคท่าน นบีมูฮัมหมัด ซ.ล. ในเมืองมะดีนะฮ์(เมดินา)ต่างก็ปักใจเชื่อตามพระคัมภีร์เดิมของเขาที่ว่าท่าน นบีสุลัยมาน(โซโลมอน) เลิกนับถือ อัลเลาะฮ์ แต่หันไปนับถือศาสนาอื่นและบูชารูปปั้น ตามลัทธิศาสนาความเชื่อของบรรดา มเหสีและนางสนมจำนวนมากมายของท่าน


           ดังนั้นฉันขอยกข้อความของนักอธิบายอัลกุรอาน มาให้ฟังอย่างละเอียดหน่อย เพราะแต่ละข้อความในโองการนี้ มีความรวบรัดมาก เพราะหากใครไม่มีความรู้ในประวัติศาสตร์ หรือข้อความที่มีอยู่ในคัมภีร์เตารอตซึ่งเป็นยุคก่อนหน้าท่านนบีเป็นพันปี(ยุคกษัตริย์โซโลมอนประมาน960ปี-586 ปี ก่อนค.ศ.ท่านนบีมูฮัมหมัดเกิดในปี ค.ศ. 570-571)ก็ยากที่จะเข้าใจ และสาวกส่วนใหญ่ของท่านก็เป็นอาหรับแทบทั้งสิ้นในช่วงเวลานั้น ย่อมมีข้อซักถามมากมาย และจากข้อซักถามเหล่านี้ก็เป็นข้อมูลที่นักอธิบายอัลกุรอานใช้ขยายความให้พวกเราได้เข้าใจในยุคนี้


           “ความที่ว่า “และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอน(ซาตาน,ผู้ประพฤติชั่ว)ในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง”นั่นคือ  พวกนักปราชญ์ของยิวกลุ่มหนึ่งที่ผินหลังให้แก่คัมภีร์เตารอต(โตรา)ได้ถือปฏิบัติในวิชาไสยศาสตร์ที่พวกประพฤติชั่วในสมัยท่าน นบีสุลัยมานเผยแพร่ พวกเขากล่าวว่า ท่านนบีสุลัยมานได้รวบรวมตำราไสยศาสตร์จากประชาชนแล้วนำไปฝังใต้บัลลังก์ของพระองค์  หลังจากที่พระองค์ได้สิ้นชีวิตลง  ประชาชนก็นำตำราเหล่านั้นออกมาศึกษา และถ่ายทอดต่อๆกันมา  ดังกล่าวมานี้เป็นเรื่องมุสา ซึ่งอิสราเอลได้กุขึ้นเพื่อเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติของตน โดยโยนบาปให้แก่ท่านนบีสุลัยมานผู้บริสุทธิ์

            และความที่ว่า “และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธศรัทธาไม่”นั้นคือ ท่านนบีสุลัยมานหาได้เชื่อถือและปฏิบัติในวิชาไสยศาสตร์แต่อย่างใดไม่ เพราะการเชื่อถือในวิชาไสยศาสตร์นั้นเป็นการปฏิเสธศรัทธา ในฐานะที่ท่านเป็นนบีของอัลเลาะฮ์ กระทำหน้าที่เชิญชวนประชาชนให้ยอมรับและยึดถือในเอกภาพของอัลเลาะฮ์ แล้วตัวท่านเองจะปฏิบัติในสิ่งตรงกันข้ามกระนั้นหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน ด้วยเหตุนี้อัลเลาะฮ์ ซ.บ.จึงได้ทรงแก้ข้อกล่าวหาของวงศ์วานอิสรออีล(อิสราเอล)หรือยิวในสมัยท่านนบีมูฮัมหมัด
(คัดลอกจาก http://www.oknation.net/blog/dragonball/2009/06/10/entry-1)

   
http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/05/Y5382327/Y5382327.html แหล่งข้อมูล   




         

ไสยศาสตร์คืออะไร
โดย  : analamee
        ความหมายของไสยศาสตร์  ไสยศาสตร์   เป็นวิชาเกี่ยวกับ  เวทมนตร์  คาถา   และ   เลขยันต์   ประกอบกับการใช้อำนาจ  สมาธิ  จิต  การสาธยายเวทมนตร์คาถา   การภาวนา และ การปลุกเสก
              ในทัศนะอิสลาม ไสยศาสตร์คือวิชาความรู้ที่มาจากญินและชัยฏอน  เกี่ยวข้องกับสิ่งเร้นลับ และมันก็มีความเร้นลับจริงๆ
                ณปัจจุบันเรื่องไสยศาสตร์นั้นเป็นสิ่งใกล้ตัวกับเรามาก แม้แต่มุสลิมจำนวนไม่น้อยก็ต้องประสบกับสิ่งๆนี้ ยกตัวอย่างเช่น เราไปเดินสนามหลวง ก็จะเจอกับพวกหมอดูมากมาย หรือ แม้แต่ที่ท่าพระจันทร์ก็มีแผงขายพระเป็นจำนวนมาก ซึ่งสิ่งสำคัญสองอย่างที่จะช่วยให้มุสลิมห่างไกลจากไสยศาสตร์เหล่านี้ก็คือ   1.อีหม่าน   และ   2. ความรู้
         •   ในอายะห์ที่ 102 ของซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ ได้แสดงให้เห็นว่าในอิสลามก็มีการกล่าวถึงวิชาว่าด้วยไสยศาสตร์ ว่าเป็นศาสตร์ของขัยฏอน และเป็นการปฏิเสธการศรัทธา นอกจากนี้อายะห์นี้ยังบอกอีกว่า วิชาไสยศาสตร์มีมาเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่สมัยบาบิโลน ขณะที่ในสมัยฟิรเอาว์ก็เคยมีการนำวิชาไสยศาสตร์มาต่อกรกับนะบีมูซา อะลัยฮิสลาม เช่นกัน

ไสยศาสตร์มีกี่ประเภท
ประเภทของไสยศาสตร์ •  
สำหรับไสยศาสตร์มีสองประเภทหลักๆคือ
        1.   ไสยศาสตร์เพื่อทำลายผู้อื่น คือการนำไสยศาสตร์มีเป้าหมาย เพื่อให้ชัยฏอนไปทำร้ายคนที่เราต้องการ เช่นการทำของตามคำสั่งของชัยฏอนด้วยการทำของ แล้วมันก็จะไปทำตามคำสั่ง อย่างเช่น อยากให้คนนั้นเลิกกับคนนี้ อยากให้คนนั้นมาเป็นของเรา (การทำเสน่ห์) ซึ่งส่วนใหญ่ที่เห็นของที่ทำนั้นพวกนักไสยศาสตร์จะเขียนเหมือนอายะห์กุรอ่าน แต่แท้ที่จริงแล้วให้ระมัดระวังให้ดี อาจจะเป็นการเขียนข้อความบิดเบือนกุรอ่าน หรือเป็นคำที่ใช้สรรเสริญชัยฏอนก็ได้ ถึงแม้จะเป็นภาษาอาหรับก็ตาม นอกจากนี้ยังมีของที่พบเห็นเป็นส่วนมากอย่างเช่นการทำปมเชือกแล้วเป่าลงไป ซึ่งในอายะห์ที่ 4 ของซูเราะห์อัลฟะลัก มีการกล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ ซึ่งวิธีการแก้ก็คือ ขณะที่เราจะฉีก หรือแก้ปมเชือกก็ให้เราอ่านอายะห์กุรซี และ  3 กุล (อัลอิคลาส,อัลฟะลัก,อันนาซ)

        2.   ไสยศาสตร์ที่ใช้ในการติดต่อญิน อย่างพวกหมอดู ที่จะใช้ญินในการเอาข้อมูลต่างๆ มา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วหมอดูจะใช้ญิน ให้มาถามข้อมูลจากญินที่ติดตามตัวเรา แล้วญินของหมอดูก็จะไปบอกหมอดูว่าเราเป็นใครมาจากไหน  ท่านนะบีมุฮัมหมัด เคยบอกซอฮาบะห์ว่าทุกคนมีญิน ซึ่งแม้แต่นะบีเองก็มี แต่ท่านได้สอนให้มันเข้ารับอิสลามแล้ว นอกจากนี้แล้ว การเล่นผีถ้วยแก้วก็เป็นไสยศาสตร์อีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งใกล้ตัวที่มุสลิมต้องระมัดระวังและห่างไกล โดยที่ในปัจจุบันมีการทำแผ่นกระดานออกมาเป็นเป็นเกมเล่นกันอย่างแพร่หลาย แม้กระทั่งในยุโรป หรือแม้แต่ในประเทศอาหรับเอง

ทำไมอิสลามจึงห้ามยุ่งเกี่ยวกับไสยศาสตร์
ไสยศาสตร์คือสะพานสู่การตั้งภาคีต่อ อัลลอฮ์ ทรงดำรัสไว้ในอัลกุรอ่าน ความว่า
“และจงรำลึก  เมื่อลุกมานได้กล่าวแก่บุตรของเขา โดยสั่งสอนเขาว่า โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าได้ตั้งภาคีใดๆต่ออัลลอฮฺ เพราะแท้จริงการตั้งภาคีนั้นเป็นความผิดอย่างมหันต์โดยแน่นอน” [ลุกมาน 31:13]
            เรื่องแรกที่ท่านลุกมานได้ตักเตือนบุตรของท่านคือ อย่าตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ เป็นการยืนยันว่าความผิดที่อันตรายที่สุดคือ ชิริก บางคนบอกว่าลูกฉันเป็นมุสลิมไม่มีทางทำชิริก จึงไม่ตักเตือน และคิดว่าชิริกคือการกราบไหว้รูปเจว็ดเท่านั้น แต่ที่จริงพฤติกรรมแห่งชิริกมีมากมาย เช่น การเชื่อในวัตถุ ดวงดาว หรือหลงใหลวัตถุ เป็นต้น ซึ่งการทำชิริกจะเบี่ยงเบนเราจากการเคารพสักการะต่ออัลลอฮ์  รูปแบบของชิริกที่เกิดขึ้นในหมู่มุสลิมมีมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือการทำไสยศาสตร์ซึ่งมันคือรูปแบบหนึ่งของการตั้งภาคีแบบเปิดเผย อิสลามต่อต้านพวกหมอดู นักเวทย์มนต์ นักไสยศาสตร์ การเชื่อโชคลาง เนื่องจากมันเป็นเหตุไปสู่การทำชิริก(การตั้งภาคี)
       ในที่สุด ท่านนะบีมุฮัมมัด ได้ประกาศสงครามกับคนที่อ้างว่ารู้ อดีต อนาคต และเรื่องเร้นลับต่างๆ โดยท่านอ่านโองการจากอัลกุรอานให้ฟังว่า
“จงกล่าวเถิด ไม่มีใครในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินรู้สิ่งเร้นลับ นอกจากอัลลอฮ์ ” (อัลนัมลฺ อายะฮฺที่ 65)
        ไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถา ถือว่าเป็นบาปใหญ่ นักกฎหมายบางท่านถือว่าเป็นชิริก หรือเป็นสิ่งที่นำไปสู่การทำชิริก และบางคนถือว่าพวกที่ใช้ไสยศาสตร์ มนตร์ดำ ควรถูกประหารเพื่อให้สังคมบริสุทธิ์จากความเลวทรามของมัน ท่านนะบี ได้กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดว่า
”จงหลีกห่างจากบาปใหญ่ 7 ประการ บรรดาเศาะฮาบะฮฺกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮฺ มันคืออะไร? ท่านนะบี กล่าวว่า การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ ไสยศาสตร์ การฆ่าชีวิตที่อัลลอฮ์ให้เป็นที่ต้องห้ามเว้นแต่เพื่อดำรงสัจธรรม การกินดอกเบี้ย การโกงกินทรัพย์เด็กกำพร้า การหนีทัพในวันประจัญบาน และการใส่ร้ายหญิงบริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องและเป็นผู้ศรัทธา”  (รายงานโดย บุคอรียฺและมุสลิม)
         นอกจากอายัตอัลกุรอ่านและอัลฮะดิษที่ได้นำมาอ้างไว้ข้างต้นแล้ว ยังมีอีกหลายอายัตและหลายฮะดิษอีกเช่นกันที่ได้ห้ามการทำไสยศาสตร์ รวมไปถึงคำกล่าวของบรรดานักวิชาการ


อำนาจแห่งมนต์ดำ
          เวทมนต์และไสยศาสตร์ มิได้มีพลังโดยตัวของมันเอง หากแต่อาศัยพลังของซาตานมารร้าย เวทมนต์ไสยศาสตร์ มีกล่าวในอัลกุรอ่านไว้หลายแห่งและยืนยันว่ามันมีอยู่จริง นักวิชาการซุนนะห์แบ่งมันออกเป็นสองประเภทใหญ่คือ

หนึ่งภาพลวงตา คือเป็นแค่ภาพลวงตา เช่นการกระทำของนักมายากลทั้งหลาย
สอง มนต์ดำที่ทำร้ายผู้คนได้โดยอาศัยพลังของชัยฏอนมารร้าย
         เวทมนต์และไสยศาสตร์ มิได้มีพลังโดยตัวของมันเองหากแต่อาศัยพลังของซาตานมารร้าย ดังนั้นผู้ที่จะเป็นนักไสยศาสตร์ได้ก็ต้องปฏิเสธอัลลอฮ์ และบรรดาเราะซูล(ศาสดาหรือนะบี)เสียก่อนด้วยวิธีการต่างๆ ตามที่ซาตานกระซิบบอก เช่น เขียนอัลกุรอ่านด้วยเลือดสุนัข ด้วยเลือดประจำเดือนของสตรี นำอัลกุรอ่านไปทิ้งลงในที่ๆสกปรกที่สุด หรือร้องขอต่อชัยฏอน อย่างนี้เป็นต้น
         และเราคงเคยได้ยินคำว่า "ญิน" มาบ้างแล้ว แต่ก็คงมีอีหลายคนเช่นกันที่ยังไม่ทราบว่า ญินมาเกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์อย่างไร ญินคือสิ่งถูกสร้างประเภทหนึ่งที่อยู่ต่างมิติไปจากมนุษย์  แต่มิใช่มะลาอิกะห์ ญินและมนุษย์มีส่วนคล้ายกันบ้างเช่นมีปัญญารับรู้และได้รับสิทธิในการเลือกเฟ้น แต่ก็ต่างกันหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุของแต่ละฝ่าย คำว่า "ญิน" มีความหมายในเชิงปกปิดซ่อนเร้นจากสายตามนุษย์ กล่าวคือมนุษย์ไม่สามารถมองเห็น "ญิน" ได้(หากเขามิได้จำแลงให้เห็น) อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
"แท้จริงเขาเห็นพวกเจ้า ทั้งเขาและผู้ที่เป็นประเภทเดียวกับเขา โดยที่พวกเจ้าไม่เห็นพวกเขา" (อัลอะอ์ร๊อฟ/27)

         ญินเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกสร้างมาจากไฟในขณะที่มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกสร้างมาจากดิน ซึ่งญินมีทั้งดีและชั่ว ญินที่ชั่วคือชัยฏอนหรือมารร้ายและหัวหน้าของชัยฏอนคืออิบลีส เนื่องจากญินถูกสร้างจากไฟ และมนุษย์มีธาตุไฟอยู่ซึ่งเป็นช่องทางทำให้มันสามารถแทรกเข้าไปในตัวคนได้ ในกรณีที่คนผู้นั้นมีความศรัทธาอ่อนแอ และเมื่อมันเข้าไปแล้วมันก็จะแสดงพฤติกรรมของมันผ่านทางตัวคนนั้น จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่เราจะเห็นผู้หญิงแก่ที่ถูกญินเข้าสามารถว่ายน้ำได้เหมือนผู้ชายร่างกายแข็งแรง หรือบางครั้งพูดภาษาต่างประเทศได้  

         ในคัมภีร์กุรอานและในฮะดีษบอกให้เรารู้ว่ามนุษย์บางคนก็เป็นเพื่อนกับชัยฏอน เช่น คนที่สุรุ่ยสุร่ายเป็นพวกพ้องของชัยฏอน เป็นต้น ทุกคนที่มีความสัมพันธ์กับญินจนถึงขั้นเลี้ยงไว้ใช้งานจะได้รับความทรมานและทุรนทุรายก่อนตาย หากไม่หาคนมารับมันไปเลี้ยงต่อ ญิน มีความสามารถแตกต่างจากมนุษย์ อัลกุรอ่านได้เล่าถึง "อิฟรีต" ผู้เป็นญินที่รับใช้ท่านนบีสุลัยมานว่าสามารถย้ายบัลลังก์ของ "บัลก๊อยส์"มาให้ท่านนะบีสุลัยมานได้ในพริบตา (ดูอัลกุรอ่าน บท อัลนัมลุ / 38-39) อีกทั้งสามารถจำแลงตนเป็นรูปร่างต่างๆได้ มนุษย์จึงสามารถเห็นญินได้นอกเหนือจากนี้ญินยังสามารถทำร้ายมนุษย์ได้ด้วยวิธีการต่างๆ หมอไสยศาสตร์จึงได้ใช้ญินเป็นสื่อเพื่อที่จะให้ผู้คนเชื่อว่าเขามีพลังอำนาจ สามารถล่วงรู้สิ่งต่างๆ สามารถสร้างความเจ็บป่วยหรือความสบายให้ใครๆได้ แต่หารู้ไม่ว่าเขากำลังนำพาตัวของเขาและผู้ที่หลงเชื่อตามเขาไปสู่ความหายนะทั้งโลกนี้และโลกหน้า
(โอ้ อัลลอฮ์ พระองค์ผู้ทรงสามารถ ขอให้เราปลอดภัยจากสิ่งเหล่านั้นด้วยเถิด)

ทีมา

ความคิดเห็น